p2a.jpg (11242 bytes)

คำนำ
 

ถานการณ์อันเลวร้าย ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา และองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ในขณะนี้ (๒๕๔๒) มิใช่เป็นเหตุที่เกิดขึ้น โดยปกติธรรมดา วัดใหญ่ๆ ที่ได้ทำคุณประโยชน์ ให้แก่สังคมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอบรมประชาชน ให้ละเว้นอบายมุข เป็นคนดีของสังคม กลับถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าไปดำเนินการ คล้ายกับเป็นชุมโจร การออกข่าวโจมตีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ การก่อตั้งขบวนการ ทำลายภาพลักษณ์พระพุทธศาสนา สื่อมวลชนหลายแขนง เสนอข่าวทำลายคณะสงฆ์อย่างต่อเนื่องทุกวัน และเป็นข่าวที่ลอกเลียนกัน แทบจะทุกคำพูด เหตุการณ์เหล่านี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

"เราชาวไทย เคยสังเกตบ้างหรือไม่ว่า ในช่วงนี้ (ปี พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๒) เป็น ช่วงรุกทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทย ต้องตกไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านกฎหมาย หรือด้านอื่นๆ อันเอื้อประโยชน์ให้คนต่างชาติ ต่างศาสนา เข้ามาทำลายผลประโยชน์ ของประเทศชาติ และธุรกิจน้อยใหญ่ แม้แต่ของรัฐ (พูดให้ถูกคือของประชาชน) ตกอยู่ในมือของต่างชาติ (แน่นอน ต่างชาติเหล่านั้น ล้วนนับถือศาสนาอื่นทั้งสิ้น) ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำลายภาพลักษณ์พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย เหล่านี้จึงมิได้เกิดขึ้น เพราะบุคคลในพระพุทธศาสนา กระทำความผิด แต่เป็นการดำเนินการ ตามแผน การที่ได้วางไว้ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งด้านบุคลากร องค์กร และระยะเวลา ซึ่งมีจุดประสงค์ คือ การยึดครอง และ/หรือ เปลี่ยนระบอบการปกครองคณะสงฆ์ไทย อันเป็นสถาบันหลัก ทางศาสนาของชาติ จัดเป็นรูปแบบของ ยุทธศาสตร์กลืนชาติ ที่ใช้ได้ผลมาทุกยุค ทุกสมัย ในอดีต เพียงแต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบ และตัวบุคคล รวมทั้งวิธีดำเนินการ จากการรุกด้วยการใช้กำลังอาวุธ เข้ายึดครอง เปลี่ยนมาใช้ศาสนานำหน้า เช่นที่ใช้กับประเทศอื่นๆ ได้ผลมาแล้ว เช่น เกาหลี อินโดนีเซีย เป็นต้น แต่กับประเทศไทยนั้น เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนมากกว่า โดยเฉพาะศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ล้วนแล้วแต่ มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา นับแต่ไทยตั้งชาติกันมาทั้งสิ้น การวางแผนงานต่างๆ จึงต้องมีความแยบยล และมีขั้นตอนที่รอบคอบ รัดกุมอย่างดียิ่ง

นายบุญสม มาร์ตินยุทธศาสตร์ของการกลืนชาตินั้น ผิดกับ ยุทธศาสตร์ของการยึดครอง ซึ่งจะมีการต่อต้าน และในที่สุดผู้ยึดครองนั้น จะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด แต่การกลืนชาตินั้น จะเป็นการยึดครองแบบถาวร โดยจะต้องมีการทำลายรากฐาน ทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ค่านิยม และความภูมิใจในความเป็นชาติ ให้ได้เสียก่อน โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ซึ่งถือว่าเป็นแกนหลัก ในการดำรงอยู่ ของสังคมไทย เป็นหลักการที่สังคม ใช้ในการอยู่ร่วมกัน หลักธรรมคำสั่งสอน ในพระพุทธศาสนา ทำให้คนเกรงกลัวต่อบาป ละอายต่อการทำความชั่ว ซึ่งนับว่าเป็นหลักธรรม ที่ทันสมัยอยู่เสมอ สามารถกำจัดทุจริตคอรัปชั่น ในทุกระดับชั้น ได้โดยปริยาย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในอดีต การฉ้อโกง เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ เนื่องจากได้รับการปลูกฝังคุณธรรม จากครูบาอาจารย์ และพระสงฆ์ ในวิชาศีลธรรม ซึ่งเป็นหลักสูตรบังคับ ของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ต่อมา นายบุญสม มาร์ติน ซึ่งเป็นคริสเตียน ได้รับตำแหน่งเป็น รมต.ศึกษาธิการ ได้ถอดวิชาศีลธรรม ออกไปจากหลักสูตรการศึกษา ทำให้คำว่า "ศีลธรรม" เปลี่ยนไป กลายเป็นคำว่า "จริยธรรม" ซึ่งเป็นคำของคริสต์โดยแท้

ในการทำลายรากฐานวัฒนธรรมดังกล่าว องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย นับว่าเป็นเป้าหมายหลัก ที่จะต้องถูกทำลายสภาพ จากเดิมลงไปให้ได้ เพื่อการกลืนชาติ อย่างเบ็ดเสร็จถาวร ไร้การต่อต้าน เพราะเป็น การกลืนศาสนา ให้ไทยทั้งชาติ กลายเป็นคริสต์ และเหนือสิ่งอื่นใด คือผลประโยชน์ ที่คริสต์ศาสนาจะได้รับ นั่นก็คือ เงินที่หักจากรายได้ ของชาวคริสต์ทุกคนจำนวน ๒๐-๓๐% ไปตลอด เท่าที่ชาวคริสต์นั้นทำงาน รวมไปถึงผลประโยชน์รายได้ จากศาสนสถานทั้งหมด และส่งรายได้นั้น ไปถวายสันตปาปา ยังกรุงวาติกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่องค์กรปกครองคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนา ในประเทศไทย โดนโจมตีตลอดมา ก็เพราะเหตุผลดังกล่าวนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดมานี้ ดูจะเจือสมกันกับหลักฐาน ที่ผมมีอยู่ในมือ เป็นอย่างยิ่ง เพราะในช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๕ อันเป็นระยะที่ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก ถึงขนาดมีการออกหนังสือเผยแพร่ ต่อต้านพระพุทธศาสนา บิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอน อย่างโจ่งแจ้งเด่นชัด โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และไม่หวั่นเกรง ต่อพุทธศาสนิกชนชาวไทย ที่มีมากกว่า ๙๕% ของประเทศนั้น เป็นระยะที่ผมได้เข้าทำงาน ในหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง กับเอกสารลับบางฉบับ ที่บ่งบอกถึง ความไม่ชอบมาพากล ในสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นยุทธศาสตร์ยึดพื้นที่ทางสมอง อันเป็นส่วนหนึ่ง ในสมการกลืนชาติ ในข้อ ที่ ๑ ว่าด้วยการ สร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม (Mental) ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง ตามวิถีทางปกติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกจัดสร้าง และประสานงาน จากมหาอำนาจ และองค์กรนอกศาสนา จึงอยากให้ท่านผู้อ่าน ช่วยพิจารณาหาเหตุผลด้วยว่า เกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งส่วนหนึ่งมีดังนี้

สิ่งที่กล่าวถึงในไมโครฟิล์มชิ้นนี้ก็คือ "โครงการเปลี่ยนสภาพสังคมมนุษย์ใหม่" อันเป็นที่มาของแผน "ONE WORLD ORDER" นั่นเอง มีรายละเอียดมากมาย ในเอกสารดังกล่าว โดยมีเป้าหมาย ในการยึดพื้นที่ทางสมอง (MENTAL) เป็นหลักมากกว่า การยึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ โครงการนี้เน้นหนัก การยึดพื้นที่ทางสมอง ทุกรูปแบบ การทดสอบทดลองใดๆ อันเกี่ยวข้องกับการควบคุม การสั่งการ บัญชาการ สู่สมองมนุษย์ จะถูกจัดเข้าอยู่ในโครงการนี้ทั้งสิ้น

ระบบสื่อสารทุกสื่อ ทั้งทางด้านสิ่งพิมพ์ หรือการเผยแพร่ภาพ รวมไปถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้ จะถูกนำมาวิเคราะห์ อย่างเป็นรูปธรรม ฉะนั้นการควบคุม การสื่อสาร ระหว่างมนุษย์ให้ได้ จึงมีความสำคัญ ต่อยุทธศาสตร์มากกว่าสิ่งอื่น และแน่นอนที่สุด สิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ในปัจจุบัน (ปี พ.ศ.๒๕๔๒) นี้ คือมนุษย์ส่วนใหญ่ ตกอยู่ในลักษณะ กึ่งทาสของระบบสื่อสารไปเสียแล้ว การดำเนินการดังกล่าว ก็เพื่อการเข้ายึดครอง แบบปราศจากอาวุธ และไร้การต่อต้าน หลายท่านคงสงสัยว่า เหตุใดประเทศมหาอำนาจ จึงต้องการประเทศไทย ผมคิด มากไปเองหรือเปล่า ไม่หรอกครับ ทั้งนี้เนื่องจาก การวิเคราะห์ ของนักเศรษฐศาสตร์ และนักประชากรศาสตร์ พบว่า ปัญหาของโลกต่อไป ก็คือเรื่องของจำนวนประชากร โลกที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นประเด็นอำนาจหลัก จึงไม่ใช่อยู่ที่อาวุธ แต่อยู่ที่อาหารการเกษตร ซึ่งหากใครครอบครองอาหาร อันเป็นปัจจัยหลัก ของมนุษยชาติได้แล้ว จะเป็นประเทศมหาอำนาจ ที่แท้จริง และบนพื้นผิวของโลกมนุษย์ ที่เราอาศัยอยู่นี้ มีเพียง ๗ % เท่านั้น ที่อุดมสมบูรณ์ สามารถทำการเกษตรได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องจากว่า ประเทศไทย มีความเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเอเซียด้วยปัจจัย ๕ ประการคือ

๑. ทางบก มีพื้นที่เป็นผืนเดียวกับแผ่นดินใหญ่ สามารถขยายเส้นทางคมนาคม ทั้งทางยุทธศาสตร์ และเชิงพาณิชย์ หรือเชื่อมต่อกับประเทศ ทีมีศักยภาพในการผลิต และมีอำนาจการซื้อได้โดยง่าย

๒. ทางน้ำ มีพื้นที่ชายฝั่งทะเล สามารถขยายศักยภาพทางทะเล ทั้งด้านการทหาร และการพาณิชย์ (พาณิชย์นาวี) ได้ครอบคลุมภูมิภาค

๓. ทางอากาศ มีความพร้อม ในการขยายศักยภาพทางอากาศ ทั้งด้านการทหาร และเชิงพาณิชย์ ในพิสัยโดยรอบภูมิภาค

๔. มีทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการเกษตร สามารถขยายฐานผลิต ด้านเกษตรได้โดยง่าย และมีพื้นที่ ติดกับประเทศที่มีฐานทางการเกษตร (เนื่องจากสภาวะเรือนกระจก ทำให้ความต้องการผลิตผลการเกษตรเพิ่ม การบริโภคสูงขึ้น อย่างไร้ขีดจำกัด ในอนาคตของตลาดโลก)

๕. เป็นจุดศูนย์กลางครอบคลุม การสื่อสารทางดาวเทียมของโลก ในย่านทวีปเอเซีย

นี่คือศักยภาพความเด่นทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่มีเหนือกว่าประเทศอื่น ในย่านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเป้าประสงค์ดังกล่าวนั้น ประเทศมหาอำนาจนั้น จึงได้ประสานงานร่วมกัน กับองค์กรนอกศาสนา ซึ่งได้ดำเนินการ อยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว (โดยมอบผลวิจัย และแผนปฏิบัติงาน การยึดพื้นที่ทางสมอง) องค์กรนอกศาสนา จะรับผิดชอบงานทางด้าน การเปลี่ยนแปลงความคิด ค่านิยม การศาสนา วัฒนธรรม การศึกษา ของเยาวชน และประชาชน ในประเทศไทย อันจะเป็นประโยชน์ ขององค์กรนอกศาสนานั่นเอง ส่วนประเทศมหาอำนาจ ก็จะได้ประโยชน์ ในด้านการยึดครองด้านเศรษฐกิจ แบบเบ็ดเสร็จ เพื่อขยายการยึดครอง ในภูมิภาคนี้ต่อไป โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐาน โครงการนี้ ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง ตลอดมาจวบจนปัจจุบัน

งานหลักของโครงการดังกล่าวนี้คือ ศึกษาวิจัยค้นคว้า ถึงการทำงานของ สมองในระดับต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนที่ สร้างปรากฏการณ์ เหนือธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า สมาธิจิต อย่างจริงจัง เพื่อนำมาเพิ่มศักยภาพ ให้กับบุคคลชั้นบัญชาการ และหน่วยรบพิเศษ ของประเทศมหาอำนาจนี้ รวมไปถึง การยึดครองทางสมอง การต่อต้านอำนาจ การยึดครอง และทำลายหลักการ แนวปฏิบัติ สมาธิจิต ที่ได้ผล ของประเทศที่ต้องการเข้ายึดครองนั้นๆ ให้สิ้นไป เพื่อมิให้เป็นปฏิปักษ์ หรือมีช่องว่างในการยึดครอง

ทั้งนี้เมื่อมองให้ลึกลงไปโดยรวม ถึงการร่วมมือกัน ระหว่างองค์กรต่างประเทศ ที่มีส่วนร่วมในผลประโยชน์ ทางด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์การทหาร ของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งล้วนแล้วแต่ มีส่วนเกี่ยวข้อง กับองค์กรของคริสต์ทั้งสิ้น ในกรณีดังกล่าวนี้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งทางนิติกรรม และพฤติกรรมว่า ประมุขของศาสนาคริสต์ (สันตปาปา) ล้วนเข้าไปเกี่ยวข้อง กับเรื่อง การเมืองระดับโลก และมีผลทางด้านจิตวิทยา กับผู้นำประเทศมหาอำนาจ เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก ทั้งนี้ทั้งนั้น นอกจากเจตนา อันต้องการประกาศศาสนาคริสต์ ให้แพร่หลาย ในหมู่ประชากรโลกแล้ว ยังรวมไปถึง ผลประโยชน์ ซึ่งสำนักวาติกันจะได้รับ (ซึ่งได้รับตลอดมา สามารถพิสูจน์ได้จากประวัติศาสตร์ จวบจนปัจจุบัน)

การประสานผลประโยชน์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ กับองค์กรต่างศาสนา คือการจัดตั้ง "รางวัลสันติภาพ" เพื่อให้เอื้อประโยชน์ เป็นหนึ่งเดียวกัน กับมติที่ประชุมวาติกัน ฉบับที่ ๒ เริ่มในปี พ.ศ.๒๕๒๔ (ค.ศ.1981) มีชื่อเป็นทางการว่า The UNESCO Prize for Peace Education ซึ่งเน้นหนักในเรื่อง สิทธิของมนุษย์ ที่พระเจ้าประทาน หรือที่เรารู้จักกันว่า "สิทธิมนุษยชน" ผลงานเขียนทั้งสิ้นนั้น จะต้องสนับสนุน อ้างอิงแนวศาสนาคริสต์ และผู้ที่จะได้รับรางวัลนี้ จะเป็นบุคคลที่ นับถือคริสต์ศาสนาทั้งสิ้น มีพระภิกษุในพุทธศาสนาคือ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นผู้เดียวในประวัติศาสตร์ ที่ได้รับรางวัลนี้

อย่าสงสัยอะไรเลยครับ ก็เพราะผลงานเขียน ที่นำเสนอส่งเข้าไปนั้น ได้ปรับเปลี่ยนพระสัทธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ไปเรียบร้อยแล้ว และที่เหนือไปกว่านั้น ในประเทศไทย มีพระภิกษุสงฆ์ เป็นฐานันดรหนึ่ง ที่ประชาชนให้ความเคารพ ศรัทธา ทั้งนี้เพราะ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ล้วนมีรากฐาน มาจากพระพุทธศาสนา ฉะนั้นการเข้ายึดครอง จึงต้องกลืนพระพุทธศาสนา ให้ได้เสียก่อน โดยการปลอมปนหลักธรรม คำสอนในพระไตรปิฎก และใช้บุคลากร ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ของพุทธเอง จากความช่วยเหลือ ขององค์กรคริสเตียน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และศาสนพิธี ทางพระพุทธศาสนา ให้กลายเป็นของคริสเตียนให้ได้ ซึ่งจากพฤติกรรม การกระทำพระธรรมปิฎก (ปยุตโต) และพยานหลักฐานสาธารณะ บ่งชี้ชัดว่า พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) และแนวร่วม ที่ต่างออกมาสร้างกระแส ทำลายพระพุทธศาสนา อยู่ในขณะนี้ (ปี พ.ศ. ๒๕๔๒) อาจเป็นบุคคลที่ถูกจัดสรร ให้เข้าทำการ ในส่วนของการทำลาย ขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีไทย องค์กรปกครองคณะสงฆ์ ตลอดจน พระธรรมวินัย ของพระพุทธศาสนา โดยใช้ฐานการทำลาย จากกระทรวงศึกษาธิการ อันสามารถขยายผลโดยตรงสู่ การศึกษา (สมองและความคิด) ของประชาชน ซึ่งหมายถึงสังคมประชาชาติ ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง ในที่สุด ซึ่งขณะนี้ ท่านผู้อ่าน ก็คงเห็นประจักษ์ โดยไม่ต้องอธิบาย ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กับพระพุทธศาสนา อันเป็นฐานรากของประชาชนไทย และหากชาวพุทธไทย ไม่ดำเนินการ อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเฉียบพลันทันที แน่นอนที่สุด พระพุทธศาสนา จะต้องถูกทำลายไป อย่างไม่มีทางแก้ไข เหลือเพียงซากโบราณสถาน ไว้เป็นที่ท่องเที่ยว มีพระภิกษุสงฆ์ เป็นเพียงเครื่องประดับ เหมือนในอินเดีย อินโดนีเซีย อัฟกานิสถาน ฯลฯ จึงเป็นคำถามพุทธบริษัท ซึ่งพระพุทธองค์ ทรงมอบหน้าที่ให้พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนานั้น จะปล่อยให้พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย ถูกทำลายล้าง หรือจะหาทางป้องกันเสีย ก่อนที่จะสายเกินการณ์ และหมดทางแก้ไข ในขณะนี้ ศาสนาอื่นกำลังใช้อำนาจอิทธิพล ร่วมกับบุคคลในรัฐบาล เตรียมออกกฎหมาย บังคับชาวพุทธ ในประเทศไทย และเมื่อกฎหมายมีผล บังคับใช้เมื่อใด เมื่อนั้นคงไม่ต้องคิดหนทางแก้ไขแล้ว คงได้แต่นึกสภาพว่า ชาวพุทธเราจะอยู่กันอย่างไร?

หนังสือเล่มนี้ ผมมุ่งเน้นความเป็นจริง พร้อมด้วยหลักฐานทางราชการ และหลักฐานสาธารณะที่เป็นจริง ที่จะนำพิสูจน์ให้ได้เห็น เฉพาะในส่วนของ การทำลายพระพุทธศาสนา และระบบการศึกษาของชาติ อันเป็นฐานราก แห่งความเป็นชาติ ประกอบเหตุการณ์ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน อันมี พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) พร้อมกับเครือข่าย บุคคล องค์กรต่างศาสนา ให้ท่านผู้อ่านพิจารณา ด้วยเหตุและผล ของแต่ละท่านโดยอิสระ ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่เท่านั้น??? อันจัดเป็นวิถีทางโดยสุจริต ที่จะพิทักษ์รักษา สถาบันพระพุทธศาสนา อันเป็นหนึ่งในสถาบัน แห่งความมั่นคงของชาติ ให้คงอยู่คู่ประเทศไทย ตราบเท่าที่ประเทศไทย ยังใช้พุทธศักราช เป็นปีประจำชาติ ตามหน้าที่ ที่พลเมืองไทยพึงกระทำ อันได้ระบุไว้โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย

จึงมิใช่มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความแตกแยก หรือความขัดแย้ง ระหว่าง ศาสนา แต่ประการใด

p2-12.jpg (9004 bytes)

๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๒

(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1