เมื่อพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)
"ปลอมปนพุทธวจนะ"

p22-108.jpg (8759 bytes)

 

" กัสสปะ หนทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่
ซึ่งผู้พ้นตามนั้นแล้ว
จักรู้ได้เองทีเดียวว่า
พระสมณโคดม เป็นผู้มีปกติกล่าวถูกต้องตามกาล
กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง
กล่าวโดยอรรถ  กล่าวโดยธรรม   กล่าวโดยวินัย ดังนี้ "
(บาลี มหาสีหนาทสูตร สี.ที.๙/๒๐๙-๒๑๐)

                ๑. ทำลายระบบ " ไตรสิกขา " หัวใจพระพุทธศาสนา             

จุดเด่นของพระพุทธศาสนาที่เหนือกว่าศาสนาใดๆ คือการปฏิบัติ ทางสมาธิจิต ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ และกิเลสอาสวะ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ซึ่งด้วยหลักการปฏิบัติสมาธิจิตนี้เอง ที่ทำให้ศาสนาพุทธ ยั่งยืนถาวร มาได้ยาวนาน กว่า ๒,๐๐๐ ปีแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า "สมาธิ" เป็นแนวทางปฏิบัติ ของพระพุทธศาสนา อันนำทางผู้ปฏิบัตินั้น ให้เข้าถึงซึ่ง "นิพพาน" หลุดพ้นจากกิเลส ตัณหา อาสวะทั้งปวง อันเป็นเป้าหมายสูงสุด แห่งพระพุทธศาสนา ปรากฏเป็นพุทธพจน์ อันจัดเป็นชั้นสุตตะ (สูงสุด เพราะเป็นพุทธพจน์โดยตรง) ยืนยันความสำคัญแห่ง สมาธิ อยู่มากมาย ในพระไตรปิฎกบาลี เช่น ใน (มหาสัจจกสูตร มู. ม. ๑๒/๔๖๐/๔๓๐) ว่า

"...เรานั้นหรือ... ย่อมตั้งไว้ซึ่งจิต ในสมาธินิมิต อันเป็นภายใน โดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีความ เป็นจิตเอก ดังที่คนทั้งหลาย เคยได้ยินว่า เรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้" และ (บาลี มหาสัจจกสูตร มู. ม. ๑๒/๔๖๐/๔๓๐) ว่า

"ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย เราเจริญแล้ว ซึ่งสมาธิ อันมีวิตกวิจาร ซึ่งสมาธิ อันไม่มีวิตก แต่มีวิจารพอประมาณ ซึ่งสมาธิ อันมีปิติ ซึ่งสมา ธิอันเป็นไปกับ ด้วยความสุข และสมาธิ อันเป็นไปกับ ด้วยอุเบกขา

ดูก่อนอนุรุทธะทั้งหลาย กาลใด สมาธิ อันมีวิตกวิจาร เป็นธรรมชาติ อันเราเจริญแล้ว กาลนั้น ญาณเป็นเครื่องรู้ เครื่องเห็น เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเรา ไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพเป็นที่เกิด ไม่มีอีก (นิพพาน) ดังนี้"

แต่ปัจจุบัน พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ได้เปลี่ยนแปลงคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียใหม่ ในส่วนหัวใจ คือ "สมาธิ" อันหมายถึงการปฏิบัติทางจิต ให้พ้นทุกข์ทั้งปวง ว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และเป็นสิ่ง ถ่วงความเจริญ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้นั้นเป็นอันตราย ต่อสังคม การศึกษาไม่เดินหน้า ทั้งชีวิตและสังคม ไม่พัฒนาเพราะมัวหาความสุข จากสิ่งกล่อม หน้า ๓๔-๓๕

"สิ่งที่ทำให้คนอ่อนแออีกอย่างหนึ่งคือ สิ่งกล่อม ..สิ่งกล่อม ทำให้คนเพลิดเพลิน สบาย หลบปัญหา หายทุกข์ต่อมิอะไรชั่วคราว เพราะฉะนั้น ในชีวิตของมนุษย์ จึงอาจกล่อมกันมาก ในทางกาย เช่น นอนไม่หลับ ไม่สบาย มีความทุกข์ เราก็อาจจะต้องอาศัย ยากล่อมประสาท ...เราไม่ควรจะติด ไม่ควรจะเป็นทาสของมัน แต่จะใช้เฉพาะ เมื่อจำเป็น เพื่อแก้ปัญหาชั่วคราว.... " (ชี้นำให้เห็นอันตรายเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย)

".......... จะยกตัวอย่างสิ่งกล่อม ระดับร้าย เช่น สุรา สิ่งเสพติด การพนัน พวกนี้เป็นสิ่งกล่อมทั้งนั้น บางคนทุกข์ เดือดร้อน แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เอาสุรามากล่อมใจ ก็หมดปัญหาไปได้ชั่วคราว สบาย สิ่งเสพติดทั้งหลาย ก็เหมือนกัน เด็กสมัยนี้ มีทุกข์มาก ใช้ยาเสพย์ติด เป็นสิ่งกล่อม ก็หายทุกข์ สบายไปชั่วคราว ข้างหน้าไม่ต้องคิดถึง อีกพวกหนึ่งคือ การพนัน ซึ่งเป็นสิ่งกล่อมใจ ให้อยู่ด้วยความหวัง แต่ทำให้คน ไม่เพียรพยายาม ทำการด้วยตนเอง แล้วก็จม ติดหลง เป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่พัฒนา แต่จะอ่อนแอและไม่ก้าวหน้าต่อไป นี้หนึ่งละ คือระดับที่ร้าย"

(เป็นการชักนำ ให้สภาพความเลวร้าย ของสิ่งกล่อม เพื่อให้เกิดความคล้อยตามความคิดเห็น ที่จะเสนอต่อไป.... ผู้วิเคราะห์)

"สิ่งกล่อมระดับกลาง ก็เช่นสิ่งบันเทิง ดนตรี ...ทำให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย มีแรง แต่อย่าอยู่กับมันตลอด ใครอยู่กับมันตลอดก็จบ ต่อไปยังมีสิ่งกล่อมที่ประณีตมากยิ่งขึ้นไปอีกจนกระทั่งถึง สมาธิ"

(บีบให้คล้อยตามว่า จะไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ในคำว่า "ก็จบ" ซึ่งจะหมายถึงความหยุดยั้ง แห่งความเจริญ เพื่อดึงเข้าสู่เป้าประสงค์สุดท้าย ที่ต้องการจริง.... คือ ต้องการชี้ให้เห็นว่า สมาธิเป็นสิ่งชั่วร้าย )

"สมาธิ นั้น คนจำนวนมาก เอามาใช้เป็นสิ่งกล่อม คือ มันช่วยให้สบาย พอเข้าสมาธิได้ ก็เพลินอยู่นั่นแหละ สบาย สงบจิตใจ มีความสุข หายฟุ้งซ่าน ความกลุ้มเครียดก็หายไป ที่ว่านี้ก็ดีเหลือเกิน สบาย แต่เมื่อติดสมาธิ มัวนั่งสมาธิ ไม่เอาแล้ว ปัญหามีไม่แก้ ก็กลายเป็น ติดสิ่งกล่อมเหมือนกัน.....นั้นคือเป็นตัวนำ ไปสู่ความประมาท เพราะฉะนั้นทางพลาด จึงมีได้หลายระดับ"

(จะเห็นได้ชัดว่า เป็นการบิดเบือนจุดมุ่งหมายของสมาธิ โดยหลักธรรม แห่งพระพุทธศาสนา โดยชัดแจ้ง อีกทั้งยังพยายามชี้นำ ให้เห็นว่า การทำสมาธิ เป็นสิ่งอันตราย สำหรับผู้ที่ปฏิบัติอีกด้วย.... ผู้วิเคราะห์)

"วิปัสสนา แบบปลงอนิจจัง (อสุภกรรมฐาน... ผู้วิเคราะห์) บางคนพอเห็นว่า สิ่งทั้งหลายเสื่อมไป เกิดความพลัดพราก ก็ว่าโอ้ ไม่เที่ยงหนอ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ย่อมต้องดับไป เป็นธรรมดา เจริญแล้ว ก็ต้องมีเสื่อม จะทำอะไรได้ หรือจะไป เอาอะไรกับมัน ก็ต้องปล่อยมันไป ปลงอนิจจังได้ ก็ใจสบาย พอสบาย ก็ไม่เอาแล้ว ปัญหาต่างๆ ไม่แก้ เรื่อยเปื่อยเฉื่อยชา ประมาท นี่ก็เป็น ตัวกล่อมเหมือนกัน"

(จะเห็นได้ว่า ข้อความนี้ เป็นการปฏิเสธหลักคำสอนของ พระพุทธศาสนา โดยแจ้งชัด ไม่ว่าจะโดยอรรถ พยัญชนะ อันปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่สามารถจะนำมากล่าวเช่นนี้ได้ จึงเชื่อได้ว่า มิใช่เป็นลักษณะของการเขียน โดยผู้ศรัทธานับถือ ในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการโจมตี หลักการปฏิบัติจิต ของพระพุทธศาสนา ว่าเป็นอันตราย ต่อผู้ปฏิบัติทั้งสิ้น เป็นการกระทำ โดยเจตนา ประสงค์ต่อผล ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังมีการย้ำความหมาย และเจตนาของตน ไว้อีกด้วย... ผู้วิเคราะห์)

"อะไรก็ตาม แม้จะดี ถ้าทำให้เกิดความประมาท ก็ผิด ...สรุปว่า คนจะอ่อนแอไม่พัฒนา เสียผลต่อการศึกษา เนื่องจากการ เห็นแก่ความสะดวกสบาย หลงติดในสิ่งกล่อม"

ข้อความดังกล่าว คัดจากหนังสือชื่อ แง่คิด ข้อสังเกต เกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) "โครงการปฏิรูป กระบวนการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษา" เอกสารพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารอันดับที่ ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๕๔๑ (ก่อนมี พรบ. การศึกษาแห่งชาติ) จำนวนถึง ๕๔,๐๐๐เล่ม แจกจ่ายสถานศึกษา ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ ครู อาจารย์ ใช้เป็นคู่มือ ในการสอน โดย นายพยุงศักดิ์ จันทรสุรินทร์ อธิบดี กรมวิชาการ ซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ นายนิเชต สุนทรพิทักษ์ (ลูกศิษย์พระธรรมปิฎก) ซึ่งส่งผลให้เยาวชน ซึ่งได้รับแนวการสอนเช่นนี้ จะถูกชี้นำ ให้เห็นว่า ไม่ควรปฏิบัติสมาธิจิต อันจะเป็นการกำจัดการเจริญเติบโต และแนวทางการเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนในแนวทางพระพุทธศาสนา และการเข้าอบรมธรรมปฏิบัติ ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในช่วงปิดเทอม หรือภาคฤดูร้อน ซึ่งเน้นในเรื่อง การทำสมาธิ แนวพระพุทธศาสนานั้น จะต้องถูกยกเลิก เพราะการชี้นำ จากหนังสือดังกล่าว ที่ระบุว่า มีอันตราย ต่อสถาบันชาติ และทำให้ประชากร ไม่พัฒนาอีกด้วย จึงเป็นที่สงสัย ในพฤติกรรม และจุดมุ่งหมาย ของพระธรรมปิฎก ว่าทำเพื่ออะไร? จุดมุ่งหมายที่แท้จริง คืออะไร ???

นอกจากตัวอย่างที่นำมากล่าวแล้วนี้ ยังปรากฏอีก ในหนังสือหลายเล่ม ที่แต่งโดย พระธรรมปิฎก เช่น ในหนังสือ "กรณีธรรมกาย" ตั้งแต่หน้า ๑๔๐ (ฉบับสมบูรณ์) ไปจนถึงหน้า ๑๔๒ เป็นลักษณะของ การเจตนาทำลาย พระพุทธศาสนา อย่างรุนแรง โจมตีวิธีการทำสมาธิจิต ว่าทำให้ตก อยู่ในความประมาท? ข้อความว่า

"การดิ้นรนหาทางออกจากปัญหาจิตใจ ด้วยวิธีการทางจิตนี้ เป็นสุดโต่ง อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นการ แก้ปัญหาด้านหนึ่ง แต่กลับก่อให้เกิดปัญหาใหม่ ฯลฯ โทษที่ทางพระพุทธศาสนา ถือว่า ร้ายแรงมาก ก็คือ ทำให้ตกอยู่ในความประมาท"

"ผู้ที่ใช้วิธีทางจิต ฯลฯ ความสุขที่เราได้นี้ มากับความดื่มด่ำ แบบลุ่มหลง ที่ ไม่ต่างมากนัก กับความสุขของคนเสพยาหรือไม่ ?"

"กรณีธรรมกาย" ฉบับ เม.ย.๔๒ ความว่า

"แม้ได้ สมาธิ ประณีตเท่าไรๆ ไปได้ไกลที่สุด ก็คือ ฌานสมาบัติ และโลกิยปัญญา... พอได้บรรลุแล้ว ก็ดื่มด่ำสุขสันต์ อยู่กับการเล่นฌานกีฬา....กลายเป็นปิดโอกาสตนเอง ที่จะบรรลุอิสรภาพ แห่งปัญญา.....

สมาธิดับทุกข์จริงไม่ได้.... คนมักประทับใจ กับภาวนา ด้านจิต ติดอยู่กับอิทธิปาฏิหาริย์ หรือไม่ก็ความสุข อย่างลึกซึ้ง อย่างแรกเป็นจุดล่อ ให้ไขว้เขว อย่างหลังก็ชวนให้ติดจม สุขจากภาวนาด้านจิต จะเป็นไปในทาง ดูดดื่มดื่มด่ำ ซู่ซ่าซาบซ่าน หรือสงบซึ้ง เป็นครั้งคราว... แต่ชีวิตก็ต้องการ เป็นครั้งคราว... ทำให้ติดเพลิน จมอยู่ ไม่ก้าวหน้าต่อไป และตกอยู่ในความประมาท"

จุดประสงค์ในการต้องการทำลาย หลักไตรสิกขา ของพุทธศาสนา ปรากฏ ให้เห็น อยู่ในหนังสือ "เราจะกู้แผ่นดิน กันอย่างไร พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า ๒๙-๓๐ บริษัทโรงพิมพ์สหธรรมมิก จำกัด โทร.๘๖๔๐๔๓๔ ว่า

"...ยากล่อม ก็คือ อะไรก็ตามที่มาช่วยกล่อมใจ ได้เพลินๆ สบายไปได้ ในเวลานั้น แล้ว ก็เลยลืมทุกข์ ลืมปัญหา และนอนใจ ลืมดูความเป็นจริง

แม้แต่ที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมขั้นสูง อย่าง "สมาธิ" และ "วิปัสสนา" ..ก็อาจจะ กลายเป็นยากล่อมได้หมด อย่าไปนึกภูมิใจว่า เราปฏิบัติธรรม แล้วจะถูก โดยเฉพาะ "สมาธิ" สมัยนี้ใช้เป็นยากล่อมกันมาก คือว่า พอทำ "สมาธิ" ได้ ก็ใจสบาย หายทุกข์หายร้อน ทีนี้พอมีความทุกข์มา ก็นั่งสมาธิ แล้วก็สบาย

แม้แต่สมาธิที่ว่าดี เมื่อปุถุชน ได้ ก็มักเอามาใช้เป็นยากล่อม"

การโจมตีเรื่องการปฏิบัติ "สมาธิจิต" ให้ผู้อ่านเกิดความโน้มเอียงว่า เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เหมือนยาเสพย์ติด หรือสิ่งที่เป็นอันตราย ต่อสังคมนั้น มีปรากฏให้เห็น แทบจะทุกเล่ม หนังสือที่เขียนโดย พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งเปรียบไปถึงว่า "สมาธิจิต" ไม่ผิดอะไรกับ ยาอี ยาบ้า ปรากฏในหนังสือ "ธรรมกับไทย ในสถานการณ์ปัจจุบัน" พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า ๓๗ กองทุนเพื่อสันติภาพ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ธ.ค.๒๕๔๑ จำนวน ๕๑๐๐๐ เล่ม (งบประมาณรัฐ = ประชาชน) ว่า

"ถ้าไม่หันไปพึ่ง ยาอียาบ้า หรือหาเครื่องกล่อมใจ ในผับในบาร์ ก็เลยไปหาความสุขทางจิต โดยการนั่งสมาธิ แบบหนีโลก กลายเป็นฤาษีสมัยใหม่ หรือโยคีธุรกิจ เวลานี้มีการใช้สมาธิ อย่างไม่ถูกต้อง คือ ใช้สมาธิ แบบเป็นยากล่อมกันมาก.."

โดยความเป็นจริงตามข้อมูลหลักฐานแล้ว พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ไม่เคยเข้ารับการศึกษา ทางด้านการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน ในสำนักใดเลย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ การทำสมาธิ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดๆ ก็จะเป็นการช่วยสภาพทางจิต ให้สงบระงับ อันเป็นทางมา แห่งปัญญาอยู่แล้ว โดยหลักแห่งพุทธศาสนา นับว่า เป็นปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นการบูชาอันสูงสุด ยิ่งกว่าอื่นใด เหตุใด พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงเผยแพร่อุดมการณ์ อันขัดต่อ หลักพระพุทธศาสนา เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ที่ควรเป็น อย่างน้อย ในฐานะพระภิกษุสงฆ์ ที่อยู่ในพุทธศาสนาด้วย

(สรุป จะเห็นได้ว่า จากตัวอย่างข้อความ ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) นั้น ขัดต่อพระพุทธวจนะ อันปรากฏใน พระไตรปิฎกบาลี อย่างขาวเป็นดำ โดยเฉพาะผู้เขียน เป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา มีสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะ ซึ่งถูกสร้างภาพให้สังคมยอมรับ และเขียนหนังสือดังกล่าวขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักสูตร คู่มือการศึกษา ของประชาชน และเยาวชนในชาติ จึงพอจะมองเห็นเจตนา ของผู้เขียนได้ ซึ่งหากเราพิจารณา จากข้อมูลด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์การทหาร เขาจะให้ความสำคัญต่อเรื่อง สมาธิจิต เป็นอย่างมาก จึงขอนำข้อมูล ทางวิชาการ ของประเทศมหาอำนาจ เกี่ยวกับด้านสมาธิจิต มาเป็นเครื่องยืนยัน พฤติกรรมของ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ว่าเป็นความจริง ถูกต้องเพียงใด และจะพิสูจน์ได้ ถึงจุดมุ่งหมาย และวัตถุประสงค์ ที่ต้องทำลาย โจมตี สมาธิจิต ว่าเป็น สิ่งถ่วงความเจริญ เป็นยากล่อม หรือ เป็นอันตราย ซึ่งขัดต่อแนวทาง พระพุทธศาสนานั้นว่า จริงหรือไม่ ประการใด

การเผยแพร่คำว่า สมาธิจิต เป็นเรื่องถ่วงความเจริญ เป็นยาเสพย์ติด ทำให้ประมาท แก้ปัญหาไม่ได้ เพื่อให้ประชาชนของชาติ ยึดถือเอามา เป็นแนวทาง และใช้การเผยแพร่อุดมการณ์ ยึดพื้นที่ทางสมอง ของชนในชาติ ให้เชื่อและกระทำตามนั้น เป็นส่วนหนึ่งของ ยุทธศาสตร์กลืนชาติ ซึ่งแม้ว่าต่างชาติ ต่างศาสนา จะต้องใช้เวลา นับสิบๆ ปี แต่ก็คุ้ม เพราะเป็นการยึดครอง แบบถาวร แต่คำถาม คงอยู่ที่ว่า ไอ้โม่งตัวจริง ที่บงการให้ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) บิดเบือน พุทธพจน์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ตนเอง ก็เป็นพระภิกษุ ในพุทธศาสนานั้น เป็นใคร อย่างไรก็ตาม ผลของการกระทำของ ขบวนการดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ในขณะนี้ (๒๕๔๒) ประชาชนไทย จำนวนไม่น้อย ได้ถูกยึดครองพื้นที่ทางสมอง ไปเรียบร้อยแล้ว จนถึงขนาด แสดงออกมาเป็น พฤติกรรมต่อต้าน ทำลายพระมหาเถระ แห่งองค์กรปกครอง คณะสงฆ์ไทย ลามไปจนถึง องค์สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นองค์ประมุขสงฆ์ ซึ่งมิใช่เหตุการณ์ ที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ นับแต่ครั้ง ไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัย ฉะนั้นจึง มิใช่เรื่องปกติธรรมดา ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการ ที่นำมาเสนอนี้ จะเห็นว่า พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) มิได้ยืนอยู่บน ข้อแท้จริง ทั้งทางวิทยาศาสตร์ และหลักการ แห่งพระธรรมวินัย อันปรากฏใน พระไตรปิฎก ซึ่งให้พระภิกษุสงฆ์ ในพุทธศาสนา ยึดถือปฏิบัติ สืบต่อกันมา ตลอดเกือบ ๓,๐๐๐ ปี หากไม่ให้คิดว่า เป็นการรับจ้าง ทำลายพุทธศาสนา จะให้คิดว่าอย่างไร ????

ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ผมได้รับหน้าที่ ในหน่วยวิเคราะห์ และติดตามผล ปฏิบัติการทดสอบ ในส่วนหนึ่ง ของโครงการ STAR WAR ซึ่งโครงการนี้ ได้ถูกแยกแขนง การทดสอบ ทดลอง อย่างมากมาย และรายงานตรงต่อผม และเสนาธิการ ทหารยุทธศาสตร์ การรบนอกแบบ ไมโครฟิล์มข้อมูลลับสุดยอด อันเป็นคำสั่ง ที่ต้องรับทราบโดยตรง

สิ่งที่กล่าวถึงในไมโครฟิล์มลับสุดยอดนี้ คือ โครงการ เปลี่ยนสภาพสังคมมนุษย์ใหม่ ซึ่งเป็นที่มาของแผน ONE WORLD ORDER หรือที่ภาษาไทยเรา เห่อเรียกกันว่า โลกาภิวัฒน์ "โลกไร้พรมแดน" นั่นเอง โดยรายละเอียดมากมาย ในเอกสารดังกล่าว และมีเป้าหมาย ในการยึดพื้นที่ทางสมอง (MENTAL) เป็นหลักมากกว่า การยึดพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ โครงการนี้ เน้นหนักในการ ยึดพื้นที่ทางสมอง ทุกรูปแบบ การทดสอบทดลองใดๆ อันเกี่ยวข้อง กับการควบคุม การสั่งการ บัญชาการ สู่สมองมนุษย์ จะถูกจัดเข้าอยู่ในโครงการนี้ทั้งสิ้น

ดังนั้นระบบสื่อสารทุกสื่อ ทั้งทางด้านสิ่งพิมพ์ หรือการเผยแพร่ภาพ รวมไปถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้ จะถูกนำมาวิเคราะห์ อย่างเป็นรูปธรรม ฉะนั้นการควบคุม การสื่อสาร ระหว่างมนุษย์ให้ได้ จึงมีความสำคัญ ต่อยุทธศาสตร์ มากกว่าสิ่งอื่น และแน่นอนที่สุด สิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ ในปัจจุบัน (๒๕๔๒) นี้ คือ มนุษย์ส่วนใหญ่ ตกอยู่ในลักษณะกึ่งทาส ของระบบสื่อสารไปเสียแล้ว

โครงการดังกล่าวนี้ ทำหน้าที่ศึกษา วิจัยค้นคว้า การทำงานของสมอง ที่มีปฏิกริยา ต่อย่านความถี่ ในระดับต่างๆ โดยเฉพาะในส่วน ที่สร้างปรากฏการณ์ เหนือธรรมชาติ ซึ่งเรียกว่า สมาธิจิต อย่างจริงจัง เพื่อนำมาใช้กับ กองทัพของประเทศ เพิ่มศักยภาพ ให้กับบุคคล ชั้นบัญชาการ และหน่วยรบพิเศษ ของประเทศมหาอำนาจนี้ รวมไปถึงการยึดครองทางสมอง ซึ่งเรียกว่า ยึดพื้นที่ทางสมอง และการต่อต้าน การล้างสมอง ในองค์การจารกรรม

ดังนั้น ข้อมูลดังกล่าวที่ปรากฏกับท่าน คือข้อแท้จริง ที่เกิดขึ้นจริง กำลังดำเนินอยู่ และกำลังเป็นไป ในส่วนของข้อแท้จริง เฉพาะเรื่องของ สมาธิจิต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุด จัดว่าเป็นโครงการหัวใจ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ซึ่งท่านผู้อ่าน จะได้ทราบถึงศักยภาพ ระบบการทำงานต่างๆ ที่ท่านอาจจะไม่น่าเชื่อว่า นักวิทยาศาสตร์ ของประเทศมหาอำนาจ ได้รับทุนจากรัฐบาล ปีละหลายพันล้าน ดอลล่าห์สหรัฐ เพื่อทำการค้นคว้า และปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งผลการทดลองบางส่วนนั้น ได้พบว่า การทำ สมาธิจิต นั้น สามารถป้องกันภยันตราย หรือคลื่นความถี่ในย่านต่าง ๆ อันมีปฏิกริยาทางลบ ต่อสมองส่วนความจำ หรือสมองส่วนใต้สำนึกได้ เพราะคลื่นสมอง ของผู้ปฏิบัติสมาธิจิตนั้น จะเรียบกว่า บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อทำการทดลอง ส่งกระแสย่านความถี่ สู่โยคีชาวเนปาล ปรากฏผลว่า เครื่องส่งความถี่นั้น เสียหาย เพราะทำงานเกินกำลัง แต่โยคีนั้นกลับไม่เป็นอะไร แม้แต่น้อย แต่เมื่อนำระดับคลื่นดังกล่าว ทดสอบกับนักโทษ ที่ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิจิต ผลปรากฏว่า มีอาการเซื่องซึม ลืมโลก ไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายกับติดยาเสพย์ติด สั่งให้ทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น นี่คือความสำคัญ ของคำว่า สมาธิจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเศษสุด ของพระพุทธศาสนา ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี และเป็นคำตอบได้ว่า เหตุใด การแสดงออก หรือหนังสือที่ถูกเขียนขึ้น โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงต้องสร้างกระแส เปลี่ยนแปลงความเชื่อจากเดิม (สร้างความเชื่อใหม่ สลายศรัทธาเดิม) ทั้งๆ ที่ขัดต่อพุทธพจน์ ออกเผยแพร่โจมตีว่า สมาธิจิต เป็นเครื่องถ่วงความเจริญ เป็นยาเสพย์ติด ทำให้ประมาท แก้ปัญหาไม่ได้ หลายสิ่งในข้อเขียน ของผมคงจะให้คำตอบ หรือคำอธิบาย สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ว่ามีสาเหตุ มีจุดมุ่งหมาย หรือเป้าประสงค์อย่างใด ต่อนักวิชาการทหาร ปัญญาชน รวมไปถึงประชาชาติ ในอนาคต ที่จะได้ศึกษาค้นคว้า จากสิ่งที่เป็นจริง ใช้ชีวิตอย่างไม่มืดบอด ต่อสถานการณ์ พร้อมกับแสวงหาแนวทางป้องกัน และต่อต้าน กระแสความเป็นทาส จากการยึดครองทางสมอง ให้ได้ต่อไปในอนาคต

แม้แต่ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน คราวมาเยือนประเทศไทย วันที่ ๓ ก.ย. ๒๕๔๒ ยังกล่าวเตือน ด้วยความห่วงใยว่า "ขณะนี้ชาติเอเซีย กำลังถูกคุกคาม ด้วยภัยการล่าอาณานิคม ในรูปแบบใหม่" นั่นก็คือ การยึดพื้นที่ทางสมอง ให้สยบยอมไร้การต่อต้าน เป็นทาสทางความคิด กระทำตามกระแส และแรงชี้นำของสื่อ ซึ่งมุ่งตรง สู่สมองของผู้รับโดยเฉพาะ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า ประเทศมหาอำนาจ จะทำธุรกิจผูกขาด ทางด้านระบบสื่อสารทุกชนิด ที่มีผลสั่งตรงสู่สมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะ INTERNET ซึ่งก็เป็นวิธีเดียวคล้ายกันกับที่ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ดำเนินการโดยเผยแพร่ และยัดเยียดความคิด ผ่านสถาบันศึกษา และสื่อทุกแขนง ให้เข้าสู่สมองประชาชน ในประเทศ เพื่อให้เกิดกระแส และความเชื่อ ให้กระทำตามตนนั่นเอง ผิดกันแต่ว่า เครื่องไม้เครื่องมือในสมัยก่อน ยังไม่พัฒนามากนัก จึงต้องใช้เวลามากเป็นธรรมดา

                ๒. การปลอมปนเปลี่ยนแปลงความหมาย "ปัญญา"             

ปัญญา เป็นส่วนสุดยอดของหลักไตรสิกขา ของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความหมาย ต่างไปจากปัญญาทางโลก โดยสิ้นเชิง เพราะปัญญา ในความหมายของ พระพุทธศาสนา จะเกิดจากผล ของการปฏิบัติสมาธิ จนพ้นระดับญาณ อันเป็นจุดใกล้ที่สุด ที่จะถึงพระนิพพาน ซึ่งปัญญาในระดับนี้ เรียกว่า ปัญญาของพระอริยะ จะไม่มีการเกี่ยวข้องใดๆ กับทางโลก (โลกิยปัญญา) แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะเป็นปัญญาแห่งการรู้แจ้งในวัฏฏสงสาร (การเวียนว่ายตายเกิด) แต่พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กลับให้ความ หมายคำว่า ปัญญาของพระอริยะ ผิดไปจากความหมายของพุทธพจน์ ปรากฏในหนังสือ "พุทธธรรม" ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ "หนังสือพุทธธรรม คือสัทธรรมปฏิรูป"


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1