"อุดมธรรม" |
สิกขาบท หรือ วินัยสงฆ์อันบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก ก็มิได้ยกเว้นการลงโทษ แม้ว่าพระภิกษุรูปนั้น จะเป็นใครก็ตาม ก็ถูกลงทัณฑ์ทั้งสิ้น (ยกเว้นผู้เป็นต้นบัญญัติสิกขาบท) นี่คือความเสมอภาค และความศักดิ์สิทธิ์ ของพระวินัยบัญญัติ แห่งพระพุทธศาสนา ทำให้พุทธศาสนา ยืนยงตลอดมา เกือบ 3,000 ปี เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปว่า คณะกรรมาธิการศาสนา นำโดย นายอำนวย สุวรรณคีรี เป็นประธานที่ปรึกษา ผู้เป็นตัวตั้งตัวตี ในการเสนอต่อสภาผู้แทนฯ ว่า การสอนของ "พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย" ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก โดยสอนว่า "นิพพานเป็นอัตตา" และฟ้องร้องทางสงฆ์ โดยการอาศัยข้อมูลจาก หนังสือกรณีธรรมกาย ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นหลักในการกล่าวหา ก่อให้เกิดกระแส การต่อต้านพระพุทธศาสนา อย่างรุนแรง ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ในประเทศไทย ยังความเสื่อมเสีย และเศร้าสลดใจ ต่อพุทธศาสนิกชน ไปทั่วประเทศ ทั้งๆ ที่ปรากฏเป็นหลักฐานแน่ชัด ในพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า นิพพานเป็นอัตตา มีอยู่จริง แต่คณะกรรมาธิการศาสนาฯ ก็มิได้ใช้วิจารญาณใดๆ หรือหาข้อมูลจากแหล่งอื่นใด จากบุคลากรผู้ทรงภูมิรู้ ทั้งปริยัติ และปฏิบัติ ทางพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่มากมาย นับไม่ถ้วน จากพฤติกรรมดังกล่าวนั้น จึงเป็นลักษณะของ การจุดกระแส สร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น กับขบวนการของตน และผู้ร่วมรับผลประโยชน์ ซึ่งมิได้เป็นไปตามข้อมูล และความเป็นจริง ในข้อเท็จจริงอันมีอยู่จริง บัดนี้เป็นที่พิสูจน์ได้ว่า ได้มีการวางแผนการ สร้างสถานการณ์ ปลอมพระลิขิตพระสังฆราช นำมาใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อทำลาย และ/หรือล้มล้าง เปลี่ยนแปลงระบบ การปกครองคณะสงฆ์ไทยใหม่ และเอื้ออำนวยโอกาสให้องค์กรต่างศาสนา สามารถเข้ามา มีอำนาจควบคุม องค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย โดยการสร้างสถานการณ์ "กรณีธรรมกาย" ขึ้น โดยมีพฤติกรรมดังนี้ การเปลี่ยนความหมาย "นิพพาน" ในพระพุทธศาสนา คือการตั้งศาสนาใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นและพิสูจน์ได้ชัดก็คือ การนำเสนอ คำว่า อุดมธรรม ขึ้นมาเป็นความหมายว่า คือ นิพพาน และเมื่อ ไปเปิดดูในพระไตรปิฎก แม้กระทั่งใน ฉบับบาลีสยามรัฐอันเป็นแม่แบบ ก็ไม่พบความหมาย ของคำว่า อุดมธรรม คือ นิพพาน แม้กระทั่งในไวพจน์ ของความ หมายนิพพาน ก็ไม่ได้ใช้คำว่า อุดมธรรม เรียกแทนแต่อย่างใด และมิได้มีความละม้าย ไม่ว่าโดยอรรถ หรือพยัญชนะก็ตาม ซึ่งแม้แต่เณรน้อย ที่เพิ่งเริ่มศึกษาเปรียญธรรม ก็ย่อมทราบได้ดี จึงมิใช่ความพลั้ง เผลอ หรือผิดพลาดใดๆ โดยเฉพาะผู้นำเสนอคือ พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการบดีมหาจุฬาฯ มหาวิทยาลัยสงฆ์ ย่อมมีความรู้รอบคอบ แต่การนำเสนอให้คำว่า อุดมธรรม สูงกว่าพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา และเมื่อตามไปค้นคว้าดูจึงพบว่า ผู้ให้คำจำกัดความคำว่า อุดมธรรม คือ พระธรรมปิฎก ผู้เขียน "กรณีธรรมกาย" ซึ่งเป็นผู้ชี้ประเด็นว่า วัดพระธรรมกาย สอนบิดเบือนพระไตรปิฎกว่า นิพพานเป็นอัตตา นั่นแหละ และนี่คือการตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ โดยมีพระธรรมปิฎก เป็นศาสดา องค์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่หรือไม่ จะเห็นว่า คำว่า อุดมธรรม ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่ง เหนือกว่าพระธรรมวินัย อันเป็นหลักชัย ของพระพุทธศาสนา เมื่อความหมายนิพพาน ของพุทธศาสนา ของเดิมถูกเปลี่ยนไป ก็แสดงว่า มิใช่เป็นศาสนาพุทธแล้ว (ศาสดาธรรมปิฎก ยุคโลกาภิวัตน์?) สิ่งที่เป็นครุกรรมของภิกษุคือ "การบิดเบือนพระไตรปิฎก" ในพุทธศาสนานั้น การเพียรปฏิบัติด้วยสมาธิจิต เพื่อให้กิเลส ตัณหา อาสวะสิ้นไป คือ นิพพาน แต่ในความหมายของพระธรรมปิฎกนั้น นิพพาน คือ อุดมธรรม หรือการอุปถัมภ์ช่วยเหลือศาสนาอื่น ซึ่งมิใช่ความหมายในพระไตรปิฎก เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรมคำสอน ของพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า การจะเขียนคำจำกัดความในพระบาลี อันปรากฏในพระไตรปิฎกใหม่นั้น มิอาจจะกระทำได้โดยพลการ สามารถทำได้ทางเดียวเท่านั้น คือต้องมีการจัดประชุมสังคายนาคณะสงฆ์ ผู้รอบรู้ในทางภาษาบาลี ให้ความเห็นชอบร่วมกัน ในความหมายที่จะแปลออกมา ให้ปรากฏเป็นหลัก แก่พุทธศาสนิกชน ได้ศึกษาอย่างถูกต้อง หากจะถามว่า พระธรรมปิฎกตั้งใจกระทำหรือไม่ มีหลักฐานหรือไม่ ต้องตอบ เป็นความตั้งใจกระทำโดยแท้แน่นอน สามารถพิสูจน์ได้จากหนังสือ "พุทธธรรม" หน้า 275 บรรทัดที่ 8 ซึ่งใช้คำว่า "อุดมธรรม" เพื่อให้มีความหมาย คล้ายกันกับ วิถีชีวิตของชาวคริสต์ ว่าด้วย อุดมภาวะ คือการขึ้นสวรรค์ และมีชีวิตในอันตวาระ (Aschatology) และตามบทบัญญัติ ของคริสเตียน (โรมา 12.4-10) สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ จากเอกสารของวาติกัน เดือนมีนาคม 2511 มีเอกสารคำสั่งของสันตะปาปา มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ภารกิจของงานเผยแพร่ แบบมิชชั่น ไม่จำกัดอยู่เพียงการเปลี่ยนในปัจเจกบุคคล ให้มานับถือคริสต์ศาสนา" และจากฐานข้อมูลการข่าว ทำให้ทราบที่มาของหนังสือ "พุทธธรรม" ว่า เขียนขึ้นในปี พ.ศ.2514 โดย บุคคลต้นคิด ในการเขียนหนังสือพุทธธรรมนั้น คือ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส. ศิวรักษ์) ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิโกมลคีมทอง โดยได้รับทุนจาก องค์กรคริสเตียน สมัยเมื่อพระธรรมปิฎก ดำรงตำแหน่งเป็น พระเทพวิสุทธิโมลี โดยทำหน้าที่เป็นวิทยากร เผยแพร่อุดมการณ์ และ "พุทธศาสตร์แนวใหม่" ที่วัดอุโมงค์ จ.เชียงใหม่ โดยเข้าร่วมกิจกรรมมูลนิธินี้ จากการชักนำของ นายธรรมเกียรติ กันอริ ซึ่งในปี พ.ศ.2519 มูลนิธิโกมลคีมทอง ได้ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เข้าตรวจค้นจับกุม พบเอกสารหลักฐาน โฆษณาเผยแพร่ลัทธิ อันเป็นมหันตภัยต่อชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายแสนเล่ม ทำให้สมาชิก ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ และพระราชวรมุนี (ปยุตฺโต) จึงเดินทางไปสหรัฐอเมริกา และพำนักอยู่ใน รัฐเพ็นซิลวาเนีย (พ.ศ.2519) จึงได้เขียนหนังสือ "ธรรมนูญชีวิต" โดยเฉพาะที่ หน้า 14 บรรทัดสุดท้าย จะเห็นได้ชัดว่า เป็นการปลอมปนพุทธศาสนา ให้เป็นสัทธรรมปฏิรูป โดยตั้งใจเขียน ให้เข้ากับบทบัญญัติของคริสเตียน (โรมา 12.4-18) การที่พระศรีปริยัติโมลีนำเสนอออกมานั้น ได้ผ่านออกสู่สื่อมวลชนทุกแขนง แต่ไม่มีผู้ใดออกมาต่อต้าน หรือแสดงความคิดเห็นว่า อุดมธรรม กับ นิพพาน เป็นคนละเรื่องคนละความหมาย เป็นการบิดเบือนพระสัทธรรม อันเป็นพระพุทธวัจนะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระธรรมปิฎก ที่ขบวนการล้มพุทธ ยกย่องว่า เชี่ยวชาญ ด้านศาสนา เหตุไฉนจึงเงียบกริบ กรรมาธิการศาสนาฯ ที่เจ้ากี้เจ้าการ ฟ้องเอาเป็นเอาตาย กับวัดพระธรรมกาย ไอคิวตกกันแล้วหรือยังไง นี่แหละเขาเรียกว่า อาชญากร ย่อมทิ้งร่องรอย มหาบุญถึง ท่านพยอม นายเจิมศักดิ์ และทิดเถียน พระไพศาลฯ อยู่ที่ไหนล่ะ มาช่วยกันไล่หน่อยเป็นไง ไหง...เงียบไปล่ะ
สร้างสถานการณ์ "กรณีธรรมกาย" เพื่อยึดพื้นที่ทางสมอง (Mental) ท่านผู้อ่านอาจคิดว่า กรณีวัดพระธรรมกาย ไม่เกี่ยวกันกับเรื่อง "อุดมธรรม" ละมัง ??? เกี่ยวแน่นอน เพราะนี่เป็นขั้นตอนหนึ่ง ในยุทธศาสตร์ ยึดพื้นที่ทางสมอง คือการสร้างสถานการณ์ กรณีธรรมกายทุกรูปแบบ เพื่อให้ผู้คน เกิดความสับสน ในคำว่า นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา โดยหลอกล่อ ให้ต่างฝ่ายต่างเอา พระสายปฏิบัติคณาจารย์ฝ่ายตนมาอ้าง สนับสนุนความคิดเห็น และเมื่อผู้คนสงสัยในเรื่อง อัตตา และ อนัตตา ในองค์พระอริยสงฆ์แต่ละองค์ ที่เป็นพระนักปฏิบัติเหล่านั้น ว่าอย่างไหนถูกแน่ ก็จะเกิดความระแวง ที่จะค้นคว้าต่อไป ดังนั้นก็เป็นการง่าย ที่จะโน้มน้าว หรือชักจูงให้เข้าสู่ อุดมธรรม อันเป็นทางเลือกที่สาม เมื่อมีการเอ่ยอ้างคณาจารย์ต่างๆ ว่าท่านเหล่านั้น ปฏิบัติโดยวิชชาธรรมกาย หรือพระอาจารย์ต่างๆ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัวนั้น เป็นการหลอก ให้เอาท่านเหล่านั้นมาทำลาย ซึ่งผู้ที่เคยปฏิบัตินับถือมานั้น เกิดความคลางแคลงว่า เอ๊ะ...ที่พระสุปฏิปันโนเหล่านั้น สอนสั่งสืบมา ถูกต้องจริงหรือเปล่า?? และอย่างที่วัดพระธรรมกายสอนว่า นิพพานเป็นอัตตา จริงหรือเปล่า แล้วหลวงพ่อ หลวงปู่นักปฏิบัติ ที่สอนมาเหล่านั้น เป็นพระอริยสงฆ์จริง หรือว่าเพี้ยนไป และโจมตีหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ว่าบัญญัติลัทธิขึ้นมาใหม่ เป็นต้น และผลที่ขบวนการสลายพุทธต้องการคือ สลายความเคารพนับถือ ที่เคยนับถือกันมา เป็นเวลานาน และมีความสงสัยเกิดขึ้น เพราะขบวนการนี้ จะสร้างภาพและสถานการณ์ โดยกระแสสื่อ ในอาณัติให้เกิดขึ้นว่า ทั้งอัตตาและอนัตตา ไม่มีอันไหนพิสูจน์ได้ว่า อะไรคือของแท้ อะไรคือความหมายที่แท้ ของคำว่า "นิพพาน" ก็จะยึดพื้นที่ทางสมอง โดยแทรกคำใหม่ ใส่สมองชาวพุทธ ด้วยคำว่า "อุดมธรรม" เหมือนนิทานอีสป ตาอินกับตานา ทะเลาะกัน แย่งหัวแย่งหางปลา ตาอยู่มา คว้าพุงปลาไปกิน นั่นแหละครับ ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า แล้วขบวนการดังกล่าวนี้ เขาทำได้ยังไง ชาวพุทธคงจะทราบว่า ขบวนการล้มพุทธนี้ ได้สร้างเหตุการณ์โจมตี "วัดพระธรรมกาย" โดย ตั้งข้อหาว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาส สอนผิดเพี้ยน ไปจากพระไตรปิฎก เพราะสอนนิพพานเป็น อัตตา โดยรายการสื่อ ที่จัดโดยขบวนการนี้ จะหลอกให้พระปฏิบัติหลายสำนัก ออกมาโจมตี และออกความเห็นทำลายกันเอง ทั้งสาย นิพพานเป็นอัตตาและนิพพานเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นการสร้างเสริม ให้ขบวนการดังกล่าว สามารถบรรลุเป้าประสงค์ได้เร็วยิ่งขึ้น นับเป็นแผนการณ์ ที่แยบยลเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโดยจริงๆ แล้วก็ไม่มีใครบอกได้อย่างแท้จริงว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ต่างก็อ้างพระไตรปิฎกบ้าง ครูบาอาจารย์คณาจารย์ ที่ตนเองนับถือบ้าง หรือจากการปฏิบัติธรรม ของแต่ละท่าน ยกตัวอย่างเช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว และสายลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ก็กลายเป็นการดึงเอาท่านมาสนับสนุน พวกที่เห็นด้วยว่า นิพพาน คือ อุดมธรรม ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า พวกขบวนการล้มพุทธที่อ้างตัวว่า ปกป้องพุทธศาสนา ทำไมไม่ออกมา ร้องแรกแหกกระเฌอว่า มีการบิดเบือนพระไตรปิฎก บิดเบือนความหมายของนิพพาน ทั้งๆ ที่พระศรีปริยัติโมลี แสดงทางโทรทัศน์ทุกช่อง สื่อทุกสื่อ แถมยังแจกหนังสือเผยแพร่ มากมายอีกต่างหาก นี่คือความจงใจ และเจตนาที่เห็นชัด สิ่งที่พึงสังเกตเห็นได้ชัดในการหาคะแนนนิยม จากขบวนการนี้ จะหากินโดยการ อิงอยู่กับชื่อเสียงของพระพุทธทาส และพระปัญญานันทภิกขุ ซึ่งมีผู้นับถือในทุกวงการ และในระดับปัญญาชน ที่มีการศึกษาระดับสูง จึงต้องเอาภาพของ พระพุทธทาสและพระปัญญานันทภิกขุ มาสร้างความน่านับถือ และเห็นชอบ กับคำสอน ความเห็นใดๆ ของพระธรรมปิฎก และขบวนของตน เพราะว่าหลวงพ่อพุทธทาส มีลูกศิษย์ลูกหามาก ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น นายชุ่ย เฉื่อยแฉะ ยืนยันว่า หนังสือพิมพ์ไทยดีที่สุด ใครจะเชื่อ แต่หาก ฯพณฯ ชวน หลีกภัย พูดออกโทรทัศน์ คนจะเชื่อถือ คือ ความเป็น No body กับ Some body มันต่างกัน ส่วนขบวนการล้มพุทธ ก็จะรับเนื้อๆ จากผลประโยชน์จากการเข้าครอบงำ ระบอบการปกครองคณะสงฆ์ไทย โดยแสวงหาผลประโยชน์ทุกรูปแบบ จาก พ.ร.บ. 2 ฉบับ ซึ่งพวกตนได้ร่างขึ้น ไว้ล่วงหน้านั่นเอง ถึงบางอ้อไหมล่ะครับ และที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ในเมื่อพระธรรมปิฎก เป็นคนจุดประเด็น โดยเขียนหนังสือ "กรณีธรรมกาย" แจกจ่ายไปทั่วประเทศว่า นิพพานเป็นอนัตตา ทั้งยังให้สัมภาษณ์ออกสื่อมากมาย ทำไมจึงไม่มีจุดยืน อยู่ตรงนิพพานเป็นอนัตตา ให้ตลอด เรียกว่า ใครพูดว่า นิพพานไม่ใช่อัตตา ต้องออกมาต่อสู้ให้เหมือนกัน แต่เหตุไฉนจึงเปลี่ยนแนว เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่อง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ระบบการปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งเสนอว่า นิพพานเป็นอุดมธรรม ทำไมทิ้งจุดยืนของตนเอง เพราะตัวเองประกาศโต้งๆ ว่าจะรักษาพระธรรมวินัย เหตุใดเมื่อพระศรีปริยัติโมลี นำเสนอว่า นิพพาน คือ อุดมธรรม ทำไมไม่เขียนหนังสือ "กรณีศรีปริยัติฯ" ขึ้นมามั่งซีครับ จะได้สมกับที่ขบวนการ ของท่านตั้งฉายา ให้ว่า เป็นผู้รอบรู้พระไตรปิฎก ผู้รักษาพระธรรมวินัย ตามที่อ้าง ทำไมไม่สู้หัวชนฝา รักษาพระธรรมวินัยให้ตลอดล่ะครับ ที่ยอมให้มีคำว่า อุดมธรรม มาเทียบเท่า นิพพาน ก็เพราะว่า ตนเองได้เขียนคำอธิบายความหมายไว้ ในหนังสืออุดมธรรม อันเป็นคำอธิบายว่า อุดมธรรม คืออะไร ไว้เรียบร้อย (เขาเรียกว่า ตัวต้นคิด หรือตัวการ) แถมยังเป็นที่ปรึกษา การยกร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ใหม่ จึงสรุปได้ว่า เข้าทางที่ตัวเองวางไว้ จึงไม่ออกมาคัดค้าน ทั้งๆ ที่รู้ว่า เป็นความหมาย ที่บิดเบือนพระไตรปิฎกโดยแท้ ฉะนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่า การสร้างสถานการณ์โจมตี "วัดพระธรรมกาย" ของพระธรรมปิฎก เพียงเพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวไทย เกิดความสับสน เพื่อที่จะเปลี่ยนความหมาย ของคำว่า นิพพาน ให้เป็น อุดมธรรม คือการเกื้อกูลอุปถัมภ์ศาสนาอื่น นั่นเอง เก็บหนังสือธรรมะอื่นเพราะขวางทางการเอื้อประโยชน์ให้ศาสนาอื่น สิ่งซึ่งสามารถพิสูจน์เจตนาของคณะกรรมาธิการศาสนาฯ และขบวนการล้มพุทธ ก็คือ การให้เก็บหนังสือมงคลชีวิต และหนังสือพระแท้ ทั้งๆ ที่ยังไม่อาจยืนยัน หรือระบุได้ว่า ขัดพระไตรปิฎกตรงไหน ไม่มีการนำเอาข้อธรรมะ ที่ปรากฏในหนังสือ ว่าอยู่หน้าใด บรรทัดใด ผิดพระสูตรใด ในพระไตรปิฎก เพียงแต่กล่าวลอยๆ และใช้อิทธิพลการเมือง พร้อมกระแสสื่อ ที่อยู่ในอาณัติ เป็นตัวบีบข้าราชการประจำ และคณะสงฆ์ไทย ให้กระทำตาม แต่โดยความเป็นจริงแล้ว หนังสือทั้งสองเล่มนั้น ขัดกับแผนการล้มพุทธ และไม่เอื้อประโยชน์ ต่อศาสนาอื่น จึงต้องเก็บหนังสือมงคลชีวิต และพระแท้ ซึ่งเขียนตามอรรถและบาลี อันเป็นพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏในพระไตรปิฎก ต่างจากหนังสือพุทธธรรม ซึ่งบิดเบือนความหมาย ของพระไตรปิฎกหลายแห่ง โดยเฉพาะความหมาย จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา และวิธีการปฏิบัติ ฉะนั้น หากให้ชาวพุทธ มีหนังสือมงคลชีวิต และพระแท้ แล้วจะทำให้การบิดเบือนพระไตรปิฎก อันปรากฏในหนังสือ "พุทธธรรม" ไม่ประสบความสำเร็จ ตามแผนการณ์ของพวกตน จึงต้องเก็บเผาทำลายให้หมด หากท่านผู้อ่านมีหนังสือ "พุทธธรรม" อยู่ในมือ โปรดเปิดดูตั้งแต่หน้า 815-920 จะเห็นชัดว่า บิดเบือนพระสัทธรรม โดยเฉพาะหน้า 839 ซึ่งกล่าวโจมตีองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้กระทั่งพระพุทธพจน์ ว่าด้วยเรื่องสมาธิ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงยกย่องว่าเลิศ เป็นทางสู่พระนิพพาน ละแล้วซึ่งทางโลก กลับสรุปว่า การข้องเกี่ยวกับทางโลกนั้นต่างหาก อันเป็นทางหลุดพ้นสูงสุด นี่คือการบิดเบือน พระสัทธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกบาลี ได้มีพุทธพจน์บัญญัติไว้ ปรากฏใน มหาสีหนาทสูตร สี.ที. 9/209/269 ว่า "กัสสปะ หนทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ ซึ่งผู้พ้นตามนั้นแล้ว จักรู้ได้เองทีเดียวว่า พระสมณโคดม เป็นผู้มีปกติกล่าวถูกต้องตามกาล กล่าวถูกต้องตามที่เป็นจริง กล่าวโดยอรรถ กล่าวโดยธรรม ดังนี้" แต่พระธรรมปิฎก กลับปฏิเสธพระธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏในหน้า 919 เห็นชัดว่า เป็นการกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่า กล่าวเท็จโดยแท้ว่า "ถ้าใครดูคำสอนสำหรับพระภิกษุแล้ว เอาเป็นมาตรฐานวัดว่า พุทธศาสนา สอนให้คนทั่วไปใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างนั้น ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง" นี่คือการแสดงตนว่า เก่งกว่า รู้ดีกว่า โดยตั้งตน เป็นศาสดาองค์ใหม่ขึ้นมา และปฏิเสธพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่คือจิตเจตนาที่แท้จริง เพื่อลบล้างความเชื่อ ของชาวพุทธเก่า และเยาวชนที่จะเกิดมาใหม่ ให้เชื่อไปว่าหากต้องการถึงพระนิพพาน ไม่ต้องปฏิบัติ ตามวิธีการสมาธิ อันได้บัญญัติไว้ในพระไตรปิฎก เพียงทำงานสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือศาสนาอื่น ก็ถึงนิพพานแล้ว โดยความหมาย แห่งอุดมธรรมของตน ซึ่งอยู่ในฐานะ ที่สูงกว่าพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียอีกด้วย (ปรากฏเป็นพยานหลักฐานแจ้งชัด) ทีนี้ก็จะถามท่านผู้อ่านว่า หนังสือ "พุทธธรรม" หรือหนังสือ "มงคลชีวิต" และ "พระแท้" อย่างไหน ควรจะเก็บไปเผา มากกว่ากัน?? และขอฝากคำถาม ไปยังสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ร่วมกันโจมตี "วัดพระธรรมกาย" ตลอดมานั้นว่า เหตุใดท่านจึงไร้การพิจารณาในข้อมูล และการนำเสนอ และขบวนการที่ออกมาอ้างว่า ปกป้องพุทธศาสนา อ่านภาษาไทยออกหรือไม่ เป็นชาวพุทธหรือเปล่า หรือว่า เป็นเพียงขบวนการจัดตั้ง หากไม่ใช่ เหตุใดจึงไม่มีการต่อต้านกรณีนี้ [ สิ่งที่อยากฝากให้ท่านผู้อ่านไปค้นคว้า คือ ขบวนการล้มพุทธนี้ ได้นำสิ่งที่ขบวนการนี้ เรียกว่า ป.ป. ลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช มาแล้วครั้งหนึ่ง ในกรณีพระยันตระ โดยวิธีการ และคณะทำงาน ตลอดจนใช้สื่อมวลชนชุดเดิม (มีหลักฐานพร้อม สามารถดำเนินคดีได้ทันที มันช่างเป็นความเหมือน ที่แตกต่างกัน เพียงปี พ.ศ.2538 ทำลายพระสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุติ และ พ.ศ.2542 ทำลายพระส1งฆ์ ฝ่ายมหานิกาย ในสมัยนั้น (พ.ศ.2538) ก็อาศัยพจนานุกรม ของพระธรรมปิฎก มาใช้ตีความ แม้แต่ตัวรัฐบาลก็เหมือนกัน แทบจะ 100% มันเป็นความบังเอิญหรือเปล่า???] ที่กล่าวมานี้ เป็นหลักฐานเพียงพอ สำหรับพุทธศาสนิกชน ที่จะยื่นฟ้องนิคห กรรม "พระธรรมปิฎก" กรณีบิดเบือน จาบจ้วงดูหมิ่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ต่อเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ได้ทันที พร้อมกับยื่นฟ้องร้อง ดำเนินคดี ในความผิดกับผู้ร่วมขบวนการ ฐานทำลายความมั่นคงของ สถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันหลักของชาติ สำหรับคณะกรรมาธิการศาสนาฯ รมต.ศึกษาธิการ กรมการศาสนานั้น พุทธศาสนิกชน โปรดจับตาดูซิว่า นักการเมือง และข้าราชการประจำเหล่านี้ จะดำเนินการอย่างไร? จะรู้จักคำว่า ยุติธรรมและกฎหมายหรือไม่ ในเมื่อแผ่นดินไทยอยู่ด้วยกฎหมาย ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย นี่คือความเสมอภาคกัน ของประชาชนในชาติ และหากนักการเมืองเหล่านั้น ยังถือสัญชาติไทย คงจะมีความยุติธรรมเหลืออยู่บ้างกระมัง??? หมายเหตุ ข้อเขียนนี้ไม่ต้องการให้เกิดการขัดแย้งทางศาสนา แต่เขียนขึ้น จากข้อแท้จริงที่มีอยู่จริง และเป็นจริง มีหลักฐานยืนยัน พิสูจน์ได้ชัดแจ้ง จึงมิใช่เป็นการสร้างกระแส ต่อต้านศาสนาอื่น แต่อย่างใด ซึ่งศาสนาพุทธ ไม่เคยนำเอาคำสั่งสอน ของศาสนาใด มาปลอมปนใส่ไว้ ในพระไตรปิฎก และไม่เคยโจมตีศาสนาใด ในยุคสมัยใด จึงขอโปรดให้ทราบ เจตนาอันบริสุทธิ์ ของผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วย
|