การกลืนพระพุทธศาสนาในไทย "แผนตัดยอด แล้วขุดตอ"

 

 

หลังจากที่มีการตกลงร่วมมือที่จะใช้แผน Change Human Mankind Project ร่วมกับคำสั่ง VATICAN COUNCIL 2ทางวาติกันจึงอนุมัติเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสภาคริสจักรแห่งประเทศไทยดำเนินการตามแผนงานในทันที โดยมีการประชุมตั้ง "ศูนย์ศาสนสัมพันธ์" (ดูภาคผนวก) เพื่อกลืนพระพุทธศาสนาแบบ "Dialogue" ตามมติสังคายนาวาติกัน ๒ การนำเอา VATICAN COUNCIL 2 มาเปิดเผยของ พระโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ ฐิตญาโณ) "สายธรรมยุต" ด้วยจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ของท่านนั้น ก็เพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ตามหน้าที่ของพุทธบริษัท ซึ่งมีผลทำให้การเผยแพร่คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิคชะงักงัน ดังนั้นจึงมีการวางแผนสังเคราะห์ "ไวรัสศาสนา" ขึ้นมาเพื่อใช้กำจัดผู้เปิดเผยนั้น โดยมุ่งประเด็นว่า จะต้องมีมันสมองเฉียบแหลม มีอุดมการณ์สังคมนิยม (ไม่มีสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์) เป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนายิ่งดี แต่ต้องอยู่คนละนิกาย กับพระโสภณคณาภรณ์ (ซึ่งเป็นธรรมยุติ) ทั้งนี้เพื่อสามารถใช้ในการสร้างความแตกแยกระหว่างคณะสงฆ์ไทยได้ในอนาคต พร้อมทั้งหากพระโสภณคณาภรณ์ ซึ่งเป็นธรรมยุติ จะกล่าวสิ่งใดๆ ก็ตามสื่อในอาณัติขบวนการล้มพุทธ ก็จะสร้างกระแส ให้เป็นเรื่องระหว่างสงฆ์ต่างนิกายไปเลย แทนที่จะเป็นเรื่องของ การป้องกันพิทักษ์ศาสนา พร้อมกันนั้นก็จะเป็นการส่งเสริม "ไวรัสศาสนา" ให้ก้าวหน้าในทางสงฆ์ได้อย่างไม่มีผู้ใดขัดขวาง และใช้แนวร่วมทั้งหมด ประกอบกำลังหนุนให้เป็นที่ยอมรับ ของบุคคลระดับนักธุรกิจ และปัญญาชน ซึ่งเรียกว่า "ส่วนยอด" เป็นการยึดพื้นที่บุคคลระดับสูงทั้งหมด ที่จะมีความเชื่อตามพระโสภณคณาภรณ์ แล้วเกิดปฏิกริยาต่อต้าน คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค เมื่อยึดพื้นที่สมองของบุคคลระดับสูงได้แล้ว จึงทำลายฐานรากซึ่งเรียกว่า "ส่วนตอ" ซึ่งฐานมวลชนของ พระโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ) ได้แก่พระยันตระ อมโรภิกขุ ผู้สั่งสอนสมาธิจิต และเป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงในจังหวัดกาญจนบุรี การทำลายจุดนี้ได้ถูกเตรียมการ โดยส่งนางชีของคริสเตียนโรมันคาทอลิค แฝงตัวเข้าไปเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดเรียบร้อย และเมื่อตัดยอดและขุดตอเสียแล้ว จะมีใครมาต่อต้านอีก ซึ่งทั้งนี้ผู้ปฏิบัติการจะได้ประโยชน์ถึง ๕ ประการคือ

๑. ทำลายผู้ขัดขวางในการเผยแพร่คริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค

๒. ทำลายภาพพจน์ของพระพุทธศาสนาและแนวความเชื่อด้านสมาธิ

๓. ทำให้สองนิกายคือ ธรรมยุติ และ มหานิกาย บาดหมางกัน ซึ่งเป็นการกัดกร่อนองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทยด้วย

๔. บุคลากรที่รับหน้าที่เป็น "ไวรัสศาสนา" ได้รับการยกย่องและเชื่อถือสามารถใช้เป็นเครื่องมือกลืนพุทธ

๕. ยึดพื้นที่ผลประโยชน์ชาวเขาเผ่ากระเหรี่ยงให้กับประเทศมหาอำนาจในการดำเนินการทางการเมือง

จึงจะเห็นได้ว่านับแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ "ไวรัสศาสนา" ก็ถูกสังเคราะห์ขึ้น และพระโสภณคณาภรณ์ (มหาระแบบ) รวมไปถึงผู้ที่ร่วมต่อต้านการทำลายพระพุทธศาสนาของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิค ได้สูญหายไปจากความทรงจำของคนในประเทศ พระยันตระถูก ตัดสินให้มีความผิดโดยสื่อสารมวลชน นี่คือผลงานของ "ขบวนการล้มพุทธ" เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในการยึดพื้นที่ทาง สมองของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ พร้อมกับสร้างความเชื่อใหม่ในสมองพุทธศาสนิกชนให้กับ "ไวรัสศาสนา" ได้อย่างสมบูรณ์ แผนทำลายภาพพจน์ของทหาร แนวป้องกันด่านแรกของพระพุทธศาสนา

บทเรียนจากการพ่ายแพ้ในเวียตนามของทั้งประเทศมหาอำนาจ และคริสต์จักรโรมันคาทอลิค ล้วนมาจากสถาบันทหาร เป็นตัวแปรที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นฐานทางด้านวัฒนธรรมของประเทศเวียตนาม และประเทศไทย มีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก คือเรื่องศาสนา   กำลังพลของกองทัพไทย นับถือพระพุทธศาสนาเกือบ ๑๐๐% ดังนั้นหากมีการกระทำใดๆ ซึ่งกระทบกับพุทธศาสนา ก็คงจะได้รับการต่อต้าน และบทสรุป ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพงในเวียตนามนั้น ต้องไม่ให้เกิดซ้ำซ้อนอีกได้ ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการยึดพื้นที่ทางสมองของประชาชน โดยการป้อนข้อมูลใหม่ และในส่วนของสถาบันทหาร ต้องสร้างให้เกิดความสับสน ในสถานะ และศักยภาพ จึงจะประสบความสำเร็จ


(หน้าปก - - - สารบัญ - - - อ่านต่อ)

1