บุคคล
1) อนุโสตสูตร
เล่มที่ ๒๑
[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลผู้ไปตามกระแส ๑
บุคคลผู้ไปทวนกระแส ๑
บุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว ๑
บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไปตามกระแสเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเสพกามทั้งหลาย และย่อมกระทำกรรมอันเป็นบาป นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้ไปตามกระแส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไปทวนกระแสเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่เสพกาม และย่อมไม่กระทำกรรมอันเป็นบาป แม้มีหน้านองด้วยน้ำตา
ร้องไห้อยู่ เพราะประกอบด้วยทุกข์บ้าง เพราะประกอบด้วยโทมนัสบ้าง ก็ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์
บริบูรณ์ได้ นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้ไปทวนกระแส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้วเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ผุดขึ้นเกิด ปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ นี้เราเรียกว่าบุคคลผู้เป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งตั้งอยู่บนบก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยังไม่ปราศจากราคะ มีปรกติบริโภคกาม
ชนเหล่านั้นแล ถูกตัณหาครอบงำแล้ว เข้าถึงชาติและชราบ่อยๆ ชื่อว่าไปตามกระแส
เพราะฉะนั้น ธีรชนในโลกนี้ เป็นผู้มีสติตั้งมั่นแล้วไม่เสพกาม และไม่ทำกรรมอันเป็นบาป
แม้ประกอบด้วยทุกข์ก็ละกามได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าไปทวนกระแส
นรชนใดแล ละกิเลส ๕ ประการเสียได้ เป็นผู้มีการศึกษาบริบูรณ์ มีความไม่เสื่อมเป็นธรรมดา
ถึงความเป็นผู้ชำนาญในจิต มีอินทรีย์ตั้งมั่นแล้ว
นรชนนั้นแล นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกว่าผู้มีตนตั้งอยู่แล้ว
ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล อันบุคคลใดกำจัดหมดแล้ว
ถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีอยู่
บุคคลนั้นเป็นผู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ถึงที่สุดแห่งโลก
นักปราชญ์ทั้งหลาย เรียกว่าผู้ถึงฝั่ง ฯ
จบสูตรที่ ๕
2) อัปปสุตสูตร
เล่มที่ ๒๑
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลผู้มีสุตะน้อย ไม่เข้าถึงด้วยสุตะ ๑
บุคคลผู้มีสุตะน้อย เข้าถึงด้วยสุตะ ๑
บุคคลผู้มีสุตะมาก ไม่เข้าถึงด้วยสุตะ ๑
บุคคลผู้มีสุตะมาก เข้าถึงด้วยสุตะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสุตะน้อย ไม่เข้าถึงด้วยสุตะอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้
มีสุตะ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม
เวทัลละน้อย
เขาหาได้รู้อรรถ รู้ธรรมแห่งสุตะน้อยนั้น แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่
บุคคลผู้มีสุตะน้อย ไม่เข้าถึงด้วยสุตะอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสุตะน้อยเข้าถึงด้วยสุตะอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสุตะ คือ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละน้อย
เขาย่อมรู้อรรถรู้ธรรมแห่งสุตะน้อยนั้น แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลผู้มีสุตะน้อยเข้าถึงด้วยสุตะอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสุตะมาก ไม่เข้าถึงด้วยสุตะอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสุตะ คือ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละมาก เขาหาได้รู้ทั่วถึงอรรถรู้ทั่วถึงธรรมแห่งสุตะมากนั้น
แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่
บุคคลผู้มีสุตะมากไม่เข้าถึงด้วยสุตะอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสุตะมากเข้าถึงด้วยสุตะอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ มีสุตะ คือ สุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละมาก
เขารู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งสุตะมากนั้น
แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
บุคคลผู้มีสุตะมากเข้าถึงด้วยสุตะอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
ถ้าบุคคลแม้มีสุตะน้อย ไม่ตั้งมั่นแล้วในศีล
นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมติเตียนเขาทั้งโดยศีลและสุตะทั้งสอง
ถ้าบุคคลแม้มีสุตะน้อย ตั้งมั่นแล้วในศีล
นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญเขาโดยศีล แต่สุตะของเขาไม่สมบูรณ์
ถ้าบุคคลแม้มีสุตะมาก ไม่ตั้งมั่นแล้วในศีล
นักปราชญ์ย่อมติเตียนเขาโดยศีล แต่สุตะของเขาสมบูรณ์
ถ้าบุคคลแม้มีสุตะมาก ตั้งมั่นดีแล้วในศีล
นักปราชญ์ย่อมสรรเสริญเขาทั้งโดยศีล และสุตะทั้งสอง
ใครควรเพื่อจะติเตียนเขาผู้เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
เป็นพุทธสาวกผู้มีปัญญา ผู้เป็นประดุจแท่งทองชมพูนุช
แม้เทวดาก็ย่อมชมเชย แม้พรหมก็สรรเสริญ ฯ
จบสูตรที่ ๖
3) สังฆโสภณสูตร
เล่มที่ ๒๑
[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้
เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับแนะนำดีแล้ว
เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งาม
๔ จำพวกเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวก นี้แล เป็นผู้เฉียบแหลม
ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งาม ฯ
บุคคลใด เป็นผู้ฉลาด แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม
ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม
บุคคลเช่นนั้น เราเรียกว่า ผู้ยังหมู่ให้งาม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา
เป็นผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นพหูสูตเหล่านี้แล ย่อมยังหมู่ให้งาม แท้จริง
บุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ยังหมู่ให้งาม ฯ
จบสูตรที่ ๗
4) ตมสูตร
เล่มที่ ๒๑
[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
ผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
ผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปจำพวก ๑
ผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปจำพวก ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน
ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือในตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็นตระกูล เข็ญใจ มีข้าว
น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภคและผ้านุ่ง ห่มได้โดยฝืดเคือง
อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย
เป็นคนกระจอก หรือพิการไปแถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร เขาซ้ำประพฤติทุจริตด้วยกาย
วาจา และด้วยใจ ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีมืดต่อไปอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลต่ำ คือ ตระกูลจัณฑาล ตระกูลช่างสาน ตระกูลนายพราน
ตระกูลช่างเย็บหนัง หรือตระกูลคนเทหยากเยื่อ อันเป็น ตระกูลเข็ญใจ มีข้าว
น้ำและโภชนะน้อย เป็นอยู่โดยฝืดเคือง หาของบริโภค และผ้านุ่งห่มได้โดยฝืดเคือง
อนึ่ง เขามีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู เป็นคนแคระ มีโรคมาก เป็นคนตาบอด เป็นคนง่อย
เป็นคนกระจอก หรือเป็นคนพิการไป แถบหนึ่ง ไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ
ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป ตามสมควร
แต่เขาประพฤติ สุจริตด้วยกาย ด้วยวาจาและด้วยใจ
ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจแล้ว
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้มืดมาแล้ว มีสว่างต่อไป อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีมืดต่อไปเป็นอย่างไร
บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล
หรือตระกูลคหบดีมหาศาล อันเป็นตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมี โภคะมาก มีทองและเงินมาก
มีเครื่องใช้ที่น่าปลื้มใจมากมาย มีทรัพย์สินเหลือล้น
อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก
เป็นผู้มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
แต่เขาประพฤติทุจริตด้วย กาย วาจา และด้วยใจ
ครั้นประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้ว มีมืด
ต่อไปอย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้สว่างมาแล้ว มีสว่างต่อไปเป็นอย่างไร บุคคลบางคนในโลก
เกิดมาในตระกูลสูง คือ ตระกูลกษัตริย์มหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล
อันเป็นตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องใช้ที่น่าปลื้มใจมากมาย
มีทรัพย์สินเหลือล้น
อนึ่ง เขามีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก
มีปรกติได้ข้าว น้ำ ผ้านุ่งห่ม ยานพาหนะ ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป
เขาย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และด้วยใจ
ครั้นประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา และใจแล้ว
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
บุคคลเป็นผู้สว่างมาแล้ว มีสว่าง ต่อไปอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ ในโลก ฯ
จบสูตรที่ ๕