พระปฐมเทศนา
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค
ภาค ๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มหาขันธกะ โพธิกถา
ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ
[๑] โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ
ควงไม้โพธิพฤกษ์
ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ในอุรุเวลาประเทศ.
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว
เสวยวิมุตติสุข ณ
ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด ๗ วัน
และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลม
และปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี
ว่าดังนี้:
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด
ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง
เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ
สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ
ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล
ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้น
ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะได้รู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท
เป็นอนุโลมและปฏิโลม
ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
ว่าดังนี้:-
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย
จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา
มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด
ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง
เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ
สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ
ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
เมื่อใดแล
ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้นพราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัยทำอากาศให้สว่าง
ฉะนั้น. โพธิกถาจบ
อชปาลนิโครธกถา
เรื่องพราหมณ์หุหุกชาติ
[๔] ครั้นล่วง ๗ วัน
พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากควงไม้ โพธิพฤกษ์
เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ
แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว
เสวยวิมุตติสุข ณ
ควงไม้อชปาลนิโครธตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น
พราหมณ์หุหุกชาติคนหนึ่งได้ไปในพุทธสำนัก
ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง
เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พราหมณ์นั้นได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ทูลคำนี้แด่ผู้มีพระภาคว่า
ท่านพระโคดม
บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ
ก็แลธรรมเหล่าไหนทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์?
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถา
พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว
ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ
ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาด
มีตนสำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท
มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
พราหมณ์นั้นไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้นในอารมณ์ไหนๆ
ในโลก ควรกล่าวถ้อยคำว่า
ตนเป็นพราหมณ์โดยธรรม.
อชปาลนิโครธกถาจบ
มุจจลินทกถา
เรื่องมุจจลินทนาคราช
[๕] ครั้นล่วง ๗ วัน
พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ
เข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์
แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว
เสวยวิมุตติสุข ณ
ควงไม้มุจจลินท์ ตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น
เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว
ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น
มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน
ได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด
๗ รอบ
ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า
ความหนาว ความร้อน
อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค
สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด
และสัตว์เลื้อยคลาน
อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค.
ครั้นล่วง ๗ วัน
มุจจลินทนาคราชรู้ว่า
อากาศปลอดโปร่ง ปราศจากฝนแล้ว
จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาค
จำแลงรูปของตนเป็นเพศมาณพ
ได้ยืนประคองอัญชลีถวายมนัสการพระผู้มีพระภาค
ทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
พุทธอุทานคาถา
ความสงัดเป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ
มีธรรมปรากฏแล้ว เห็นอยู่
ความไม่พยาบาท
คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
เป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัด
คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้
เป็นสุขในโลก
การกำจัดอัสมิมานะเสียได้นั่นแล
เป็นสุขอย่างยิ่ง.
มุจจลินทกถาจบ
ราชายตนกถา เรื่องตปุสสะภัลลิกะ
๒ พ่อค้า
[๖] ครั้นล่วง ๗ วัน
พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น
แล้วเสด็จจากควงไม้มุจจลินท์
เข้าไปยังต้นไม้ราชายตนะ
แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว
เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้ราชายตนะ
ตลอด ๗ วัน. ก็สมัยนั้น
พ่อค้าชื่อตปุสสะ ๑ ภัลลิกะ ๑
เดินทางไกลจากอุกกลชนบท
ถึงตำบลนั้น. ครั้งนั้น
เป็นเทพยดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตปุสสะ
ภัลลิกะ ๒ พ่อค้า ได้กล่าวคำนี้กะ
๒ พ่อค้านั้น ว่า
ดูกรท่านผู้นิรทุกข์
พระผู้มีพระภาคพระองค์นี้แรกตรัสรู้
ประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนะ
ท่านทั้งสองจงไปบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น
ด้วยสัตตุผง และ สัตตุก้อน
การบูชาของท่านทั้งสองนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน.
ครั้งนั้น
พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ
ถือสัตตุผงและสัตตุก้อนเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วถวายบังคม
ได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
สองพ่อค้านั้นยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงสัตตุก้อนของข้าพระพุทธเจ้าทั้งสอง
ซึ่งจะเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนาน.
ขณะนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงปริวิตกว่า
พระตถาคตทั้งหลายไม่รับวัตถุด้วยมือ
เราจะพึงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยอะไรหนอ
ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์
ทรงทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตนแล้ว
เสด็จมาจาก ๔ ทิศ
ทรงนำบาตรที่สำเร็จด้วยศิลา ๔ ใบ
เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค
กราบทูลว่า
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนด้วยบาตรนี้
พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคทรงใช้บาตรสำเร็จด้วยศิลาอันใหม่เอี่ยม
รับสัตตุผงและสัตตุก้อน
แล้วเสวย. ครั้งนั้น
พ่อค้าตปุสสะและภัลลิกะ
ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองนี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่าเป็นสรณะ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่าเป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
ก็นายพาณิชสองคนนั้น
ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้าง ๒ รัตนะ
เป็นชุดแรกในโลก.
ราชายตนกถาจบ
[๗] ครั้นล่วง ๗ วัน
พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้นแล้ว
เสด็จจากควงไม้ ราชายตนะ
เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ.
ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ
ควงไม้อชปาลนิโครธนั้น
และพระองค์เสด็จไปในที่สงัด
หลีกเร้นอยู่
ได้มีพระปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า
ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้
เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก
รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต
ไม่หยั่ง ลงสู่ความตรึก ละเอียด
เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง
ส่วนหมู่สัตว์นี้เริงรมย์ด้วยอาลัย
ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัย
ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้
เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นนี้
อันหมู่สัตว์ผู้เริงรมย์ด้วยอาลัย
ยินดีในอาลัย
ชื่นชมในอาลัยเห็นได้ยาก
แม้ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นตัณหา
เป็นที่สิ้นกำหนัด
เป็นที่ดับสนิท
หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้นี้
ก็แสนยากที่จะเห็นได้
ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม
สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา
ข้อนั้น
จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา
จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา.
อนึ่ง อนัจฉริยคาถาเหล่านี้
ที่ไม่เคยได้สดับในกาลก่อน
ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาค
ว่าดังนี้:- อนัจฉริยคาถา
บัดนี้
เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้วโดยยาก
เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะ
ครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย
สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว
ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว
จักไม่เห็นธรรมอันละเอียด
ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น
ละเอียดยิ่ง
อันจะยังสัตว์ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นอยู่
ดังนี้
พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย
ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม.
พรหมยาจนกถา
[๘] ครั้งนั้น
ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระปริวิตกแห่งจิตของพระผู้มีพระภาคด้วยใจของตน
แล้วเกิดความปริวิตกว่า
ชาวเราผู้เจริญ โลกจักฉิบหายหนอ
โลกจักวินาศหนอ
เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย
ไม่ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม.
ลำดับนั้น
ท้าวสหัมบดีพรหมได้หายไปในพรหมโลก
มาปรากฏ ณ
เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค
ดุจบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น
ครั้นแล้วห่มผ้า
อุตราสงค์เฉวียงบ่า
คุกชาณุมณฑลเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน
ประณมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค
แล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดทรงแสดงธรรม
ขอพระสุคตได้โปรดทรงแสดงธรรม
เพราะสัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่
เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม
ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กราบทูลดังนี้แล้ว
จึงกราบทูลเป็นประพันธคาถาต่อไปว่า
เมื่อก่อนธรรมไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินทั้งหลาย
คิดแล้วได้ปรากฏในมคธชนบท
ขอพระองค์ได้โปรดทรงเปิดประตูแห่งอมตธรรมนี้
ขอสัตว์ทั้งหลายจงฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้หมดมลทินตรัสรู้แล้วตามลำดับ
เปรียบเหมือนบุรุษมีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขาซึ่งล้วนแล้วด้วยศิลา
พึงเห็นชุมชนได้โดยรอบฉันใด
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาดี
มีพระปัญญาจักษุรอบคอบ
ขอพระองค์ผู้ปราศจากความโศกจงเสด็จขึ้นสู่ปราสาท
อันสำเร็จด้วยธรรม
แล้วทรงพิจารณาชุมชน
ผู้เกลื่อนกล่นด้วยความโศก
ผู้อันชาติและชราครอบงำแล้ว
มีอุปมัยฉันนั้นเถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร
ทรงชนะสงคราม ผู้นำหมู่
หาหนี้มิได้
ขอพระองค์จงทรงอุตสาหะเที่ยวไปในโลกเถิด
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรม
เพราะสัตว์รู้ทั่วถึงธรรมจักมี.
ทรงพิจารณาสัตวโลกเปรียบด้วยดอกบัว
๓ เหล่า
[๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงกราบคำทูลอาราธนาของพรหม
และทรงอาศัยความกรุณาในหมู่สัตว์
จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ
เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี
ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี
ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี
ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี
ที่มีอาการดีก็มี
ที่มีอาการทรามก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี
ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล
ดอกปทุมในกอปทุม
หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก
ที่เกิดแล้วในน้ำ
เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ
บางเหล่ายังจมในน้ำ
อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ
บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ
อันน้ำไม่ติดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย
บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย
บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก
บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน
บางพวกมีอาการดี
บางพวกมีอาการทราม
บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย
บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก
บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่
ฉันนั้น เหมือนกัน
ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า
ดังนี้:-
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว
สัตว์เหล่าใดจะฟัง
จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม
เพราะเรามีความสำคัญในความลำบาก
จึงไม่แสดงธรรมที่เราคล่องแคล่ว
ประณีต ในหมู่มนุษย์.
ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า
พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรมแล้ว
จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณ
แล้วอันตรธานไปในที่นั้นแล.
พรหมยาจนกถา จบ
พุทธปริวิตกกถา
[๑๐] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงดำริว่า
เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ
ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน
ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า
อาฬารดาบส กาลามโคตรนี้แล
เป็นผู้ฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน
ถ้ากระไร
เราพึงแสดงธรรมแก่อาฬารดาบส
กาลามโคตรก่อน
เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
ทีนั้น
เทพดาอันตรธานมากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
อาฬารดาบส กาลามโคตรสิ้นชีพได้ ๗
วันแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า
อาฬารดาบสกาลามโคตรสิ้นชีพได้ ๗
วันแล้ว จึงทรงพระดำริว่า
อาฬารดาบสกาลามโคตร
เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่
เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้
จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ
ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน
ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า
อุทกดาบส
รามบุตรนี้แลเป็นผู้ฉลาด
เฉียบแหลม มีปัญญา
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยเป็นปกติมานาน
ถ้ากระไร
เราพึงแสดงธรรมแก่อุทกดาบส
รามบุตรก่อน
เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน.
ทีนั้น เทพดาอันตรธาน
มากราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
อุทกดาบส
รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว
พระพุทธเจ้าข้า.
แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงทราบว่า
อุทกดาบส
รามบุตรสิ้นชีพเสียวานนี้แล้ว
จึงทรงพระดำริว่า อุทกดาบส
รามบุตรนี้
เป็นผู้มีความเสื่อมใหญ่
เพราะถ้าเธอได้ฟังธรรมนี้
จะพึงรู้ทั่วถึงได้ฉับพลัน.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า
เราจะพึงแสดงธรรมแก่ใครก่อนหนอ
ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้ฉับพลัน
ครั้นแล้วทรงพระดำริต่อไปว่า
ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะแก่เรามาก
ได้บำรุงเราผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรอยู่
ถ้ากระไร
เราพึงแสดงธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ก่อน
ครั้นแล้วได้ทรงพระดำริต่อไปว่า
บัดนี้ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ไหนหนอ.
พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่
ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
เขตพระนครพาราณสี
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์
ครั้นพระองค์ประทับอยู่ ณ
อุรุเวลาประเทศตามควรแก่พุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครพาราณสี.
เรื่องอุปกาชีวก
[๑๑]
อาชีวกชื่ออุปกะได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จดำเนินทางไกลระหว่าง
แม่น้ำคยาและไม้โพธิพฤกษ์
ครั้นแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า
ดูกรอาวุโส
อินทรีย์ของท่านผ่องใส ยิ่งนัก
ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ดูกรอาวุโส ท่านบวชอุทิศใคร?
ใครเป็นศาสดาของท่าน?
หรือท่านชอบธรรมของใคร?.
เมื่ออุปกาชีวกกราบทูลอย่างนี้แล้ว.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวกว่าดังนี้
เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง
รู้ธรรมทั้งปวง
อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาแล้ว
ในธรรมทั้งปวง
ละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด
พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา
เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว
จะพึงอ้างใครเล่า
อาจารย์ของเราไม่มี
คนเช่นเราก็ไม่มี
บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มีในโลกกับทั้งเทวโลก
เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก
เราเป็นศาสดา
หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้
เราผู้เดียว
เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ
เราเป็นผู้เย็นใจ
ดับกิเลสได้แล้ว
เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี
เพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป
เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด
เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ.
อุปกาชีวกทูลว่า ดูกรอาวุโส
ท่านปฏิญาณโดยประการใด
ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้
โดยประการนั้น.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นอาสวะแล้ว
บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า
เป็นผู้ชนะเช่นเรา
ดูกรอุปกะ
เราชนะธรรมอันลามกแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจึงชื่อว่าเป็นผู้ชนะ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
อุปกาชีวกทูลว่า
เป็นให้พอเถิดพ่อ ดังนี้
แล้วสั่นศีรษะ
ถือเอาทางผิดเดินหลีกไป.
เรื่องอุปกาชีวะจบ
เรื่องพระปัญจวัคคีย์
[๑๒] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ
ถึงป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี
เสด็จเข้าไปทางสำนักพระปัญจวัคคีย์.
พระปัญจวัคคีย์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล
แล้วได้นัดหมายกันและกันว่า
ท่านทั้งหลาย
พระสมณะโคดมนี้เป็นผู้มักมาก
คลายความเพียร
เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก
กำลังเสด็จมา
พวกเราไม่พึงอภิวาท
ไม่พึงลุกขึ้นต้อนรับพระองค์
ไม่พึงรับบาตรจีวรของพระองค์
แต่พึงวางอาสนะไว้
ถ้าพระองค์ปรารถนา
ก็จักประทับนั่ง.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปถึงพระปัญจวัคคีย์
พระปัญจวัคคีย์นั้นไม่ตั้งอยู่ในกติกาของตน
ต่างลุกขึ้นต้อนรับพระผู้มีพระภาค
รูปหนึ่งรับบาตรจีวรของพระผู้มีพระภาค
รูปหนึ่งปูอาสนะ
รูปหนึ่งจัดหาน้ำล้างพระบาท
รูปหนึ่งจัดตั้งตั่งรองพระบาท
รูปหนึ่งนำกระเบื้องเช็ดพระบาทเข้าไปถวาย
พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่พระปัญจวัคคีย์จัดถวาย
แล้วทรงล้างพระบาท.
ฝ่ายพระปัญจวัคคีย์เรียกพระผู้มีพระภาคโดยระบุพระนาม
และใช้คำว่า "อาวุโส"
เมื่อพระปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้ามพระปัญจวัคคีย์ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธออย่าเรียกตถาคตโดยระบุชื่อ
และอย่าใช้คำว่า "อาวุโส"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตเป็นอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ
พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ
เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว
เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม
พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว
ไม่ช้าสักเท่าไร
จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม
อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่กุลบุตรทั้งหลาย
ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว.
พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า
อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น
แม้ด้วยปฏิปทานั้น
แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น
พระองค์ก็ยังไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ
อย่างสามารถ ก็บัดนี้
พระองค์เป็นผู้มักมาก
คลายความเพียรเวียนมา
เพื่อความเป็นคนมักมาก
ไฉนจักบรรลุอุตตรมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ
อย่างสามารถได้เล่า.
เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตไม่ใช่เป็นคนมักมาก
ไม่ได้เป็นคนคลายความเพียร
ไม่ได้เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตเป็นอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ
พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ
เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว
เราจะสั่งสอน จะแสดงธรรม
พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว
ไม่ช้าสักเท่าไรจักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม
อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่.
แม้ครั้งที่สอง
พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า
...
แม้ครั้งที่สอง
พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสว่า ...
แม้ครั้งที่สาม
พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า
อาวุโสโคดม แม้ด้วยจริยานั้น
แม้ด้วยปฏิปทานั้น
แม้ด้วยทุกกรกิริยานั้น
พระองค์ก็ยังไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ
อย่างสามารถ
ก็บัดนี้พระองค์เป็นผู้มักมาก
คลายความเพียร
เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก
ไฉนจักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้
ความเห็นพิเศษอย่างประเสริฐ
อย่างสามารถได้เล่า.
เมื่อพระปัญจวัคคีย์กราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอยังจำได้หรือว่า
ถ้อยคำเช่นนี้เราได้เคยพูดแล้วในปางก่อน
แต่กาลนี้.
พระปัญจวัคคีย์กราบทูลว่า
คำนี้ไม่เคยได้ฟังเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตเป็นอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ
พวกเธอจงเงี่ยโสตสดับ
เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว
เราจะสั่งสอน จักแสดงธรรม
พวกเธอปฏิบัติอยู่ตามที่เราสั่งสอนแล้ว
ไม่ช้าสักเท่าไร
จักทำให้แจ้งซึ่งคุณอันยอดเยี่ยม
อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์
ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
พระผู้มีพระภาคทรงสามารถให้พระปัญจวัคคีย์ยินยอมได้แล้ว.
ลำดับนั้นพระปัญจวัคคีย์ได้ยอมเชื่อฟังพระผู้มีพระภาค
เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิต
เพื่อรู้ยิ่ง.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา
[๑๓] ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ
คือ
การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย
เป็นธรรมอันเลว
เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน
ไม่ใช่ของพระอริยะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน
เป็นความลำบาก
ไม่ใช่ของพระอริยะ
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปฏิปทาสายกลาง
ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น
นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว
ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้
เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?
ปฏิปทาสายกลางนั้น
ได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ
คือปัญญาอันเห็นชอบ ๑
ความดำริชอบ ๑
เจรจาชอบ ๑
การงานชอบ ๑
เลี้ยงชีวิตชอบ ๑
พยายามชอบ ๑
ระลึกชอบ ๑
ตั้งจิตชอบ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น
ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด
ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ
เพื่อความรู้ยิ่ง
เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ
ความเกิดก็เป็นทุกข์
ความแก่ก็เป็นทุกข์
ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์
ความตายก็เป็นทุกข์
ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ ๕
เป็นทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ
คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก
ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน
มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ
คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ
คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือ
ด้วยมรรคคือ วิราคะ สละ สละคืน
ปล่อยไป ไม่พัวพัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แหละ คือ
ปัญญาเห็นชอบ ๑ ... ตั้งจิตชอบ ๑.
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้ทุกขอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล
ควรกำหนดรู้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล
เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
ควรละเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล
เราได้ละแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
ควรทำให้แจ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล
เราทำให้แจ้งแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล
ควรให้เจริญ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ
ปัญญา วิทยา แสงสว่าง
ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล
เราให้เจริญแล้ว.
ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา
ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว
เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรายังยืนยันไม่ได้ว่า
เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
อันยอดเยี่ยมในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
เพียงนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อใดแล
ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา
ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อนั้นเราจึงยืนยันได้ว่า
เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
อันยอดเยี่ยมในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์. อนึ่ง
ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ
ชาตินี้เป็นที่สุด
ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน
ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.
[๑๗]
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว
เหล่าภุมมเทวดาได้บันลือเสียงว่า
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว
ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ
ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
เทวดาชั้นจาตุมหาราช
ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว
ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นดาวดึงส์ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว
ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นยามา ... เทวดาชั้นดุสิต ...
เทวดาชั้นนิมมานรดี ...
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ...
เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม
ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว
ก็บันลือเสียงต่อไปว่า
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว
ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ
พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม
หรือใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น
เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก
ด้วยประการฉะนี้แล.
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน
ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้
ได้ปรากฏแล้วในโลก
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า
ท่านผู้เจริญ
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
ท่านผู้เจริญ
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
เพราะเหตุนั้น คำว่า
อัญญาโกณฑัญญะนี้
จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ
ด้วยประการฉะนี้.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบ
ปัญจวัคคีย์ทูลขอบรรพชาอุปสมบท
[๑๘] ครั้งนั้น
ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ
ได้เห็นธรรมแล้ว
ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค
พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้
แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
เธอจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล
ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.
[๑๙] ครั้นต่อมา
พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุทั้งหลายที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่
ดวงตา เห็นธรรม ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน
ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระวัปปะและท่านพระภัททิยะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.
ท่านทั้งสองนั้น
ได้เห็นธรรมแล้ว
ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ขอข้าพระองค์ทั้งสองพึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค
พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด
ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า
ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล
ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ท่านทั้งสามนำมาถวาย
ได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา.
ภิกษุเที่ยวบิณฑบาตนำบิณฑบาตใดมา
ทั้ง ๖
รูปก็เลี้ยงชีพด้วยบิณฑบาตนั้น.
วันต่อมา
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอน
ด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม
ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอัสสชิว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา.
ท่านทั้งสองได้เห็นธรรมแล้ว
ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ขอข้าพระองค์ทั้งสองพึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค
พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เธอทั้งสองจงเป็นภิกษุมาเถิด
ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า
ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
เธอทั้งสองจงประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล
ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุทั้งสองนั้น.
ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร
[๒๐] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะรูปเป็นอนัตตา
ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า
รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
เวทนาเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า
เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะเวทนาเป็นอนัตตา
ฉะนั้นเวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า
เวทนาของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด
เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สัญญาเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า
สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะสัญญาเป็นอนัตตา ฉะนั้น
สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า
สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะสังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
ฉะนั้น
สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่า
สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
วิญญาณเป็นอนัตตา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว
วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า
วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะวิญญาณเป็นอนัตตา ฉะนั้น
วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญาณว่า
วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด
วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.
ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง
พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
ภ.
สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง นั้นว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย
พระพุทธเจ้าข้า.
ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
[๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล
รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด
เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้
ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป
เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต
ไกลหรือใกล้
ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา
เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ
ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก หยาบ
หรือละเอียด เลวหรือประณีต
ไกลหรือใกล้
ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา
เธอทั้งหลายพึงเห็นสัญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต
ไกลหรือใกล้
ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าสังขาร
เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต
อนาคต และปัจจุบัน
ภายในหรือภายนอก
หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต
ไกลหรือใกล้
ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าวิญญาณ
เธอทั้งหลาย
พึงเห็นวิญญาณนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด
เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
เมื่อจิตพ้นแล้ว
ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า
ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
[๒๔]
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระสูตรนี้แล้ว
พระปัญจวัคคีย์มีใจยินดี
เพลิดเพลิน ภาษิตของผู้มีพระภาค.
ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
จิตของพระปัญจวัคคีย์
พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่น.
อนัตตลักขณสูตรจบ
ครั้งนั้น
มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖
องค์.
ปฐมภาณวาร จบ