คติ ๕
เล่มที่ ๑๒
[๑๗๐] ดูกรสารีบุตร คติ ๕
ประการเหล่านี้แล
๕ ประการเป็นไฉน? คือ
นรก
กำเนิดดิรัจฉาน
เปรตวิสัย
มนุษย์
เทวดา
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก
ทางยังสัตว์ให้ถึงนรก
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงนรก
อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
นรก
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน
ทางยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน
ปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงกำเนิดดิรัจฉาน
อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงกำเนิดดิรัจฉาน
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งเปรตวิสัย
ทางไปสู่เปรตวิสัย
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงเปรตวิสัย
อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งเหล่ามนุษย์
ทางอันยังสัตว์ให้ถึงมนุษย์โลก
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงมนุษยโลก
อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมบังเกิดในหมู่มนุษย์
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย
ทางอันยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงเทวโลก
อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมรู้ชัดซึ่งพระนิพพาน
ทางอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน
และปฏิปทาอันจะยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพาน
อนึ่ง สัตว์ผู้ปฏิบัติประการใด
ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ
ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
เราย่อมรู้ชัดซึ่งประการนั้นด้วย.
อุปมาการเห็นคติของบุคคล
[๑๗๑] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตาย
เพราะกายแตกเข้าถึงแล้วซึ่งอบาย
ทุคติ วินิบาต นรก
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง
ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ
เต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ปราศจากเปลว ปราศจากควัน
ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวกระหาย
มุ่งมาสู่หลุมถ่านเพลิงนั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
ขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงหลุมถ่านเพลิงนี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถ่านเพลิงนั้น
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
โดยสมัยต่อมา
เราได้เห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งอบายทุคติ
วินิบาต นรก
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
[๑๗๒] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจว่า
บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึง กำเนิดดิรัจฉาน
โดยสมัยต่อมา เราเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อน
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนหลุมคูถ
ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ
เต็มไปด้วยคูถ
ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็จเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย มุ่งมาสู่
หลุมคูถนั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงหลุมคูถนี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขาตกลงในหลุมคูถนั้น
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อน แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า บุคคลนี้
ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้า ถึงกำเนิดดิรัจฉาน
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งกำเนิดดิรัจฉาน
เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า
เผ็ดร้อน
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
[๑๗๓] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึง เปรตวิสัย
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้ว ซึ่งเปรตวิสัย
เสวยทุกขเวทนาเป็นอันมาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันไม่เสมอ
มีใบอ่อนและใบแก่อันเบาบาง
มีเงา อันโปร่ง
ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย
มุ่งมาสู่ต้นไม้นั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงต้นไม้นี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขานั่งหรือนอนในเงาต้นไม้นั้น
เสวยทุกขเวทนา เป็นอันมาก
แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงเปรตวิสัย
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งเปรตวิสัย
เสวยทุกขเวทนาเป็นอันมาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
[๑๗๔] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักบังเกิด ในหมู่มนุษย์
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
บังเกิดแล้วในหมู่มนุษย์
เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนต้นไม้เกิดในพื้นที่อันเสมอ
มีใบอ่อนและใบแก่อันหนา มีเงา
หนาทึบ ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย
มุ่งมาสู่ต้นไม้นั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนี้
จักมาถึงต้นไม้นี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขานั่ง
หรือนอนในเงาต้นไม้นั้น
เสวยสุขเวทนาเป็น อันมาก
แม้ฉันใด ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้น เหมือนกันแล อย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก
จักบังเกิดในหมู่มนุษย์
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก
บังเกิดแล้วในหมู่มนุษย์
เสวยสุขเวทนาเป็นอันมาก
ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
[๑๗๕] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
อย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งสุคติโลกสวรรค์
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนปราสาทในปราสาทนั้นมีเรือนยอด
ซึ่งฉาบทาแล้ว
ทั้งภายในและภายนอก
หาช่องลมมิได้ มีวงกรอบอันสนิท
มีบานประตูและหน้าต่างอันปิดสนิทดี
ในเรือนยอดนั้น
มีบัลลังก์อันลาดด้วยผ้าโกเชาว์ขนยาว
ลาดด้วยเครื่องลาดทำด้วยขนแกะสีขาว
ลาดด้วยขนเจียมเป็นแผ่นทึบ
มีเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด
มีเพดานกั้นในเบื้องบน
มีหมอนแดงวาง ณ ข้างทั้งสอง
ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย
มุ่งมาสู่ปราสาทนั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเข้าแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงปราสาทนี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขานั่ง
หรือนอนบนบัลลังก์ ในเรือนยอด ณ
ปราสาทนั้น
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้นเหมือนกันแล อย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้น
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เข้าถึงแล้วซึ่งสุคติโลกสวรรค์
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์.
[๑๗๖] ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จะกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุคคลนั้นกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนสระโบกขรณี
มีน้ำอันใส สะอาดเย็น ใสตลอด
มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์
และในที่ไม่ไกลสระโบกขรณีนั้น
มีแนวป่าอันทึบ ลำดับนั้น
บุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา
ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน
หิวระหาย มุ่งมาสู่
สระโบกขรณีนั้นแหละ
โดยมรรคาสายเดียว
บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
บุรุษผู้เจริญนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักมาถึงสระโบกขรณีนี้ทีเดียว
โดยสมัยต่อมา
บุรุษผู้มีจักษุนั้น
พึงเห็นเขาลงสู่สระโบกขรณีนั้น
อาบและดื่ม ระงับ
ความกระวนกระวายความเหน็ดเหนื่อยและความร้อนหมดแล้ว
ขึ้นไปนั่งหรือนอนในแนวป่านั้น
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
แม้ฉันใด
ดูกรสารีบุตร
เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจ
ฉันนั้นเหมือนกันแล อย่างนี้ว่า
บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น
ดำเนินอย่างนั้น
และขึ้นสู่หนทางนั้น
จักกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา
อันยิ่งเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่
โดยสมัยต่อมา
เราย่อมเห็นบุรุษนั้น
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา
อันยิ่งเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่
เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว
ดูกรสารีบุตร คติ ๕ ประการ
เหล่านี้แล
ดูกรสารีบุตร
ผู้ใดแลพึงว่าซึ่งเราผู้รู้อย่างนี้
ผู้เห็นอยู่อย่างนี้ว่า
ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่เป็นญาณทัสสนะอันวิเศษพอแก่ความเป็นอริยะ
ของพระสมณโคดมไม่มี
พระสมณโคดมทรงแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึก
ที่ไตร่ตรองด้วยการค้นคิด
แจ่มแจ้งได้เอง
ดูกรสารีบุตร
ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย
ไม่ละความคิดนั้นเสีย
ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
ก็เที่ยงที่จะตกนรก
ดังนำมาฝังไว้
ดูกรสารีบุตร
เปรียบเหมือนภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีล
ถึงพร้อมด้วยสมาธิ
ถึงพร้อมด้วยปัญญา
พึงกระหยิ่มอรหัตผลในปัจจุบันทีเดียว
แม้ฉันใด เรากล่าวข้ออุปไมยนี้
ก็ฉันนั้น
ผู้นั้นไม่ละวาจานั้นเสีย
ไม่ละความคิดนั้นเสีย
ไม่สละคืนทิฏฐินั้นเสีย
ก็เที่ยงที่จะตกนรกดังถูกนำมาฝังไว้.
(2) อามกธัญญเปยยาล
ปฐมวรรคที่ ๗
อัญญตรสูตร
ว่าด้วยสัตว์ผู้มาเกิดในมนุษย์น้อย
เล่มที่ ๑๙
[๑๗๕๗] ครั้งนั้นแล
พระผู้มีพระภาคทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ในปลายพระนขา
แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสถามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ในปลายเล็บกับแผ่นดินใหญ่นี้
ไหนจะมากกว่ากัน
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า
ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขามีประมาณน้อย
เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่
ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคทรงช้อนไว้ในปลายพระนขา
ย่อมไม่ถึงซึ่งการนับ
การเปรียบเทียบ
หรือแม้ส่วนเสี้ยว.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฉันนั้นเหมือนกัน
สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
โดยที่แท้
สัตว์ที่กลับมาเกิดนอกจากมนุษย์มีมากกว่า
ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะไม่ได้เห็นอริยสัจ ๔
อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ
ทุกขอริยสัจ ฯลฯ
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นแหละ
เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ ฯลฯ
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบสูตรที่ ๑