คู่ครอง
(1) สมชีวิสูตรที่ ๑
เล่มที่ ๒๑
[๕๕] สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
เภสกฬามฤคทายวัน
ใกล้บ้านสุงสุมารคีระ
แคว้นภัคคะ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว
ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลบิดาคฤหบดีแล้ว
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้
ครั้งนั้นแล
คฤหบดีผู้นกุลบิดาและคฤหปตานี
ผู้นกุลมารดา
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
คฤหบดีผู้นกุลบิดาได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
นับแต่เวลาที่ตระกูลนำคฤหปตานีผู้นกุลมารดาซึ่งยังเป็นสาวมา
เพื่อข้าพระองค์ผู้ยังเป็นหนุ่ม
ข้าพระองค์มิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจ
คฤหปตานีผู้นกุลมารดาแม้ด้วยใจเลย
ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า
ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ
แม้คฤหปตานีผู้นกุลมารดา
ก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
นับแต่เวลาที่ตระกูลนำหม่อมฉันซึ่งยังเป็นสาวมา
เพื่อคฤหบดีผู้นกุลบิดาซึ่งยังเป็นหนุ่ม
หม่อมฉันมิได้รู้สึกจะประพฤตินอกใจคฤหบดีผู้นกุลบิดาแม้ด้วยใจเลย
ที่ไหนจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า
หม่อมฉันทั้งสองปรารถนาพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในสัมปรายภพ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรคฤหบดีและคฤหปตานี
ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกันทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในสัมปรายภพไซร้
ทั้งสองเทียวพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน
มีปัญญาเสมอกัน
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้นย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบัน
ทั้งในสัมปรายภพ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ
มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม
เจรจาคำที่น่ารักแก่กันและกัน
ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
มีความผาสุก
ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน
รักใคร่กันมาก
ไม่มีใจร้ายต่อกัน
ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
ทั้งสองเป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน
ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์
เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก
ฯ
จบสูตรที่ ๕
(2) สังวาสสูตรที่ ๒
เล่มที่ ๒๑
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
การอยู่ร่วม ๔ ประการนี้
๔ ประการเป็นไฉน คือ
ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑
ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑
ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี ๑
ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร
สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ
พูดเพ้อเจ้อ มีความละโมบ
มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด
เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม
มีใจอันมลทิน คือ
ความตระหนี่ครอบงำ
ด่าและบริภาษสมณพราหมณ์
อยู่ครองเรือน
แม้ภรรยาของเขา
ก็เป็นผู้มักฆ่าสัตว์ ฯลฯ
อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างนี้แล
ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร
สามีในโลกนี้เป็นผู้มักฆ่าสัตว์
ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
จากการลักทรัพย์
จากการประพฤติผิดในกาม
จากการพูดเท็จ
จากการพูดส่อเสียด
จากการพูดคำหยาบ
จากการพูดเพ้อเจ้อ
ไม่มีความละโมบ ไม่มีพยาบาท
มีความเห็นชอบ มีศีล
มีกัลยาณธรรม
มีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่
ไม่ด่าไม่บริภาษสมณพราหมณ์
อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ชายผีอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล
ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผีอย่างไร
สามีในโลกนี้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ส่วนภรรยาของเขาเป็นผู้มักฆ่าสัตว์
ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงผี
อย่างนี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างไร
สามีในโลกนี้เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
ฯลฯ อยู่ครองเรือน
แม้ภรรยาของเขาก็เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์
ฯลฯ อยู่ครองเรือน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายเทวดาอยู่
ร่วมกับหญิงเทวดาอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอยู่ร่วม ๔
ประการนี้แล ฯ
ภรรยาและสามีทั้งสองเป็นผู้ทุศีล
เป็นคนตระหนี่
มักด่าว่าสมณพราหมณ์
ชื่อว่าเป็นผีมาอยู่ร่วมกัน
สามีเป็นผู้ทุศีล มีความตระหนี่
มักด่าว่าสมณพราหมณ์
ส่วนภรรยาเป็นผู้มีศีล
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ
ปราศจากความตระหนี่
ภรรยานั้นชื่อว่าเทวดาอยู่ร่วมกับสามีผี
สามีเป็นผู้มีศีล
รู้ความประสงค์ของผู้ขอ
ปราศจากความตระหนี่
ส่วนภรรยาเป็นผู้ทุศีล
มีความตระหนี่
มักด่าว่าสมณพราหมณ์
ชื่อว่าหญิงผีอยู่ร่วมกับสามีเทวดา
ทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธารู้ความประสงค์ของผู้ขอ
มีความสำรวม เป็นอยู่โดยธรรม
ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น
เจรจาถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน
ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก
มีความผาสุก
ทั้งสองฝ่ายมีศีลเสมอกัน
รักใคร่กันมาก
ไม่มีใจร้ายต่อกัน
ครั้นประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว
เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน
ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก
ฯ
จบสูตรที่ ๔
(3) มหานารทกัสสปชาดก
เล่มที่ ๒๘
[๘๖๔] กระหม่อมฉัน
(เมื่อเกิดเป็นลา)
ต้องพาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหลังบ้าง
ด้วยรถบ้าง
นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ
การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลานั้นแล้ว
ไปบังเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่
ถูกนายฝูงผู้คะนองขบกัดลูกอัณฑะ
นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ
การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว
ได้เกิดเป็นโคในทสันนรัฐ
ถูกเขาตอน มีกำลังแข็งแรง
กระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่สิ้นกาลนาน
นั่นเป็นผลของกรรม คือ
การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาของผู้อื่น
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว
มาบังเกิดเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี
จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ
นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ
การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกระเทยนั้นแล้ว
ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสรในนันทวัน
ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณน่าใคร่
มีผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร
สวมกุณฑลแก้วมณี
เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำ ขับร้อง
เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ
ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ
เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น
ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก ๗
ชาติ
ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว
จักไปเกิดต่อไป
กุศลที่กระหม่อมฉันกระทำไว้ในเมืองโกสัมพีตามมาให้ผล
กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์
ข้าแต่พระมหาราชา
กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลายสักการบูชาแล้วเป็นนิตย์ตลอด
๗ ชาติ
กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด
๖ ชาติ ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ชาติที่ ๗
กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย
เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก
เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา
แม้วันนี้
นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัย
อยู่ในนันทวันเทพบุตร
พระนามว่าชวะ
สามีของกระหม่อมฉัน
ยังรับพวงมาลัยอยู่ ๑๖ ปี
ในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา
๑๐๐ ปี
ในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของ
เทวดาดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบมานี้
กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุกๆ
ชาติ แม้ตั้งอสงไขย
ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม
(ยังไม่ให้ผลแล้ว)
ย่อมไม่พินาศไป.
[๘๖๕] ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ
ชาติไป
ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย
เหมือนบุคคลล้างเท้าสะอาดแล้วเว้นเปือกตม
ฉะนั้น
หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษทุก ๆ
ชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี
เหมือนนางเทพอัปสรผู้เป็นบาทบริจาริกา
ยำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น
ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์
อายุยศและสุขอันเป็นทิพย์
ก็พึงเว้นบาปทั้งหลายประพฤติแต่สุจริตธรรม
๓ อย่าง
สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม
ควรเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยกาย
วาจา ใจ มีปัญญา
เครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน
นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้
ที่เป็นคนมียศ
มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง
นรชนเหล่านั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต้องสงสัย
สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็นของตัว
(4) เล่มที่ ๒o
บาลีแห่งเอกธรรมเป็นต้น
[๑]
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าฯ
[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรูปสตรีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ
[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงสตรีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เสียงสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่
ฯ
[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนกลิ่นสตรีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กลิ่นสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ
[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนรสสตรีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รสสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะของสตรีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โผฏฐัพพะสตรีย่อมครอบงำจิตของบุรุษตั้งอยู่ฯ
[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นรูปอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรูปบุรุษเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นเสียงอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนเสียงบุรุษเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เสียงบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ
[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นกลิ่นอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนกลิ่นบุรุษเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กลิ่นบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ
[๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นรสอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนรสบุรุษเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รสบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่ฯ
[๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่เล็งเห็นโผฏฐัพพะอื่นแม้อย่างหนึ่ง
ที่จะครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่เหมือนโผฏฐัพพะบุรุษเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โผฏฐัพพะของบุรุษย่อมครอบงำจิตของสตรีตั้งอยู่
ฯ
จบวรรคที่ ๑