จตุตถปาราชิกสิกขาบท
เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
เล่มที่ ๑
[๒๒๗] โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน
เขตพระนครเวสาลี
ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน
ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา
จำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
ก็แลสมัยนั้น วัชชีชนบท
อัตคัดอาหาร
ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง
มีข้าวตายฝอย
ต้องมีสลากซื้ออาหาร
ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา
ก็ทำไม่ได้ง่าย
จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า
บัดนี้วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร
ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง
มีข้าวตายฝอย
ต้องมีสลากซื้ออาหาร
ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา
ก็ทำไม่ได้ง่าย
พวกเราจึงจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกันร่วมใจกันไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต
ด้วยอุบายอย่างไรหนอ
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจงช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์เถิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้
พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า
ไม่ควร ท่านทั้งหลาย
จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกัน
อำนวยกิจการ
อันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์
ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจงช่วยกันนำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์เถิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้
พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า
อย่าเลย ท่านทั้งหลาย
จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกัน
อำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์
จะประโยชน์อไรด้วยการช่วยกันทำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์
ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า
ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน
รูปโน้นได้ทุติยฌาน
รูปโน้นได้ตติยฌาน
รูปโน้นได้จตุตถฌาน
รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน
รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี
รูปโน้นเป็นพระอนาคามี
รูปโน้นเป็นพระอรหันต์
รูปโน้นได้วิชชา ๓
รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้
พวกเราก็จักเป็นผู้พร้อมเพรียงกันร่วมใจกัน
ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุกและจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นร่วมกันว่า
อาวุโสทั้งหลาย
การที่พวกเราพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน
แก่พวกคฤหัสถ์นี้แหละ
ประเสริฐที่สุด
แล้วพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า
ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน
รูปโน้นได้ทุติยฌาน
รูปโน้นได้ตติยฌาน
รูปโน้นได้จตุตถฌาน
รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน
รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี
รูปโน้นเป็นพระอนาคามี
รูปโน้นเป็นพระอรหันต์
รูปโน้นได้วิชชา ๓
รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้
ครั้นต่อมา
ประชาชนเหล่านั้นพากันยินดีว่า
เป็นลาภของพวกเราหนอ
พวกเราได้ดี แล้วหนอ
ที่มีภิกษุทั้งหลายผู้มีคุณพิเศษเห็นปานนี้
อยู่จำพรรษาเพราะก่อนแต่นี้
ภิกษุทั้งหลายที่อยู่จำพรรษาของพวกเราจะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย
โภชนะชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่บริโภคด้วยตน
ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต
ของเคี้ยวชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่เคี้ยวด้วยตน
ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต
ของลิ้มชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่ลิ้มด้วยตน
ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต น้ำดื่มชนิดที่
พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่ดื่มด้วยตน
ไม่ให้มารดาบิดา บุตรภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต จึงภิกษุเหล่านั้น
เป็นผู้มีน้ำนวล
มีอินทรีย์ผ่องใส
มีสีหน้าสดชื่น
มีผิวพรรณผุดผ่อง
ก็การที่ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วเข้าเฝ้าเยี่ยมพระผู้มีพระภาค
นั่นเป็นประเพณี
ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้วเก็บเสนาสนะ
ถือบาตรจีวร
หลีกไปโดยมรรคาอันจไปสู่พระนครเวสาลี
เที่ยวจาริกโดยลำดับ
ถึงพระนครเวสาลี ป่ามหาวัน
กูฏาคารศาลา
แล้วเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ภิกษุต่างทิศมาเฝ้า
[๒๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล
พวกภิกษุผู้จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลายเป็นผู้ผอมซูบซีด
มีผิวพรรณหมอง เหลืองขึ้นๆ
มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น
ส่วนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
เป็นผู้มีน้ำนวล
มีอินทรีย์ผ่องใส
มีสีหน้าสดชื่น
มีผิวพรรณผุดผ่อง
ก็การที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ทั้งหลายทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย
นั่นเป็นพุทธประเพณี ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุ
พวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ
ยังพอให้เป็นไปได้หรือ
พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
ยังพอทนได้พระพุทธเจ้าข้า
ยังพอเป็นไปได้
พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง
พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกันไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
พระพุทธเจ้าข้า
พุทธประเพณี
พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่
ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่
ย่อมไม่ตรัสถามก็มี
ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม
ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม
พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่
ที่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถามภิกษุทั้งหลาย
ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ
จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง
จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตด้วยวิธีการอย่างไร
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบแล้ว
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คุณวิเศษของพวกเธอนั่น
มีจริงหรือ
ภ. ไม่มีจริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
[๒๒๙]
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
ดูกรโมฆะบุรุษทั้งหลาย
การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ
ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย
ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์
เพราะเหตุแห่งท้องเล่า
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย
ท้องอันพวกเธอคว้านแล้วด้วยมีดเชือดโคอันคมยังดีกว่า
อันพวกเธอกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์เพราะเหตุแห่งท้อง
ไม่ดีเลย
ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร
เพราะบุคคลผู้คว้านท้องด้วยมีดเชือดโคอันคมนั้นพึงถึงความตาย
หรือความทุกข์เพียงแค่ตาย
ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ
และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป
ไม่พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต
นรก
ส่วนบุคคลผู้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์นั้น
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป
พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ซึ่งมีการกระทำนี้แลเป็นเหตุ
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย
การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยที่แท้
การกระทำของพวกเธอนั่น
เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวกผู้เลื่อมใสแล้ว
ครั้นแล้ว
ทรงกระทำธรรมมีกถารับสั่งกะภิกขุทั้งหลาย
ว่าดังนี้:-
มหาโจร ๕ จำพวก
[๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาโจร ๕
จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
มหาโจร ๕ จำพวก เป็นไฉน
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มหาโจรบางคนในโลกนี้
ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า
เมื่อไรหนอ
เราจักเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง
หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
ท่องเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี
เบียดเบียนเอง
ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง
ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง
ให้ผู้อื่นเผาผลาญ
สมัยต่อมา
เขาเป็นผู้อันบุรุษร้อยหนึ่ง
หรือพันหนึ่ง
แวดล้อมแล้วเที่ยวไปในคามนิคมและราชธานี
เบียดเบียนเอง
ให้ผู้อื่นเบียดเบียน ตัดเอง
ให้ผู้อื่นตัด เผาผลาญเอง
ให้ผู้อื่นเผาผลาญฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้
ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
ย่อมปรารถนาอย่างนี้ว่า
เมื่อไรหนอ
เราจึงจักเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง
หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี
อันคฤหัสถ์และบรรชิต สักการะ
เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร
สมัยต่อมา
เธอเป็นผู้อันภิกษุร้อยหนึ่ง
หรือพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว
เที่ยวจาริกไปในคามนิคมและราชธานี
อันคฤหัสถ์ และบรรพชิตสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรงแล้ว
ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๑
มีปรากฏอยู่ในโลก
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้
เล่าเรียนธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
ย่อมยกตนขึ้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๒
มีปรากฏอยู่ในโลก
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้
ย่อมตามกำจัด เพื่อนพรหมจารี
ผู้หมดจด
ผู้ประพฤติพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์อยู่ด้วยธรรม
อันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์อันหามูลมิได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๓
มีปรากฏอยู่ในโลก
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
ภิกษุผู้เลวทรามบางรูปในธรรมวินัยนี้
ย่อมสงเคราะห์
เกลี้ยกล่อมคฤหัสถ์ทั้งหลาย
ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารของสงฆ์
คือ อาราม พื้นที่อาราม วิหาร
พื้นที่วิหาร เตียง ตั่ง ฟูก หมอน
หม้อโลหะ อ่างโลหะ กะถางโลหะ
กะทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่าน
เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกะต่าย
หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว
เครื่องไม้ เครื่องดิน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เป็นมหาโจรจำพวกที่ ๔
มีปรากฏอยู่ในโลก
๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรมอันไม่มีอยู่
อันไม่เป็นจริง
นี้จัดเป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ
พราหมณ์ เทวดา และมนุษย์
ข้อนั้น เพราะเหตุไร
เพราะภิกษุนั้น
ฉันก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น
ด้วยอาการแห่งคนขโมย.
นิคมคาถา ภิกษุใด
ประกาศตนอันมีอยู่โดยการอื่น
ด้วยอาการอย่างอื่น
โภชนะนั้น อันภิกษุนั้นฉันแล้ว
ด้วยอาการแห่งคนขโมย
ดุจพรานนกลวงจับนก ฉะนั้น
ภิกษุผู้เลวทรามเป็นอันมาก
มีผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมทราม
ไม่สำรวมแล้ว
ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น
ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก
เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม
ภิกษุผู้ทุศีล
ผู้ไม่สำรวมแล้วบริโภคก้อนเหล็กแดงดังเปลวไฟ
ประเสริฐกว่า
การฉันก้อนข้าวของชาวรัฐ
จะประเสริฐอะไร.
ทรงบัญญัติปฐมบัญญัติ
[๒๓๑]
ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
โดยอเนกปริยาย
แล้วตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก
ความเป็นคนมักมาก
ความเป็นคนไม่สันโดษ
ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ
ความขัดเกลา ความกำจัด
อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม
การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย
ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล
เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน
๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต
๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระปฐมบัญญัติ ๔.
อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ
กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ ความเห็น
อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ
น้อมเข้ามาในตนว่า
ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้
ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น
อันผู้ใดผู้หนึ่ง
ถือเอาตามก็ตาม
ไม่ถือเอาตามก็ตาม
เป็นอันต้องอาบัติแล้ว
มุ่งความหมดจด
จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น
ได้กล่าวว่ารู้
ไม่เห็นอย่างนั้น
ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้
ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
สิกขาบทนี้
ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการ
ฉะนี้ฯ
เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาจบ
เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ
[๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล
ภิกษุเป็นอันมาก
สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น
สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง
สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ
สำคัญมรรคผลอันตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง
จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ
ครั้นต่อมา
จิตของพวกเธอน้อมไปเพื่อความกำหนัดก็มี
น้อมไปเพื่อความขัดเคืองก็มี
น้อมไปเพื่อความหลงก็มี
จึงมีความรังเกียจว่า
สิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้ว
แต่พวกเราสำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง
จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ
พวกเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ
แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ท่านพระอานนท์ๆ
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
มีอยู่เหมือนกัน อานนท์
ข้อที่ภิกษุทั้งหลายสำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้เห็นว่าได้เห็น
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ถึงว่าได้ถึง
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้บรรลุว่าได้บรรลุ
สำคัญมรรคผลที่ตนยังมิได้ทำให้แจ้งว่าได้ทำให้แจ้ง
จึงอวดอ้างมรรคผลตามที่สำคัญว่าได้บรรลุ
แต่ข้อนั้นนั่นแล
เป็นอัพโพหาริก
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ ๔.
อนึ่ง ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ
กล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
อันเป็นความรู้ ความเห็น
อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ
น้อมเข้ามาในตนว่า
ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้
ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้
ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น
อันผู้ใดผู้หนึ่ง
ถือเอาตามก็ตาม
ไม่ถือเอาตามก็ตาม
เป็นอันต้องอาบัติแล้ว
มุ่งความหมดจด
จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น
ได้กล่าวว่ารู้
ไม่เห็นอย่างนั้น
ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ
เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ
แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก
หาสังวาสมิได้.
เรื่องภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุจบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒๓๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า
ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
มีการงานอย่างใด มีชาติ อย่างใด
มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด
มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด
มีอารมณ์ อย่างใด เป็นเถระก็ตาม
เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม
นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อนึ่ง ... ใด บทว่า ภิกษุ ความว่า
ที่ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะ อรรถว่า
ประพฤติภิกขาจริยวัตร ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า
ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า
ภิกษุ โดยปฏิญญา ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า
เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถ ว่า
เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า
เป็นพระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะอรรถว่า
เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันให้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม
อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
บรรดาผู้ที่ชื่อว่าภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุนี้ใด
ที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันให้อุปสมทบแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม
อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
ภิกษุนี้พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์ว่า
ภิกษุ ในอรรถนี้
บทว่า ไม่รู้เฉพาะ คือ ไม่รู้
ไม่เห็น กุศลธรรมในตน ซึ่งไม่มี
ไม่เป็นจริง ไม่ปรากฏ
ว่าข้าพเจ้ามีกุศลธรรม
บทว่า อุตตริมนุสสธรรม ได้แก่ ฌาน
วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ
มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล
การละกิเลส ความเปิดจิต
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
บทว่า น้อมเข้ามาในตน
ได้แก่น้อมกุศลธรรมเหล่านั้นเข้ามาในตน
หรือน้อมตน
เข้าไปในกุศลธรรมเหล่านั้น
บทว่า ความรู้ ได้แก่ วิชชา ๓
บทว่า ความเห็น โดยอธิบายว่า
อันใดเป็นความรู้
อันนั้นเป็นความเห็น
อันใดเป็นความเห็น
อันนั้นเป็นความรู้
บทว่า กล่าวอวด คือ บอกแก่สตรี
บุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต คำว่า
ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้
ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ความว่า
ข้าพเจ้ารู้ธรรมเหล่านี้
ข้าพเจ้าเห็นธรรมเหล่านี้ อนึ่ง
ข้าพเจ้ามีธรรมเหล่านี้
และข้าพเจ้าเห็นชัดในธรรมเหล่านี้.
[๒๓๔] บทว่า ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น
คือ
เมื่อขณะคราวครู่หนึ่งที่ภิกษุกล่าวอวดนั้น
ผ่านไปแล้ว
บทว่า
อันผู้ใดผู้หนึ่งถือเอาตาม คือ
มีบุคคลเชื่อในสิ่งที่ภิกษุปฏิญาณแล้ว
โดยถามว่า ท่านบรรลุอะไร
ได้บรรลุด้วยวิธีไร เมื่อไร
ที่ไหน ท่านละกิเลสเหล่าไหนได้
ท่านได้ธรรมหมวดไหน
บทว่า ไม่ถือเอาตาม คือ ไม่มีใครๆ
พูดถึง
บทว่า ต้องอาบัติแล้ว ความว่า
ภิกษุมีความอยากอันลามก
อันความอยากครอบงำแล้ว
พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม
อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
ย่อมเป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก
บทว่า มุ่งความหมดจด คือ
ประสงค์จะเป็นคฤหัสถ์
หรือประสงค์จะเป็นอุบาสก
หรือประสงค์จะเป็นอารามิก
หรือประสงค์จะเป็นสามเณร คำว่า
แน่ะท่าน
ข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น
ได้กล่าวว่ารู้
ไม่เห็นอย่างนั้น
ได้กล่าวว่าเห็น ความว่า
ข้าพเจ้าไม่รู้ธรรมเหล่านั้น
ข้าพเจ้าไม่เห็นธรรมเหล่านั้น
อนึ่ง
ข้าพเจ้าไม่มีธรรมเหล่านั้น
และข้าพเจ้าไม่เห็นชัดในธรรมเหล่านั้น
คำว่า ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ
เป็นเท็จเปล่าๆ ความว่า
ข้าพเจ้าพูดพล่อยๆ พูดเท็จ
พูดไม่จริง พูดสิ่งที่ไม่มี
ข้าพเจ้าไม่รู้ได้พูดแล้ว
บทว่า
เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ คือ
ยกเสียแต่เข้าใจว่าตนได้บรรลุ.
[๒๓๕] บทว่า แม้ภิกษุนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบถึงภิกษุรูปก่อนๆ
บทว่า เป็นปาราชิก ความว่า
ต้นตาลมียอดด้วนแล้ว
ไม่อาจจะงอกอีก ชื่อแม้ฉันใด
ภิกษุก็ฉันนั้นแหละ
มีความอยากอันลามก
อันความอยากครอบงำแล้ว
พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม
อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
ย่อมไม่เป็นสมณะ
ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร
เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
เป็นปาราชิก
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า
ที่ชื่อว่า สังวาสได้แก่
กรรมที่พึงทำร่วมกัน
อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน
ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน
นั่นชื่อว่า สังวาส
สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น
เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
หาสังวาสมิได้.
บทภาชนีย์
[๒๓๖] ที่ชื่อว่า อุตตริมนุสสธรรม
ได้แก่ ๑. ฌาน ๒. วิโมกข์ ๓. สมาธิ ๔.
สมาบัติ ๕. ญาณทัสสนะ ๖. มัคคภาวนา
๗. การทำให้แจ้งซึ่งผล ๘.
การละกิเลส ๙. ความเปิดจิต ๑๐.
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
ที่ชื่อว่า ฌาน ได้แก่ปฐมฌาน
ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
ที่ชื่อว่า วิโมกข์ ได้แก่
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์
อัปปณิหิตวิโมกข์
ที่ชื่อว่า สมาธิ ได้แก่
สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ
อัปปณิตสมาธิ
ที่ชื่อว่า สมาบัติ ได้แก่
สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ
อัปปณิหิตสมาบัติ
ที่ชื่อว่า ญาณ ได้แก่ วิชชา ๓
ที่ชื่อว่า มัคคภาวนา ได้แก่
สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕
โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
ที่ชื่อว่า การทำให้แจ้งซึ่งผล
ได้แก่การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
การทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล
การทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล
การทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล
ที่ชื่อว่า การละกิเลส
ได้แก่การละราคะ การละโทสะ
การละโมหะ
ที่ชื่อว่า ความเปิดจิต
ได้แก่ความเปิดจิตจากราคะ
ความเปิดจิตจากโทสะ
ความเปิดจิตจากโมหะ
ที่ชื่อว่า
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า
ได้แก่ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยปฐมฌาน
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยทุติยฌาน
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยตติยฌาน
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่าด้วยจตุตถฌาน.
อนาปัตติวาร
[๒๘๑] ภิกษุสำคัญว่าได้บรรลุ ๑
ภิกษุไม่ประสงค์จะกล่าวอวด ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๑
ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องพยากรณ์มรรคผล ๓ เรื่อง
[๒๙๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล
ภิกษุรูปหนึ่งพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้กล่าวอย่างนี้ว่า
อาวุโส แม้ผมก็ละอาสวะได้
แล้วมีความรังเกียจ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ
เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
๒. ก็โดยสมัยนั้นแล
ภิกษุรูปหนึ่งพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้กล่าวอย่างนี้ว่า
อาวุโส
ธรรมเหล่านั้นย่อมมีแม้แก่ผม
แล้วมีความรังเกียจ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ
เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
๓. ก็โดยสมัยนั้นแล
ภิกษุรูปหนึ่งพูดอวดอุตตริมนุสสธรรมแก่ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
แม้ภิกษุรูปนั้นก็ได้กล่าวอย่างนี้ว่า
อาวุโส
แม้ผมก็ปรากฏในธรรมเหล่านี้
แล้วมีความรังเกียจ
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ
เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เล่มที่ ๑ ข้อ ๒๙๕
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า
อาวุโส ผมลงจากคิชฌกูฏบรรพต
เขตพระนคร ราชคฤห์นี้
ได้เห็นอัฏฐิสังขลิกเปรตมีแต่ร่างกระดูก
ลอยไปในเวหาส์ ฝูงแร้ง เหยี่ยว
และนก ตะกรุม
พากันโฉบอยู่ขวักไขว่
จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง
ยื้อแย่งตามช่องซี่โครง
สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา
เปรตนั้นร้องครวญคราง อาวุโส
ผมนั้นได้คิดเช่นนี้ว่า
น่าอัศจรรย์จริงหนอ
น่าประหลาดจริงหนอ
ที่สัตว์แม้เห็นปานนี้
ยักษ์แม้เห็นปานนี้
เปรตแม้เห็นปานนี้ การได้อัตภาพ
แม้เห็นปานนี้ก็มีอยู่
ภิกษุทั้งหลายพากันเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า
ท่านพระมหาโมคคัลลานะอวดอุตตริมนุสสธรรม
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมเป็นผู้มีจักษุอยู่
ย่อมเป็นผู้มีญาณอยู่
เพราะสาวกได้รู้ได้เห็น
หรือได้ทำสัตว์เช่นนี้ให้เป็นพยานแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อกาลก่อนเราก็ได้เห็นสัตว์นั้น
แต่เราไม่ได้พยากรณ์
ถ้าเราพยากรณ์สัตว์นั้น
และคนอื่นไม่เชื่อเรา
ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์แก่เขาเหล่านั้นสิ้นกาลนาน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัตว์นั้นเคยเป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี่เอง
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี
หลายร้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี
แล้วได้ประสบอัตภาพเช่นนี้
ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
แหละที่ยังเป็นส่วนเหลืออยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โมคคัลลานะพูดจริง
โมคคัลลานะไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องพระโสภิตะอรหันต์
[๒๙๙] ครั้งนั้น
ท่านพระโสภิตะเรียกภิกษุทั้งหลายมากล่าวว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
เราระลึกชาติได้ห้าร้อยกัลป์
ภิกษุทั้งหลายพากัน เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนท่านพระโสภิตะ
จึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย
เราระลึกชาติได้ห้าร้อยกัลป์
ท่านพระโสภิตะกล่าวอวดอุตตริมนุสสธรรม
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ชาตินี้ของโสภิตะมีอยู่
แต่มีชาติเดียวเท่านั้นแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
โสภิตะพูดจริง โสภิตะ
ไม่ต้องอาบัติ.
เล่มที่ ๒
๑. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๘
เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
[๓๐๔] โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน
เขตพระนครเวสาลี.
ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน
ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา
จำพรรษาอยู่ใกล้
ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา.
ก็แลสมัยนั้น
วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร.
ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง
มีข้าวตายฝอย
ต้องมีสลากซื้ออาหาร.
ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา
ก็ทำไม่ได้ง่าย.
จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า
บัดนี้วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร
ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง
มีข้าว ตายฝอย
ต้องมีสลากซื้ออาหาร
ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา
ก็ทำไม่ได้ง่าย.
พวกเราจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ด้วยอุบายอย่างไรหนอ.
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้
อาวุโสทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจะช่วยกันอำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์เถิด,
เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้,
พวกเราจะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า
ไม่ควร ท่านทั้งหลาย
จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกัน
อำนวยกิจการอันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์
ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจงช่วยกันนำข่าวสาส์นอันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์เถิด
เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้,
พวกเราจักเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
ภิกษุบางพวกพูดอย่างนี้ว่า
อย่าเลย ท่านทั้งหลาย
จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันอำนวยกิจการ
อันเป็นหน้าที่ของพวกคฤหัสถ์
จะประโยชน์อะไรด้วยการช่วยกันนำข่าวสาส์น
อันเป็นหน้าที่ทูตของพวกคฤหัสถ์
ท่านทั้งหลาย ผิฉะนั้น
พวกเราจักกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน
แก่พวกคฤหัสถ์ว่า
ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน
รูปโน้นได้ทุติยฌาน
รูปโน้นได้ตติยฌาน
รูปโน้นได้จตุตถฌาน
รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน
รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี
รูปโน้นเป็นพระอนาคามี
รูปโน้นเป็นพระอรหันต์
รูปโน้นได้วิชชา ๓
รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้,
เมื่อเป็นเช่นนี้
พวกเขาจักมุ่งถวายบิณฑบาตแก่พวกเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้
พวกเราก็จะพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และจักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต.
ภิกษุเหล่านั้นมีความเห็นร่วมกันว่า
อาวุโสทั้งหลาย
การที่พวกเราพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน
แก่พวกคฤหัสถ์นี้แหละ
ประเสริฐที่สุด
แล้วพากันกล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์ว่า
ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน
รูปโน้นได้ทุติยฌาน
รูปโน้นได้ตติยฌาน
รูปโน้นได้จตุตถฌาน
รูปโน้นเป็นพระโสดาบัน
รูปโน้นเป็นพระสกทาคามี
รูปโน้นเป็นพระอนาคามี
รูปโน้นเป็นพระอรหันต์
รูปโน้นได้วิชชา ๓
รูปโน้นได้อภิญญา ๖ ดังนี้.
ประชาชนพากันยินดี
ครั้นต่อมา
ประชาชนเหล่านั้นพากันยินดีว่า
เป็นลาภของพวกเราหนอ
พวกเราได้ดี แล้วหนอ
ที่มีภิกษุทั้งหลายผู้ทรงคุณพิเศษเห็นปานนี้
อยู่จำพรรษา เพราะก่อนแต่นี้
ภิกษุทั้งหลายที่อยู่จำพรรษาของพวกเรา
จะมีคุณสมบัติเหมือนภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ไม่มีเลย,
โภชนะชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่บริโภคด้วยตน
ไม่ให้มารดา บิดา บุตร ภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต ของเคี้ยว ของลิ้ม
น้ำดื่ม
ชนิดที่พวกเขาจะถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น
พวกเขาไม่ดื่มด้วยตน
ไม่ให้มารดา บิดา บุตร ภรรยา
คนรับใช้ กรรมกร มิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิต.
จึงภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้มีน้ำนวล
มีอินทรีย์ ผ่องใส
มีสีหน้าสดชื่น
มีผิวพรรณผุดผ่อง.
ประเพณีเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
[๓๐๕]
ก็การที่ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้วเข้าเฝ้า
เยี่ยมพระผู้มีพระภาคนั่นเป็นประเพณี.
ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาสแล้ว
เก็บเสนาสนะ
ถือบาตรจีวรหลีกไปโดยมรรคา
อันจะไปสู่พระนครเวสาลี.
ถึงพระนครเวสาลี ป่ามหาวัน
กูฏคารศาลา โดยลำดับ
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่งเฝ้าอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ก็โดยสมัยนั้นแล
พวกภิกษุผู้จำพรรษาอยู่ในทิศทั้งหลาย
เป็นผู้ผอม ซูบซีด มีผิวพรรณ หมอง
เหลืองขึ้นๆ
มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น.
ส่วนภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
เป็นผู้มีน้ำนวล
มีอินทรีย์ผ่องใส
มีสีหน้าสดชื่น
มีผิวพรรณผุดผ่อง.
ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะ
อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย
นั่นเป็นพุทธประเพณี.
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ
ยังพอให้เป็นไปได้หรือ
พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ?
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
ยังพอทนได้ พระพุทธเจ้าข้า
ยังพอให้เป็นไปได้
พระพุทธเจ้าข้า,
อนึ่ง
พวกข้าพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
พระพุทธเจ้าข้า.
พุทธประเพณี
พระตถาคตทั้งหลาย ทรงทราบอยู่
ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่
ย่อมไม่ตรัสถามก็มี
ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม
ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม
พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
พระตถาคตทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงสอบถาม
ภิกษุทั้งหลายด้วยอาการ ๒ อย่าง
คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง
จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง.
ตรัสถาม
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน
อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก
และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต
ด้วยวิธีการอย่างไร
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบแล้ว.
ภ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คุณวิเศษของพวกเธอนั่น
มีจริงหรือ?
ภิ. มีจริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ไฉนพวกเธอจึงได้กล่าวชมอุตตริมนุสสธรรมของกันและกัน
แก่พวกคฤหัสถ์
เพราะเหตุแห่งท้องเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
... ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ ๕๗.
๘. อนึ่ง
ภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่อนุปสัมบัน
เป็นปาจิตตีย์ เพราะมีจริง.
เรื่องภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทาจบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๐๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า
ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...
นี้
ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน ความว่า
ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี
นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.
บทภาชนีย์
[๓๐๗] ที่ชื่อว่า อุตตริมนุสสธรรม
ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ
ญาณทัสสนะ การทำมรรคให้เกิด
การทำผลให้แจ้ง การละกิเลส
ความเปิดจิต
ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า.