ภิกษุณี
ภิกขุนีขันธกะ
เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมี
เล่มที่ ๗
[๕๑๓] โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ นิโครธาราม เขตกรุงกบิลพัสดุ์
ในสักกะชนบท ครั้งนั้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า
ขอสตรีพึงได้ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลย โคตมี
เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม
พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า
ขอสตรีพึงได้ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลย โคตมี
เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
ครั้งนั้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงน้อยพระทัยว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
มีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ทรงกันแสง
พลางถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณ เสด็จกลับไป ฯ
[๕๑๔] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระพุทธาภิรมย์
แล้วเสด็จหลีกจาริกทางพระนครเวสาลี
เสด็จจาริกโดยลำดับ
ถึงพระนครเวสาลี ข่าวว่า
พระองค์ประทับอยู่ที่กูฏาคารสาลาป่ามหาวัน
เขตพระนครเวสาลีนั้น
ครั้งนั้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมีให้ปลงพระเกสา
ทรงพระภูษาย้อมฝาด
พร้อมด้วยนางสากิยานีมากด้วยกัน
เสด็จหลีกไปทางพระนครเวสาลี
เสด็จถึงเมืองเวสาลี
กูฏาคารสาลาป่ามหาวันโดยลำดับ
เวลานั้นพระนางมีพระบาททั้งสองพอง
มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี
มีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ได้ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
ท่านพระอานนท์ได้เห็นพระนางมหาปชาบดีโคตมี
มีพระบาททั้งสองพอง
มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี
มีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
ครั้นแล้วได้ถามว่า ดูกรโคตมี
เพราะเหตุไร
พระนางจึงมีพระบาททั้งสองพอง
มีพระวรกายเกลือกกลั้ว
ด้วยธุลีมีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์ชุ่มด้วยน้ำพระเนตร
ประทับยืนกันแสง
อยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
พระนางตอบว่า พระอานนท์เจ้าข้า
เพราะพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ฯ
พระอานนท์กล่าวว่า ดูกรโคตมี
ถ้าเช่นนั้น
พระนางจงรออยู่ที่นี่แหละ
สักครู่หนึ่งจนกว่าอาตมาจะทูลขอพระผู้มีพระภาคให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ฯ
[๕๑๕] ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระนางมหาปชาบดีโคตมีนั้น
มีพระบาททั้งสองพอง
มีพระวรกายเกลือกกลั้วด้วยธุลี
มีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร
ประทับยืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มพระทวารภายนอก
ด้วยน้อยพระทัยว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ขอประทานวโรกาส
ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลย อานนท์
เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่สอง
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานวโรกาส
ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลย อานนท์
เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่สาม
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานวโรกาส
ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลย อานนท์
เธออย่าชอบใจการที่สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์คิดว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ไฉนหนอ
เราพึงทูลขอพระผู้มีพระภาคให้สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
โดยปริยายสักอย่างหนึ่ง
จึงทูลถามว่า พระพุทธเจ้าข้า
สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ควรหรือไม่เพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล
สกิทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตตผล
พ. ดูกรอานนท์ สตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่ตถาคตประกาศแล้ว
ควรเพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล
สกิทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตตผล
อ. พระพุทธเจ้าข้า
ถ้าสตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ควรเพื่อทำให้แจ้งแม้ซึ่งโสดาปัตติผล
สกิทาคามิผล อนาคามิผล
อรหัตผลได้ พระพุทธเจ้าข้า
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาค
ทรงมีอุปการะมาก
ทรงประคับประคอง เลี้ยงดู
ทรงถวายขีรธารา
เมื่อพระชนนีสวรรคต
ได้ให้พระผู้มีพระภาคเสวยขีรธารา
ขอประทานวโรกาส
ขอสตรีพึงได้การออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
พระพุทธเจ้าข้าฯ
ครุธรรม ๘ ประการ
[๕๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรอานนท์
ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมียอมรับครุธรรม
๘ ประการ ข้อนั้นแหละ
จงเป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ:-
๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี
ต้องกราบไหว้ ลุกรับ
ทำอัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๒.
ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ
คือ
ถามวันอุโบสถ ๑
เข้าไปฟังคำสั่งสอน ๑
จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว
ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย
โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น
โดยได้ยิน หรือโดยรังเกียจ
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว
ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒
ฝ่าย ธรรมแม้นี้
ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๖.
ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์
๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา
อันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการครบ ๒
ปีแล้ว ธรรมแม้นี้
ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษภิกษุ
โดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ
เปิดทางให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
ดูกรอานนท์
ก็ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี
ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้
ข้อนั้นแหละจงเป็นอุปสัมปทาของพระนางฯ
[๕๑๗] ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘
ประการ
ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว
เข้าไปหาพระนางมหาปชาบดีโคตมี
ชี้แจงว่า พระนางโคตมี
ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘ ประการ
ข้อนั้นแหละจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง
คือ:-
๑. ภิกษุณีอุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี
ต้องกราบไหว้ ลุกรับ
ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม
แก่ภิกษุที่อุปสมบทในวันนั้น
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๒.
ภิกษุณีไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๓. ภิกษุณีต้องหวังธรรม ๒ ประการ
คือ
ถามวันอุโบสถ ๑
เข้าไปฟังคำสั่งสอน ๑
จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว
ต้องปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
โดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น
โดยได้ยิน
หรือโดยรังเกียจธรรมแม้นี้
ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๕. ภิกษุณีต้องธรรมที่หนักแล้ว
ต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒
ฝ่าย ธรรมแม้นี้
ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๖.
ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์
๒ ฝ่าย เพื่อสิกขมานาผู้มีสิกขา
อันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการ ครบ
๒ ปีแล้ว ธรรมแม้นี้
ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่า บริภาษ
ภิกษุโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
๘. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ปิดทางไม่ให้ภิกษุณีทั้งหลายสอนภิกษุ
เปิดทางให้ภิกษุทั้งหลายสอนภิกษุณี
ธรรมแม้นี้ ภิกษุณีต้องสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
พระนางโคตมี
ถ้าพระนางยอมรับครุธรรม ๘
ประการนี้ ข้อนั้นแหละ
จักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง
พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านพระอานนท์
ดิฉันยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้
ไม่ละเมิดตลอดชีวิต
เปรียบเหมือนหญิงสาว
หรือชายหนุ่มที่ชอบแต่งกาย
อาบน้ำสระเกล้าแล้ว ได้พวงอุบล
พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว
พึงประคองรับด้วยมือทั้งสอง
ตั้งไว้เหนือเศียรเกล้าฉะนั้นฯ
พรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่นาน
[๕๑๘] ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ยอมรับครุธรรม ๘ ประการแล้ว
พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาคอุปสมบทแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์
ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
พรหมจรรย์จักตั้งอยู่ได้นาน
สัทธรรมจะพึงตั้งอยู่ได้ตลอดพันปี
ก็เพราะสตรีออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้
พรหมจรรย์จักไม่ตั้งอยู่ได้นาน
สัทธรรมจักตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐
ปีเท่านั้น ดูกรอานนท์
สตรีได้ออกจากเรือน
บวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด
ธรรมวินัยนั้นเป็นพรหมจรรย์ไม่ตั้งอยู่ได้นาน
เปรียบเหมือนตระกูลเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีหญิงมาก
มีชายน้อย
ตระกูลเหล่านั้นถูกพวก
โจรผู้ลักทรัพย์กำจัดได้ง่าย
อีกประการหนึ่ง
เปรียบเหมือนหนอนขยอกที่ลงในนาข้าวสาลีที่สมบูรณ์
นาข้าวสาลีนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน
อีกประการหนึ่ง
เปรียบเหมือนเพลี้ยที่ลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์
ไร่อ้อยนั้นไม่ตั้งอยู่ได้นาน
ดูกรอานนท์
บุรุษกั้นทำนบแห่งสระใหญ่ไว้ก่อน
เพื่อไม่ให้น้ำไหลไป แม้ฉันใด
เราบัญญัติครุธรรม ๘
ประการแก่ภิกษุณี
เพื่อไม่ให้ภิกษุณีละเมิดตลอดชีวิต
ฉันนั้นเหมือนกันฯ
ครุธรรม ๘ ประการของภิกษุณีจบ
พุทธานุญาตให้อุปสมบทภิกษุณี
[๕๑๙] ครั้งนั้น
พระมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม ได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
หม่อมฉันจะปฏิบัติในนางสากิยานีพวกนี้อย่างไร
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระนางมหาปชาบดีโคตมีเห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว
ทีนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมี
ผู้อันพระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมีกถาแล้ว
จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณกลับไป
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุณี
ฯ
[๕๒๐]
ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้กล่าวกะพระมหาปชาบดีโคตมีว่า
พระแม่เจ้ายังไม่ได้อุปสมบท
แต่พวกดิฉันอุปสมบทแล้ว
เพราะพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายพึงให้อุปสมบทภิกษุณี
ลำดับนั้น
พระมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปหาท่านพระอานนท์
อภิวาทแล้วได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกล่าวว่า ท่านพระอานนท์
ภิกษุณีเหล่านั้นพูดกะดิฉันอย่างนี้ว่า
พระแม่เจ้ายังไม่ได้อุปสมบท
แต่พวกดิฉันอุปสมบทแล้ว
เพราะพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายพึงให้อุปสมบทภิกษุณี
ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระมหาปชาบดีโคตมีกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านพระอานนท์
ภิกษุณีพวกนี้พูดกะดิฉันอย่างนี้ว่า
พระแม่เจ้ายังไม่ได้อุปสมบท
แต่พวกดิฉันอุปสมบทแล้ว
เพราะพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้อย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายพึงให้อุปสมบทภิกษุณี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์
พระมหาปชาบดีโคตมีรับครุธรรม ๘
ประการ แล้วในกาลใด
พระนางชื่อว่าอุปสมบทแล้วในกาลนั้นทีเดียวฯ
ทูลขอพร
[๕๒๑] ครั้งนั้น
พระมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปหาท่านพระอานนท์
อภิวาท ได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกล่าวว่า ท่านพระอานนท์
ดิฉันจะทูลขอพรอย่างหนึ่งกะพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้า
ขอพระพระผู้มีพระภาค
พึงทรงอนุญาตการกราบไหว้
การลุกรับ การทำอัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่ภิกษุและภิกษุณีตามลำดับผู้แก่
ครั้งนั้น
ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระมหาปชาบดีโคตมีกล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านพระอานนท์
ดิฉันจะขอพรอย่างหนึ่งกะพระผู้มีพระภาคว่า
ขอประทานพระวโรกาส
พระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการกราบไหว้
การลุกรับ การทำอัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่ภิกษุและภิกษุณีตามลำดับผู้แก่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์
ข้อที่ตถาคตจะอนุญาตการกราบไหว้
การลุกรับ การทำอัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่มาตุคามนั้น
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
เพราะพวกอัญญเดียรถีย์ที่มีธรรมอันกล่าวไม่ดีแล้วเหล่านี้
ยังไม่กระทำการกราบไหว้
การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม
แก่มาตุคาม ก็ไฉนเล่า
ตถาคตจักอนุญาตการกราบไหว้
การลุกรับ อัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่มาตุคาม ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น
ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงทำการกราบไหว้
การลุกรับ อัญชลีกรรม
สามีจิกรรมแก่มาตุคาม รูปใดทำ
ต้องอาบัติทุกกฏฯ
ทูลถามถึงสิกขาบท
[๕๒๒] ครั้งนั้น
พระมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม ได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
สิกขาบทของภิกษุณีเหล่านั้นใด
ที่ทั่วถึงภิกษุ
พวกหม่อมฉันจะปฏิบัติในสิกขาบทเหล่านั้นอย่างไร
พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโคตมี
สิกขาบทของภิกษุณีเหล่านั้นใด
ที่ทั่วถึงภิกษุ
พวกเธอจงศึกษาในสิกขาบทเหล่านั้น
ดุจภิกษุทั้งหลายศึกษาอยู่
ฉะนั้น
ม. พระพุทธเจ้าข้า
ก็สิกขาบทของภิกษุณีเหล่านั้นใด
ที่ไม่ทั่วถึงภิกษุ
พวกหม่อมฉันจะปฏิบัติในสิกขาบทเหล่านั้นอย่างไร
พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรโคตมี
สิกขาบทของภิกษุณีเหล่านั้นใด
ที่ไม่ทั่วถึงภิกษุ
พวกเธอจงศึกษาในสิกขาบทเหล่านั้นตามที่เราบัญญัติไว้แล้ว
ฯ
ลักษณะวินิจฉัยพระธรรมวินัย
[๕๒๓] ครั้งนั้น
พระมหาปชาบดีโคตมี
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม ได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า
ขอประทานพระวโรกาส
พระพุทธเจ้าข้า
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดยย่อ
ที่หม่อมฉันฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว
เป็นผู้เดียวจะพึงหลีกออก
ไม่ประมาท มีความเพียร
มีตนส่งไปอยู่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโคตมี
เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า
ธรรมเหล่านี้
เป็นไปเพื่อความกำหนัด
ไม่ใช่เพื่อคลายความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความประกอบ
ไม่ใช่เพื่อความพราก
เป็นไปเพื่อความสะสม
ไม่ใช่เพื่อความไม่สะสม
เป็นไปเพื่อความมักมาก
ไม่ใช่เพื่อความมักน้อย
เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ
ไม่ใช่เพื่อความสันโดษ
เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
ไม่ใช่เพื่อความสงัด
เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
ไม่ใช่เพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก
ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงง่าย
ดูกรโคตมี
เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย
นั่นไม่ใช่สัตถุศาสน์
ดูกรโคตมี อนึ่ง
เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดว่า
ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด
เป็นไปเพื่อความพราก
ไม่ใช่เพื่อความประกอบ
เป็นไปเพื่อความไม่สะสม
ไม่ใช่เพื่อความสะสม
เป็นไปเพื่อความมักน้อย
ไม่ใช่เพื่อความมักมาก
เป็นไปเพื่อความสันโดษ
ไม่ใช่เพื่อความไม่สันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัด
ไม่ใช่เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
ไม่ใช่เพื่อความเกียจคร้าน
เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
ไม่ใช่เพื่อความเลี้ยงยาก
ดูกรโคตมี
เธอพึงทรงจำธรรมเหล่านั้นไว้โดยส่วนเดียวว่า
นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย
นั่นเป็นสัตถุศาสน์ ฯ