พระสารีบุตร
1) พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะบรรพชา
พระอัสสชิเถระ
เล่มที่ ๔
[๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล สญชัยปริพาชกอาศัยอยู่ในพระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยปริพาชกบริษัทหมู่ใหญ่จำนวน
๒๕๐ คน.
ก็ครั้งนั้น พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสญชัยปริพาชก.
ท่านทั้งสองได้ทำกติกากันไว้ว่า ผู้ใดบรรลุอมตธรรมก่อน
ผู้นั้นจงบอกแก่อีกคนหนึ่ง.
ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระอัสสชินุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครราชคฤห์
มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง
ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ.
สารีบุตรปาริพาชกได้เห็นท่านพระอัสสชิ กำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์
มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง
ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ครั้นแล้วได้มีความดำริว่า
บรรดาพระอรหันต์ หรือท่านผู้ได้บรรลุพระอรหัตมรรคในโลก
ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่
ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน
หรือท่านชอบใจธรรมของใคร? แล้วได้ดำริต่อไปว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้
เพราะท่านกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต
ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลัง ๆ
เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ.
ครั้งนั้น ท่านพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ ถือบิณฑบาตกลับไป.
จึงสารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาท่านพระอัสสชิ
ถึงแล้วได้พูดปราศรัยกับท่านพระอัสสชิ
ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
สารีบุตรปริพาชกยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอัสสชิว่า
อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
อ. มีอยู่ท่าน พระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล
เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา
และเราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น.
สา. ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
อ. เราเป็นคนใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้
ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ.
สา. น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว
ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
[๖๕] ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิ ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แก่สารีบุตรปริพาชก ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติ ทรงสั่งสอนอย่างนี้.
สารีบุตรปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
[๖๖] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา
ได้เกิดขึ้นแก่สารีบุตรปริพาชก
ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น
ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้
บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็นล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
สารีบุตรปริพาชกเปลื้องคำปฏิญญา
[๖๗] เวลาต่อมา สารีบุตรปริพาชกเข้าไปหาโมคคัลลานปริพาชก.
โมคคัลลานปริพาชกได้เห็นสารีบุตรปริพาชกเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วได้ถามสารีบุตรปริพาชกว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์ ของท่านผ่องใส
ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ท่านได้บรรลุอมตธรรมแล้วกระมังหนอ?
สา. ถูกละ ผู้มีอายุ เราได้บรรลุอมตธรรมแล้ว.
โมค. ท่านบรรลุอมตธรรมได้อย่างไร ด้วยวิธีไร?
สา. ผู้มีอายุ วันนี้เราได้เห็นพระอัสสชิกำลังเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์
มีมรรยาทก้าวไป ถอยกลับ แลเหลียว เหยียดแขน คู้แขน น่าเลื่อมใส มีนัยน์ตาทอดลง
ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ
ครั้นแล้วเราได้มีความดำริว่า บรรดาพระอรหันต์หรือท่านผู้ได้บรรลุอรหัตมรรคในโลก
ภิกษุรูปนี้คงเป็นผู้ใดผู้หนึ่งแน่
ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาภิกษุรูปนี้ แล้วถามว่า ท่าน บวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน
หรือท่านชอบใจธรรมของใคร
เรานั้นได้ยั้งคิดว่า ยังเป็นกาลไม่สมควรจะถามภิกษุรูปนี้ เพราะท่านยังกำลังเข้าละแวกบ้านเที่ยวบิณฑบาต
ผิฉะนั้น เราพึงติดตามภิกษุรูปนี้ไปข้างหลัง ๆ เพราะเป็นทางอันผู้มุ่งประโยชน์ทั้งหลายจะต้องสนใจ
ลำดับนั้น พระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์
ถือบิณฑบาตกลับไปแล้ว ต่อมา เราได้เข้าไปหาพระอัสสชิ
ครั้นถึงแล้ว ได้พูดปราศรัยกับพระอัสสชิ ครั้นผ่านการพูดปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง
เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว
ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เรายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้กล่าวคำนี้ต่อพระอัสสชิว่า อินทรีย์ของท่านผ่องใส ผิวพรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ท่านบวชเฉพาะใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน หรือท่านชอบใจธรรมของใคร ขอรับ?
พระอัสสชิตอบว่า มีอยู่ ท่านพระมหาสมณะศากยบุตรเสด็จออกทรงผนวชจากศากยตระกูล
เราบวชเฉพาะพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า
ก็พระศาสดาของชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เราได้ถามพระอัสสชิต่อไปว่า ก็พระศาสดาของท่านสอนอย่างไร แนะนำอย่างไร?
พระอัสสชิตอบว่า เราเป็นคนใหม่บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่พระธรรมวินัยนี้ ไม่อาจแสดงธรรมแก่ท่านได้กว้างขวาง
แต่จักกล่าวใจความแก่ท่านโดยย่อ
เราได้เรียนว่า น้อยหรือมาก นิมนต์กล่าวเถิด ท่านจงกล่าวแต่ใจความแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าต้องการใจความอย่างเดียว ท่านจักทำพยัญชนะให้มากทำไม.
[๖๘] ผู้มีอายุ ครั้งนั้น พระอัสสชิได้กล่าวธรรมปริยายนี้ ว่าดังนี้:-
ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้.
โมคคัลลานปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรม
[๖๙] ครั้นได้ฟังธรรมปริยายนี้ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ได้เกิดขึ้นแก่โมคคัลลานปริพาชก ธรรมนี้แหละถ้ามีก็เพียงนี้เท่านั้น
ท่านทั้งหลายจงแทงตลอดบทอันหาความโศกมิได้
บทอันหาความโศกมิได้นี้ พวกเรายังไม่เห็นล่วงเลยมาแล้วหลายหมื่นกัลป์.
สองสหายอำลาอาจารย์
[๗๐] ครั้งนั้น โมคคัลลานปริพาชกได้กล่าวชักชวนสารีบุตรปริพาชกว่า
ผู้มีอายุ เราพากันไปสำนักพระผู้มีพระภาคเถิด
เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
สารีบุตรปริพาชกกล่าวว่า ผู้มีอายุ ปริพาชก ๒๕๐ คนนี้อาศัยเรา
เห็นแก่เรา จึงอยู่ในสำนักนี้ เราจงบอกกล่าวพวกนั้นก่อน
พวกนั้นจักทำตามที่เข้าใจ.
ลำดับนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพากันเข้าไปหาปริพาชกเหล่านั้น
ครั้นถึงแล้วได้กล่าว คำนี้ต่อพวกปริพาชกนั้นว่า ท่านทั้งหลาย
เราจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค
เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของเรา.
พวกปริพาชกตอบว่า พวกข้าพเจ้าอาศัยท่าน เห็นแก่ท่านจึงอยู่ในสำนักนี้
ถ้าท่านจักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ
พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะด้วย.
ต่อมา สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปหาท่านสญชัยปริพาชก
ครั้นถึงแล้วได้เรียนว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม
สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย
เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
แม้ครั้งที่ ๒ ...
แม้ครั้งที่สาม สารีบุตรโมคคัลลานะได้กล่าวคำนี้ต่อสญชัยปริพาชกว่า
ท่านขอรับ พวกกระผมจะไปในสำนักพระผู้มีพระภาค
เพราะพระผู้มีพระภาคนั้นเป็นพระศาสดาของพวกกระผม.
สญชัยปริพาชกพูดห้ามว่า อย่าเลย ท่านทั้งหลาย อย่าไปเลย
เราทั้งหมด ๓ คน จักช่วยกันบริหารคณะนี้.
ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะพาปริพาชก ๒๕๐ คนนั้น
มุ่งไปทางที่จะไปพระวิหารเวฬุวัน. ก็โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากสญชัยปริพาชกในที่นั้นเอง.
ทรงพยากรณ์พระอัครสาวก
[๗๑] พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นสารีบุตรโมคคัลลานะ มาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนนั้น คือโกลิตะ และอุปติสสะ กำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา
จักเป็นคู่อันเจริญชั้นเยี่ยมของเรา ก็สหายสองคนนั้นพ้นวิเศษแล้ว
ในธรรมอันเป็นที่สิ้นอุปธิ อันยอดเยี่ยม มีญาณวิสัยอันลึกซึ้ง ยังมาไม่ทันถึงพระวิหารเวฬุวัน
พระศาสดาทรงพยากรณ์ ว่าดังนี้
สหายสองคนนี้คือ โกลิตะและอุปติสสะกำลังมานั่น จักเป็นคู่สาวกของเรา จักเป็นคู่อันเจริญชั้นเยี่ยมของเรา.
เข้าเฝ้าทูลขอบรรพชาอุปสมบท
[๗๒] ครั้งนั้น สารีบุตรโมคคัลลานะได้พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นถึงแล้ว ได้ซบเศียรลงที่พระบาทของผู้มีพระภาค
แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคว่า
ขอพวกข้าพระพุทธเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า
ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
เสียงติเตียน
[๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียง ๆ พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค.
ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร
พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้หญิงเป็นหม้าย
พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อตัดสกุล
บัดนี้ พระสมณโคดมให้ชฎิลพันรูปบวชแล้ว
และให้ปริพาชกศิษย์ของท่านสญชัย ๒๕๐ คนนี้บวชแล้ว
และกุลบุตรชาวมคธที่มีชื่อเสียง ๆ
พากันประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม.
อนึ่ง ประชาชนได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้วได้โจทย์ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัยทั้งปวงไปแล้ว
บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
[๗๔] ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงนั้นจักอยู่ไม่ได้นาน
จักอยู่ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็จักหายไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าชนเหล่าใดกล่าวหาต่อพวกเธอ ด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:-
พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของชาวมคธแล้ว ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัย ทั้งปวงไปแล้ว
บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า.
[๗๕] พวกเธอจงกล่าวโต้ตอบต่อชนเหล่านั้นด้วยคาถานี้ ว่าดังนี้:- พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก
ย่อมทรงนำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม
เมื่อชนทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม
ผู้เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้เห็นภิกษุทั้งหลายแล้ว ย่อมกล่าวหาด้วยคาถานี้
ว่าดังนี้:- พระมหาสมณะเสด็จมาสู่พระนครคอกเขาของชาวมคธแล้ว
ได้ทรงนำปริพาชกพวกสญชัยทั้งปวงไปแล้ว บัดนี้ จักทรงนำใครไปอีกเล่า. ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวโต้ตอบต่อประชาชนพวกนั้นด้วยคาถานี้
ว่าดังนี้:- พระตถาคตทั้งหลายผู้แกล้วกล้ามาก
ย่อมทรงนำชนทั้งหลายไปด้วยพระสัทธรรม
เมื่อชนทั้งหลายอันพระองค์ทรงนำไปอยู่โดยธรรม
ผู้เข้าใจอย่างนี้จะริษยาทำไม.
[๗๖] ประชาชนกล่าวอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทรงนำชนทั้งหลายไปโดยธรรม
ไม่ทรงนำไปโดยอธรรม.
เสียงนั้นได้มีเพียง ๗ วันเท่านั้น พ้น ๗ วันก็หายไป.
พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะบรรพชาจบ.