สังฆเภท
สังฆเภทขันธกะ
เรื่องมหานามศากยะและอนุรุทธศากยะ
เล่มที่ ๗
[๓๓๗] โดยสมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่อนุปิยนิคมของพวกเจ้ามัลละ
ครั้งนั้น
พวกศากยกุมารที่มีชื่อเสียงออกผนวชตามพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงผนวชแล้ว ฯ
[๓๓๘] สมัยนั้น
มหานามศากยะและอนุรุทธศากยะทั้ง
๒ เป็นพี่น้องกัน อนุรุทธศากยะ
เป็นสุขุมาลชาติ
เธอมีประสาท ๓ หลัง คือ
สำหรับอยู่ในฤดูหนาวหลัง ๑
สำหรับอยู่ในฤดูร้อนหลัง ๑
สำหรับอยู่ในฤดูฝนหลัง ๑
เธออันเหล่าสตรีไม่มีบุรุษเจือปนบำเรออยู่ด้วยดนตรีตลอด
๔ เดือน ในปราสาทสำหรับฤดูฝน
ไม่ลงมาภายใต้ปราสาทเลย
ครั้งนั้น มหานามศากยะคิดว่า
บัดนี้พวกศากยกุมารที่มีชื่อเสียงต่างออกผนวชตามพระผู้มีพระภาค
ผู้ทรงผนวชแล้ว
แต่สกุลของเราไม่มีใครออกบวชเลย
ถ้ากระไร เราหรืออนุรุทธะพึงบวช
จึงเข้าไปหาอนุรุทธศากยะกล่าวว่า
พ่ออนุรุทธะ บัดนี้
พวกศากยะกุมารที่มีชื่อเสียงต่างออกผนวช
ตามพระผู้มีพระภาคผู้ทรงผนวชแล้ว
แต่สกุลของเราไม่มีใครออกบวชเลย
ถ้าเช่นนั้น
น้องจงบวชหรือพี่จักบวช
อ. ฉันเป็นสุขุมาลชาติ
ไม่สามารถจะออกบวชได้
พี่จงบวชเถิด
ม. พ่ออนุรุทธะ น้องจงมา
พี่จะพร่ำสอนเรื่องการครองเรือนแก่น้อง
ผู้อยู่ครองเรือนชั้นต้นต้องให้ไถนา
ครั้นแล้วให้หว่าน ให้ไขน้ำเข้า
ครั้นไข น้ำเข้ามากเกินไป
ต้องให้ระบายน้ำออก
ครั้นให้ระบายน้ำออกแล้ว
ต้องให้ถอนหญ้า
ครั้นแล้วต้องให้เกี่ยว ให้ขน
ให้ตั้งลอม ให้นวด ให้สงฟางออก
ให้ฝัดข้าวลีบออก ให้โปรยละออง
ให้ขนขึ้นฉาง
ครั้นถึงฤดูฝนต้องทำอย่างนี้ ๆ
แหละต่อไปอีก
อ. การงานไม่หมดสิ้น
ที่สุดของการงานไม่ปรากฏ
เมื่อไรการงานจักหมดสิ้น
เมื่อไรที่สุดของการงานจักปรากฏ
เมื่อไรเราจักขวนขวายน้อย
เพียบพร้อมบำเรอด้วยเบญจกามคุณ
ม. พ่ออนุรุทธะ
การงานไม่หมดสิ้นแน่
ที่สุดของการงานก็ไม่ปรากฏ
เมื่อการงานยังไม่สิ้น มารดา
บิดา ปู่ ย่า ตา ยาย
ก็ได้ตายไปแล้ว
อ. ถ้าเช่นนั้น
พี่จงเข้าใจเรื่องการอยู่ครองเรือนเองเถิด
ฉันจักออกบวชละ ฯ
[๓๓๙] ครั้งนั้น
อนุรุทธศากยะเข้าไปหามารดา
แล้วกล่าวว่า ท่านแม่
หม่อมฉันปราถนาจะออกบวช
ขอท่านแม่จงอนุญาตให้หม่อมฉันออกบวชเถิด
เมื่ออนุรุทธศากยะกล่าวอย่างนี้แล้ว
มารดาได้กล่าวว่า พ่ออนุรุทธะ
เจ้าทั้งสองเป็นลูกที่รักที่พึงใจ
ไม่เป็นที่เกลียดชังของแม่
แม้ด้วยการตายของเจ้าทั้งหลาย
แม่ก็ไม่ปราถนาจะจาก
ไฉนแม่จะยอมอนุญาตให้เจ้าทั้งสองผู้ยังมีชีวิตออกบวชเล่า
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม
อนุรุทธศากยะได้กล่าวกะมารดาว่า
ท่านแม่ หม่อมฉันปราถนาจะออกบวช
ขอท่านแม่จงอนุญาตให้หม่อมฉันออกบวชเถิด
ฯ
เรื่องพระเจ้าภัททิยศากยะ
[๓๔๐] สมัยนั้น
พระเจ้าภัททิยศากยะได้ครองสมบัติเป็นราชาของพวกศากยะ
และพระองค์เป็นพระสหายของอนุรุทธศากยะ
ครั้งนั้น
มารดาของอนุรุทธศากยะคิดว่า
พระเจ้าภัททิยศากยะนี้ครองสมบัติเป็นราชาของพวกศากยะ
เป็นพระสหายของอนุรุทธศากยะ
พระองค์จักไม่อาจทรงผนวช
จึงได้กล่าวกะอนุรุทธศากยะว่า
พ่ออนุรุทธะ
ถ้าพระเจ้าภัททิยศากยะทรงผนวช
เมื่อเป็นเช่นนี้
เจ้าก็ออกบวชเถิด
ลำดับนั้น
อนุรุทธศากยะเข้าไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยศากยะ
แล้วได้ทูลว่า สหาย
บรรพชาของเราเนื่องด้วยท่าน
ภ. สหาย ถ้าเช่นนั้น
บรรพชาของท่านจะเนื่องด้วยเราหรือไม่เนื่องก็ตาม
นั่นช่างเถอะ
ท่านจงบวชตามสบายของท่านเถิด
อ. มาเถิดสหาย
เราทั้งสองจักออกบวชด้วยกัน
ภ. สหาย เราไม่สามารถจักออกบวช
สิ่งอื่นใดที่เราสามารถจะทำให้ท่านได้
เราจักทำสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
ท่านจงบวชเองเถิด
อ. สหาย
มารดาได้พูดกะเราอย่างนี้ว่า
พ่ออนุรุทธ
ถ้าพระเจ้าภัททิยศากยะทรงผนวช
เมื่อเป็นเช่นนี้
เจ้าก็ออกบวชเถิดสหาย
ก็ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ว่า
สหาย
ถ้าบรรพชาของท่านจะเนื่องด้วยเราหรือไม่เนื่องก็ตาม
นั้นช่างเถอะ
ท่านจงบวชตามความสบายของท่าน
มาเถิดสหาย
เราทั้งสองจะออกบวชด้วยกัน
ก็สมัยนั้น
คนทั้งหลายเป็นผู้พูดจริง
ปฏิญาณจริง
จึงพระเจ้าภัททิยศากยะได้ตรัสกะอนุรุทธะว่า
จงรออยู่สัก ๗ ปีเถิดสหาย ต่อล่วง
๗ ปีแล้ว
เราทั้งสองจึงจักออกบวชด้วยกัน
อ. ๗ ปีนานนักสหาย
เราไม่สามารถจะรอได้ถึง ๗ ปี
ภ. จงรออยู่สัก ๖ ปีเถิดสหาย ...
จงรออยู่สัก ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี
ต่อล่วง ๑ ปีแล้ว
เราทั้งสองจึงจักออกบวชด้วยกัน
อ. ๑ ปีก็ยังนานนักสหาย
เราไม่สามารถจะรอได้ถึง ๑ ปี
ภ. จงรออยู่สัก ๗ เดือนเถิดสหาย
ต่อล่วง ๗ เดือนแล้ว
เราทั้งสองจักออกบวชด้วยกัน
อ. ๗ เดือนก็ยังนานนักสหาย
เราไม่สามารถจะรอได้ถึง ๗ เดือน
ภ. จงรออยู่สัก ๖ เดือนเถิด สหาย ...
จงรออยู่สัก ๕ เดือน ๔ เดือน ๓
เดือน ๒ เดือน ๑ เดือน กึ่งเดือน
ต่อล่วงกึ่งเดือนแล้ว
เราทั้งสองจักออกบวชด้วยกัน
อ. กึ่งเดือนก็ยังนานนัก สหาย
เราไม่สามารถจะรอได้ถึงกึ่งเดือน
ภ. จงรออยู่สัก ๗ วันเถิด สหาย
พอเราได้มอบหมายราชสมบัติแก่
พวกลูก ๆ และพี่น้อง
อ. ๗ วันไม่นานนักดอก สหาย
เราจักรอ ฯ
เรื่องคน ๗ คน
[๓๔๑] ครั้งนั้น
พระเจ้าภัททิยศากยะ อนุรุทธะ
อานนท์ ภัคคุ กิมพิละ และเทวทัต
เป็น ๗
ทั้งอุบาลีซึ่งเป็นภูษามาลา
เสด็จออกโดยเสนา ๔ เหล่า
เหมือนเสด็จประภาสราชอุทยานโดยเสนา
๔ เหล่าในกาลก่อน ฉะนั้น
กษัตริย์ทั้ง ๖
องค์เสด็จไปไกลแล้วสั่งเสนาให้กลับ
แล้วย่างเข้าพรมแดน
ทรงเปลื้องเครื่องประดับ
เอาภูษาห่อแล้ว
ได้กล่าวกะอุบาลีผู้เป็นภูษามาลาว่า
เชิญพนาย อุบาลี กลับเถิด
ทรัพย์เท่านี้พอเลี้ยงชีพท่านได้ละ
ฯ
[๓๔๒] ครั้งนั้น
อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาเมื่อจะกลับคิดว่า
เจ้าศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก
จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า
อุบาลีนี้ให้พระกุมารทั้งหลายออกบวช
ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้
ไฉนเราจักบวชไม่ได้เล่า
เขาแก้ห่อเครื่องประดับเอาเครื่องประดับนั้นแขวนไว้บนต้นไม้
แล้วพูดว่า ของนี้เราให้แล้วแล
ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำไปเถิด
แล้วเข้าไปเฝ้าศากยกุมารเหล่านั้น
ศากยกุมารเหล่านั้น
ทอดพระเนตรเห็นอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา
กำลังเดินมาแต่ไกล
ครั้นแล้วจึงรับสั่งถามว่า พนาย
อุบาลีกลับมาทำไม
อ. พระพุทธเจ้าข้า
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าจะกลับมา ณ
ที่นี้ คิดว่า
เจ้าศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก
จะพึงให้ฆ่าเราเสียด้วยเข้าพระทัยว่า
อุบาลีนี้ให้พระกุมารทั้งหลายออกบวช
ก็ศากยกุมารเหล่านี้ยังทรงผนวชได้
ไฉนเราจักบวชไม่ได้เล่า
ข้าพระพุทธเจ้านั้นแก้ห่อเครื่องประดับแล้ว
เอาเครื่องประดับนั้นแขวนไว้บนต้นไม้
แล้วพูดว่า ของนี้เราให้แล้วแล
ผู้ใดเห็น ผู้นั้นจงนำไปเถิด
แล้วจึงกลับมาจากที่นั้น
พระพุทธเจ้าข้า
ศ. พนาย อุบาลี
ท่านได้ทำถูกต้องแล้ว
เพราะท่านกลับไป
เจ้าศากยะทั้งหลายเหี้ยมโหดนัก
จะพึงให้ฆ่าท่านเสียด้วยเข้าพระทัยว่า
อุบาลีนี้ให้พระกุมารทั้งหลายออกบวช
ฯ
[๓๔๓] ลำดับนั้น
ศากยกุมารเหล่านั้นพาอุบาลีผู้เป็นภูษามาลา
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ครั้นแล้วถวายบังคมประทับนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะยังมีมานะ
อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้เป็นผู้รับใช้ของหม่อมฉันมานาน
ขอพระผู้มีพระภาคจงให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้บวชก่อนเถิด
พวกหม่อมฉันจักทำการอภิวาท
การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม
แก่อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้
เมื่อเป็นอย่างนี้
ความถือตัวว่าเป็นศากยะของพวกหม่อมฉัน
ผู้เป็นศากยะจักเสื่อมคลายลง
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคโปรดให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาบวชก่อน
ให้ศากยกุมารเหล่านั้นผนวชต่อภายหลังฯ
[๓๔๔] ครั้นต่อมา
ในระหว่างพรรษานั้นเอง
ท่านพระภัททิยะได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา
๓
ท่านพระอนุรุทธะได้ยังทิพยจักษุให้เกิด
ท่านพระอานนท์ได้ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
พระเทวทัตได้สำเร็จฤทธิ์ชั้นปุถุชน
ฯ
เรื่องพระภัททิยะ
[๓๔๕] ครั้งนั้น
ท่านพระภัททิยะไปสู่ป่าก็ดี
ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
ย่อมเปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ ครั้งนั้น
ภิกษุมากรูปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า
ท่านพระภัททิยะไปสู่ป่าก็ดี
ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ พระพุทธเจ้าข้า
ท่านพระภัททิยะฝืนใจประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย
หรือมิฉะนั้นก็ระลึกถึงสุขในราชสมบัติครั้งก่อนนั้นเอง
ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า
ดูกรภิกษุเธอจงมา
จงเรียกภัททิยะภิกษุมาตามคำของเราว่า
ท่านภัททิยะ
พระศาสดารับสั่งหาท่าน
ภิกษุนั้นรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว
เข้าไปหาท่านพระภัททิยะ
ครั้นแล้วได้กล่าวว่า
ท่านภัททิยะ
พระศาสดารับสั่งหาท่าน ฯ
[๓๔๖]
ท่านพระภัททิยะรับคำของภิกษุนั้น
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อท่านพระภัททิยะนั่งเรียบร้อยแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภัททิยะ
ข่าวว่าเธอไปสู่ป่าก็ดี
ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
ได้เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ จริงหรือ
ภ. จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูกรภัททิยะ
ก็เธอพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์อะไร
ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
จึงได้เปล่งอุทานเนืองๆ ว่า
สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้
ภ. พระพุทธเจ้าข้า
เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แม้ภายในพระราชวังก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างเรียบร้อย
แม้ภายนอกพระราชวังก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างเข้มแข็ง
แม้ภายในพระนครก็ได้จัดการรักษาไว้เรียบร้อย
แม้ภายนอกพระนครก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างแข็งแรง
แม้ภายในชนบทก็ได้จัดการรักษาไว้เรียบร้อย
แม้ภายนอกชนบทก็ได้จัดการรักษาไว้อย่างมั่นคง
พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้านั้น
แม้เป็นผู้อันเขาทั้งหลายรักษาคุ้มครองแล้ว
อย่างนี้ก็ยังกลัว ยังหวั่น
ยังหวาด ยังสะดุ้งอยู่ แต่บัดนี้
ข้าพระพุทธเจ้าไปสู่ป่าก็ดี
ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี
ลำพังผู้เดียวก็ไม่กลัว
ไม่หวั่น ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง
ขวนขวายน้อย มีขนอันราบเรียบ
เป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔
ที่ผู้อื่นให้ มีใจดุจมฤคอยู่
ข้าพระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นอำนาจประโยชน์นี้แล
ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี
ไปสู่เรือนว่างก็ดี ...
จึงเปล่งอุทานเนืองๆ ว่า สุขหนอ
สุขหนอ ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว
ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
อุทานคาถา
[๓๔๗]
บุคคลใดไม่มีความโกรธภายในจิต
และก้าวล่วงภพน้อยภพใหญ่มีประการเป็นอันมากเสียได้
เทวดาทั้งหลายไม่อาจเล็งเห็นวาระจิตของบุคคลนั้น
ผู้ปลอดภัย มีสุข ไม่มีโศก ฯ
[๓๔๘]
ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในอนุปิยนิคมตามพุทธาภิรมย์
แล้วเสด็จจาริกทางเมืองโกสัมพี
เสด็จจาริกโดยลำดับถึงเมืองโกสัมพีแล้ว
ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่โฆสิตาราม
เขตเมืองโกสัมพีนั้น ฯ
เรื่องพระเทวทัต
[๓๔๙] ครั้งนั้น
พระเทวทัตหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด
เกิดความปริวิตกแห่งจิตอย่างนี้ว่า
เราจะพึงยังใครหนอให้เลื่อมใส
เมื่อผู้ใดเลื่อมใสต่อเราแล้ว
ลาภสักการะเป็นอันมากจะพึงเกิดขึ้น
ลำดับนั้น
พระเทวทัตได้คิดต่อไปว่า
อชาตสัตตุกุมารนี้แลยังหนุ่ม
ยังเจริญต่อไป
ไฉนเราพึงยังอชาตสัตตุกุมารให้เลื่อมใส
เมื่ออชาตสัตตุกุมารนั้นเลื่อมใสต่อเราแล้ว
ลาภสักการะเป็นอันมากจักเกิดขึ้น
ลำดับนั้น
พระเทวทัตเก็บเสนาสนะแล้ว
ถือบาตร จีวร
เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์
ถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ
แล้วแปลงเพศของตนนิรมิตเพศเป็นกุมารน้อยเอางูพันสะเอว
ได้ปรากฏบนพระเพลาของอชาตสัตตุกุมาร
ทีนั้น อชาตสัตตุกุมารกลัว
หวั่นหวาด สะดุ้ง ตกพระทัย
พระเทวทัตจึงได้กล่าวกะอชาตสัตตุกุมารว่า
พระกุมาร ท่านกลัวฉันหรือ
อ. จ้ะ ฉันกลัว ท่านเป็นใคร
ท. ฉันคือ พระเทวทัต
อ. ท่านเจ้าข้า
ถ้าท่านเป็นพระผู้เป็นเจ้าเทวทัต
ขอจงปรากฏด้วยเพศของตนทีเดียวเถิด
ทันใดนั้น
พระเทวทัตกลับเพศกุมารน้อยแล้ว
ทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร
ได้ยืนอยู่ข้างหน้าอชาตสัตตุกุมาร
ครั้งนั้น
อชาตสัตตุกุมารเลื่อมใสยิ่งนักด้วยอิทธิปาฏิหาริย์นี้ของพระเทวทัต
ได้ไปสู่ที่บำรุงทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้าด้วยรถ
๕๐๐ คัน และนำภัตตาหาร ๕๐๐
สำรับไปด้วย ครั้งนั้น
พระเทวทัตอันลาภสักการะและความสรรเสริญครอบงำ
รึงรัดจิต
และเกิดความปราถนาเห็นปานนี้ว่า
เราจักปกครองภิกษุสงฆ์
พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์นั้นพร้อมกับจิตตุปบาททีเดียว
ฯ
เรื่องกักกุธโกฬิยบุตร
[๓๕๐] สมัยนั้น
โกฬิยบุตรชื่อกักกุธะเป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ผู้ตายไม่นาน
ได้เข้าถึงมโนมัยกายอย่างหนึ่ง
อัตภาพเห็นปานดังนี้ที่เขาได้มีขนาดเท่ากับ
คามเขตของชาวมคธ ๒ หรือ ๓ แห่ง
เขาย่อมไม่ยังตนและคนอื่นให้ลำบาก
เพราะอัตภาพที่เขาได้นั้น
ครั้งนั้น กักกุธะเทพบุตร
เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะ
อภิวาทแล้วยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ท่านเจ้าข้า
พระเทวทัตอันลาภสักการะและความสรรเสริญ
ครอบงำ รึงรัดจิต
แล้วได้เกิดความปราถนาเห็นปานนี้ว่า
เราจักปกครองภิกษุสงฆ์
ท่านเจ้าข้า
พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์นั้นแล้วพร้อมกับจิตตุปบาททีเดียว
กักกุธะเทพบุตรได้กล่าวอย่างนี้แล้ว
จึงอภิวาทท่านพระมหาโมคคัลลานะ
กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ
ที่นั้นเอง ฯ
[๓๕๑] ครั้งนั้น
ท่านพระมหาโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า โกฬิยบุตร
ชื่อกักกุธะ
เป็นอุปัฏฐากของข้าพระพุทธเจ้า
ผู้ตายไม่นาน
ได้เข้าถึงมโนมัยกายอย่างหนึ่ง
อัตภาพเห็นปานดังนี้ที่เขาได้มีขนาดเท่ากับ
คามเขตของชาวมคธ ๒ หรือ ๓ แห่ง
เขาย่อมไม่ยังตนและคนอื่นให้ลำบาก
เพราะอัตภาพที่เขาได้นั้น
พระพุทธเจ้าข้า ครั้งนั้น
กักกุธะเทพบุตรเข้าไปหาข้าพระพุทธเจ้า
อภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กล่าวกะข้าพระพุทธเจ้าว่า
ท่านเจ้าข้า
พระเทวทัตอันลาภสักการะครอบงำ
รึงรัดจิตแล้ว
ได้เกิดความปราถนาเห็นปานนี้ว่า
เราจักปกครองภิกษุสงฆ์
ท่านเจ้าข้า
พระเทวทัตเสื่อมจากฤทธิ์นั้นแล้วพร้อมกับจิตตุปบาททีเดียว
พระพุทธเจ้าข้า
กักกุธะเทพบุตรได้กล่าวอย่างนี้แล้ว
อภิวาทข้าพระพุทธเจ้า
กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ
ที่นั้นเอง
พ. ดูกรโมคคัลลานะ
ก็กักกุธะเทพบุตรอันเธอกำหนดรู้ซึ่งจิตด้วยจิต
แล้วหรือว่า
กักกุธะเทพบุตรกล่าวคำอย่างหนึ่งอย่างใด
คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นทีเดียว
ไม่เป็นอย่างอื่น
ม. พระพุทธเจ้าข้า
กักกุธะเทพบุตรอันข้าพระพุทธเจ้ากำหนดรู้จิตด้วยจิตแล้วว่า
กักกุธะเทพบุตรกล่าวคำอย่างหนึ่งอย่างใด
คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นอย่างนั้นทีเดียว
ไม่เป็นอย่างอื่น
พ. ดูกรโมคคัลลานะ
เธอจงรักษาวาจานั้น
ดูกรโมคคัลลานะ
เธอจงรักษาวาจานั้น
บัดนี้
โมฆบุรุษนั้นจักกระทำตนให้ปรากฏด้วยตนเอง
ฯ
เรื่องศาสดา ๕ จำพวก
[๓๕๒] ดูกรโมคคัลลานะ ศาสดา ๕
จำพวกเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลก
๕ จำพวกเป็นไฉน
ดูกรโมคคัลลานะ
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่า
เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แล
เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลจะพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดา
นั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักกระทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรโมคคัลลานะ
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยศีล
ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยศีลจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๕๓] ดูกรโมคคัลลานะ
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์
และว่าอาชีวะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แล
เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์
และว่าอาชีวะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือ
บูชาเราด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักกระทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรโมคคัลลานะสาวกทั้งหลาย
ย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยอาชีวะ
ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยอาชีวะจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๕๔] ดูกรโมคคัลลานะ
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์
และว่าธรรมเทศนาของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้น
นั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แล
เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์
และว่าธรรมเทศนาของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักกระทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรโมคคัลลานะ
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยธรรมเทศนา
ก็แล
ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยธรรมเทศนาจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๕๕] ดูกรโมคคัลลานะ
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์
และว่าไวยากรณ์ของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แล
เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์
และว่าไวยากรณ์ของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลพึงมี
พวกเราพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร
ท่านจักกระทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกร โมคคัลลานะ
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยไวยากรณ์
ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยไวยากรณ์จากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๕๖] ดูกรโมคคัลลานะ
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แลเป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักกระทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรโมคคัลลานะ
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้น
โดยญาณทัสสนะ ก็แล
ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยญาณทัสสนะจากสาวกทั้งหลาย
ดูกรโมคคัลลานะ ศาสดา ๕ จำพวก
เหล่านี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ
[๓๕๗] ดูกรโมคคัลลานะ
ก็เราแลเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ปฏิญาณว่า
เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
แลสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยศีล
และเราก็ไม่หวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยศีลจากสาวกทั้งหลาย
อนึ่ง
เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ...
อนึ่ง
เราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์
...
อนึ่ง
เราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์
...
อนึ่ง
เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
แลสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยญาณทัสสนะ
และเราก็ไม่หวังเฉพาะซึ่งการรักษาโดยญาณทัสสนะจากสาวกทั้งหลายฯ
เรื่องพระเทวทัต
[๓๕๘] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพีตามพุทธาภิรมย์
แล้วเสด็จจาริกไปทางกรุงราชคฤห์
เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงกรุงราชคฤห์แล้ว
ทราบว่า
พระองค์ประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต
เขตกรุงราชคฤห์นั้น ฯ
[๓๕๙] ครั้งนั้น
ภิกษุเป็นอันมากเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า
อชาตสัตตุกุมารได้ไปสู่ที่บำรุงของพระเทวทัต
ทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้าด้วยรถ
๕๐๐ คัน แลนำภัตตาหาร ๕๐๐ สำรับ
ไปด้วย
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธออย่าพอใจลาภสักการะ
และความสรรเสริญของเทวทัตเลย
อชาตสัตตุกุมารจักไปสู่ที่บำรุงของเทวทัต
ทั้งเวลาเย็น ทั้งเวลาเช้า
ด้วยรถ ๕๐๐ คัน แลจักนำภัตตาหาร
๕๐๐ สำรับไปด้วยสักกี่วัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตพึงหวังความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายถ่ายเดียว
หวังความเจริญไม่ได้
เปรียบเหมือนคนทั้งหลายพึงทาน้ำดีหมีที่จมูกลูกสุนัขที่ดุร้าย
ลูกสุนัขนั้นจะเป็นสัตว์ดุร้ายขึ้นยิ่งกว่า
ประมาณด้วยอาการอย่างนี้แล
แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อชาตสัตตุกุมารจักไปสู่ที่บำรุงของเทวทัต
ทั้งเวลาเย็นทั้งเวลาเช้าด้วยรถ
๕๐๐ คัน แลจักนำ ภัตตาหาร ๕๐๐
สำรับ ไปด้วยสักกี่วัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตพึงหวังความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลายถ่ายเดียว
หวังความเจริญไม่ได้
ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ต้นกล้วยย่อมเผล็ดผลเพื่อฆ่าตน
ย่อมเผล็ดผลเพื่อความวอดวาย
ฉันใด
ลาภสักการะและความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ไม้ไผ่ย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน
ย่อมตกขุยเพื่อความวอดวาย
แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลาภสักการะและความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ไม้อ้อย่อมตกขุยเพื่อฆ่าตน
ย่อมตกขุยเพื่อความวอดวาย
แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม่ม้าอัสดรย่อมตั้งครรภ์เพื่อฆ่าตน
ย่อมตั้งครรภ์เพื่อความวอดวาย
แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ลาภสักการะและความสรรเสริญก็เกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อฆ่าตน
ลาภสักการะและความสรรเสริญเกิดขึ้นแก่เทวทัตเพื่อความวอดวาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล ฯ
[๓๖๐]
พระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์บาลีนี้แล้ว
จึงตรัสคาถาประพันธ์ดังต่อไปนี้:-
ผลกล้วยย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าคนชั่ว
เหมือนม้าอัสดรซึ่งเกิดในครรภ์
ย่อมฆ่าแม่ม้าอัสดรฉะนั้น ฯ
ปฐมภาณวาร จบ
พระเทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์
[๓๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล
พระผู้มีพระภาคอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว
ประทับนั่งแสดงธรรมแก่บริษัทพร้อมทั้งพระราชาครั้งนั้น
พระเทวทัตลุกจากอาสนะ
ห่มผ้าเฉวียงบ่า
นั่งกระหย่งประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค
แล้วกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้
พระผู้มีพระภาคทรงพระชราแล้ว
เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว
ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้
ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย
ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด
ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า
อย่าเลยเทวทัต
เธออย่าพอใจที่จะปกครองภิกษุสงฆ์เลย
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม
พระเทวทัตก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้
พระผู้มีพระภาคทรงพระชราแล้ว
เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว
ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว
บัดนี้
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงขวนขวายน้อย
ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด
ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรเทวทัต
แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ
เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้
ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้เช่นทรากศพ
ผู้บริโภคปัจจัย
เช่นก้อนเขฬะเล่า
ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า
พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัทพร้อมด้วยพระราชา
ด้วยวาทะว่าบริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ
ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
ดังนี้ จึงโกรธ น้อยใจ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณแล้วกลับไป
นี่แหละ
พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งแรก
ฯ
ปกาสนียกรรม
[๓๖๒] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล
สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลสงฆ์พึงทำอย่างนี้
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ
พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา
ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาทำปกาสนียกรรม
ท่านเจ้าข้า
ขอพระสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัตว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวเทวทัตเองนี้
เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า
ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
สงฆ์ทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัตว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่ พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
การทำปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่พระเทวทัตว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่าง หนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง
ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด
ปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์
อันสงฆ์กระทำแล้วแก่พระเทวทัตว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่า พระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้
ด้วยอย่างนี้ ฯ
[๓๖๓] ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร ถ้ากระนั้น
เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์
ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า
เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้ากล่าวชมพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก
โคธิบุตรมีอนุภาพมาก
ข้าพระพุทธเจ้าจะประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์อย่างไร
พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูกรสารีบุตร
เธอกล่าวชมเทวทัตในกรุงราชคฤห์แล้วเท่าที่เป็นจริงว่า
โคธิบุตรมีฤทธิ์มาก
โคธิบุตรมีอนุภาพมาก
ส. อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูกรสารีบุตร
เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์เท่าที่เป็นจริง
เหมือนอย่างนั้นแล
ท่านพระสารีบุตร
ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ฯ
[๓๖๔] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล
สงฆ์จงสมมติสารีบุตรเพื่อประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัตก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวเทวทัตเอง ฯ
วิธีสมมติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้
พึงขอร้องสารีบุตรก่อน
ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด
ผู้สามารถพึงประกาศ
ให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
ท่านเจ้าข้า
ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงสมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่า พระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
นี้เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า
ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
สงฆ์สมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
การสมมติท่านพระสารีบุตรเพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง
ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด
ท่านพระสารีบุตรอันสงฆ์สมมติแล้ว
เพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็น ว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้
ด้วยอย่างนี้ ฯ
[๓๖๕]
ก็ท่านพระสารีบุตรได้รับสมมติแล้ว
จึงเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์
พร้อมกับภิกษุมากรูป
แล้วได้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใด ด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
ประชาชนในกรุงราชคฤห์นั้นพวกที่ไม่มีศรัทธา
ไม่เลื่อมใสไร้ปัญญา
ต่างกล่าวอย่างนี้ว่า
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นคนริษยา
ย่อมเกียดกันลาภสักการะของพระเทวทัต
ส่วนประชาชนพวกที่มีศรัทธา
เลื่อมใส เป็นบัณฑิต มีปัญญาดี
กล่าวอย่างนี้ว่า
เรื่องนี้คงจักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เพราะพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์
ฯ
เรื่องอชาตสัตตุกุมาร
[๓๖๖] ครั้งนั้น
พระเทวทัตเข้าไปหาอชาตสัตตุกุมาร
แล้วได้กล่าวว่า ดูกรกุมาร
เมื่อก่อนคนทั้งหลายมีอายุยืน
เดี๋ยวนี้มีอายุสั้น
ก็การที่ท่านจะพึงตาย
เสียเมื่อยังเป็นเด็ก
นั่นเป็นฐานะจะมีได้
ดูกรกุมาร
ถ้ากระนั้น
ท่านจงปลงพระชนม์พระชนกเสียแล้วเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
อาตมาจักปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคแล้วเป็นพระพุทธเจ้า
ครั้งนั้น อชาตสัตตุกุมารคิดว่า
พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตมีฤทธิ์มาก
มีอนุภาพมาก
พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตพึงทราบแน่
แล้วเหน็บกฤชแนบ พระเพลา ทรงกลัว
หวั่นหวาด
สะดุ้งพระทัยรีบเสด็จเข้าไปภายในพระราชวังแต่เวลากลางวัน
พวกมหาอำมาตย์ผู้รักษาภายในพระราชวังได้แลเห็นอชาตสัตตุ
กุมารทรงกลัว หวั่นหวาด
สะดุ้งพระทัย
รีบเสด็จเข้ามาภายในพระราชวังแต่เวลากลางวัน
จึงรีบจับไว้
มหาอำมาตย์เหล่านั้นตรวจค้นพบกฤชเหน็บอยู่ที่พระเพลา
แล้วได้ทูลถามอชาตสัตตุกุมารว่า
พระองค์ประสงค์จะทำการอันใด
พระเจ้าข้า
อ. เราประสงค์จะปลงพระชนม์พระชนก
ม. ใครใช้พระองค์
อ. พระผู้เป็นเจ้าเทวทัต
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ควรฆ่าพระเทวทัต
และภิกษุทั้งหมด
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
เพราะพวกภิกษุไม่ผิดอะไร
ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
และฆ่าพระเทวทัต
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
ควรกราบทูลพระราชา
พระราชารับสั่งอย่างใด
พวกเราจักทำอย่างนั้น ฯ
[๓๖๗] ครั้งนั้น
มหาอำมาตย์เหล่านั้นคุมอชาตสัตตุกุมารเข้าไปเฝ้า
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
พิ.
ดูกรพนายมหาอำมาตย์ทั้งหลายลงมติอย่างไร
ม. ขอเดชะ
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ควรฆ่าพระเทวทัต
และภิกษุทั้งหมด
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
เพราะพวกภิกษุไม่ผิดอะไร
ควรปลงพระชนม์พระกุมารและฆ่าพระเทวทัต
มหาอำมาตย์บางพวกได้ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
ควรกราบทูลพระราชา
พระราชารับสั่งอย่างใด
พวกเราจักทำอย่างนั้น
พิ. ดูกรพนาย พระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์ จักทำอะไรได้
ชั้นแรกทีเดียว
พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์มิใช่หรือว่า
ปกติของพระเทวทัต
ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง
เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา
ไม่พึงเห็นว่าพระพุทธ พระธรรม
หรือพระสงฆ์เป็นอย่างนั้น
พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง
บรรดามหาอำมาตย์เหล่านั้น
พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า
ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ควรฆ่าพระเทวทัต
และภิกษุทั้งหมด
พระราชาได้ทรงถอดยศพวกเธอเสีย
พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
เพราะพวกภิกษุไม่ผิดอะไร
ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
และฆ่าพระเทวทัต
พระราชาได้ทรงลดตำแหน่งพวกเธอ
พวกที่ลงมติอย่างนี้ว่า
ไม่ควรปลงพระชนม์พระกุมาร
ไม่ควรฆ่าพระเทวทัต
ไม่ควรฆ่าพวกภิกษุ
ควรกราบทูลพระราชา
พระราชารับสั่งอย่างใด
พวกเราจักทำอย่างนั้น
พระราชาได้ทรงเลื่อนตำแหน่งพวกเธอ
ลำดับนั้น
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช
ได้รับสั่งถาม
อชาตสัตตุกุมารว่า ลูก
เจ้าต้องการฆ่าพ่อเพื่ออะไร
อชาตสัตตุกุมารกราบทูลว่า
หม่อมฉันต้องการราชสมบัติพระพุทธเจ้าข้า
พระราชาตรัสว่า ลูก
ถ้าเจ้าต้องการราชสมบัติ
ราชสมบัตินั้นเป็นของเจ้า
แล้วทรงมอบราชสมบัติแก่อชาตสัตตุกุมาร
ฯ
พระเทวทัตส่งคนไปปลงพระชนม์พระศาสดา
[๓๖๘] ครั้งนั้น
พระเทวทัตเข้าไปหาอชาตสัตตุกุมาร
แล้วถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร
ขอมหาบพิตรจงรับสั่งใช้ราชบุรุษผู้จักปลงพระชนม์พระสมณโคดม
ลำดับนั้น อชาตสัตตุกุมาร
รับสั่งใช้คนทั้งหลายว่า
พนาย
พระผู้เป็นเจ้าเทวทัตสั่งอย่างใด
ท่านทั้งหลายจงทำอย่างนั้น
ลำดับนั้น
พระเทวทัตจึงสั่งราชบุรุษคนหนึ่งว่า
เจ้าจงไป
พระสมณโคดมประทับอยู่ในโอกาสโน้น
จงปลงพระชนม์พระองค์แล้วจงมาทางนี้
ดังนี้ ซุ่มราชบุรุษไว้ ๒
คนริมทางนั้นด้วยสั่งว่า
ราชบุรุษใดมาทางนี้ลำพังผู้เดียว
เจ้าทั้งสองจงฆ่าราชบุรุษนั้นแล้วมาทางนี้
ได้ซุ่มบุรุษไว้ ๔
คนริมทางนั้นด้วยสั่งว่า
ราชบุรุษเหล่าใดมาทางนี้ ๒ คน
เจ้าทั้ง ๔ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๒
คนนั้น แล้วมาทางนี้
ได้ซุ่มบุรุษไว้ ๘
คนริมทางนั้นด้วยสั่งว่า
ราชบุรุษเหล่าใดมาทางนี้ ๔ คน
เจ้าทั้ง ๘ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๔ คน
นั้นแล้วมาทางนี้
ได้ซุ่มราชบุรุษไว้ ๑๖
คนริมทางนั้นด้วยสั่งว่า
ราชบุรุษเหล่าใดมาทางนี้ ๘ คน
เจ้าทั้ง ๑๖ คน จงฆ่าราชบุรุษ ๘
คนนั้นแล้วมา ฯ
ทรงแสดงอนุปุพพิกถา
[๓๖๙] ครั้งนั้น
บุรุษคนเดียวนั้นถือดาบและโล่ห์ผูกสอดแล่งธนูแล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กลัว
หวั่นหวาด สะทกสะท้าน มีกายแข็ง
ได้ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
ๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษนั้น
ผู้กลัว หวั่นหวาด สะทกสะท้าน
มีกายแข็ง ยืนอยู่
ครั้นแล้วได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า
มาเถิดเจ้า อย่ากลัวเลย
จึงบุรุษนั้นวางดาบและโล่ห์ปลดแล่งธนูวางไว้
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ซบศรีษะลงแทบพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาค
แล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า
โทษมาถึงซึ่งข้าพระพุทธเจ้าตามความโง่
ตามความหลง ตามอกุศล
เพราะข้าพระพุทธเจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย
มีจิตคิดจะฆ่า เข้ามาถึงที่นี้
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดรับโทษของข้าพระพุทธเจ้านั้น
โดยความเป็นโทษ
เพื่อความสำรวมต่อไป
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เอาเถอะเจ้า
โทษมาถึงเจ้าตามความโง่
ตามความหลง ตามอกุศล
เพราะเจ้ามีจิตคิดประทุษร้าย
มีจิตคิดจะฆ่า เข้ามาถึงที่นี้
เมื่อใดเจ้าเห็นโทษ
โดยความเป็นโทษ
แล้วทำคืนตามธรรม
เมื่อนั้นเรารับโทษ นั้นของเจ้า
เพราะผู้ใดเห็นโทษโดยความเป็นโทษ
แล้วทำคืนตามธรรม
ถึงความสำรวมต่อไป
ข้อนั้นเป็นความเจริญในอริยวินัย
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่บุรุษนั้น
คือ ทรงแสดงทาน ศีล สวรรค์
และอาทีนพ ความต่ำทราม
ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย
แล้วจึงทรงประกาศอานิสงส์ในการออกจากกาม
เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงทราบว่า
บุรุษนั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน
มีจิตปลอดจากนิวรณ์
มีจิตสูงขึ้น มีจิตผ่องใส
จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดง
ด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค
ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี
ปราศจากมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา
ได้เกิดแก่บุรุษนั้น ณ
ที่นั่นนั้นแล
ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน
ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี
ฉะนั้น
ครั้งนั้น
บุรุษนั้นมีธรรมอันเห็นแล้ว
ได้บรรลุธรรมแล้ว
ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว
มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ข้ามความสงสัยได้แล้ว
ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย
ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้าไม่ต้องเชื่อ
ผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก
พระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่
คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทางหรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่าคนมี
จักษุจักเห็นรูป ดังนี้
ข้าพระพุทธเจ้านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค
พระธรรม
และภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษนั้นว่า
เจ้าอย่าไปทางนี้ จงไปทางนี้
แล้วทรงส่งไปทางอื่น ฯ
[๓๗๐] ครั้งนั้น
บุรุษสองคนนั้นคิดว่า
ทำไมหนอ
บุรุษคนเดียวนั้นจึงมาช้านัก
แล้วเดินสวนทางไป
ได้พบพระผู้มีพระภาคประทับนั่ง
ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่บุรุษ
๒ คนนั้น ...
พวกเขา ...
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก
พระพุทธเจ้าข้า ...
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่า
เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งกะบุรุษทั้งสองนั้นว่า
เจ้าทั้งสองอย่าไปทางนี้
จงไปทางนี้ แล้วทรงส่งไปทางอื่น
ฯ
[๓๗๑] ครั้งนั้น บุรุษ ๔ คนนั้น ...
ครั้งนั้น บุรุษ ๘ คนนั้น ...
ครั้งนั้น บุรุษ ๑๖ คนนั้น
คิดว่าทำไมหนอ บุรุษ ๘
คนนั้นจึงมาช้านัก
แล้วเดินสวนทางไป
ได้ไปพบพระผู้มีพระภาคประทับนั่ง
ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่บุรุษ
๑๖ คนนั้น คือ ทรงแสดงทาน ศีล ...
พวกเขา ...
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก
พระพุทธเจ้าข้า ...
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้ง
๑๖ คนว่า
เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
ครั้งนั้น
บุรุษคนเดียวนั้นได้เข้าไปหาพระเทวทัต
แล้วได้กล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า
กระผมไม่สามารถจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นได้
เพราะพระองค์มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก
พระเทวทัตจึงกล่าวว่า
อย่าเลยเจ้า อย่าปลง
พระชนม์พระสมณโคดมเลย
เรานี้แหละจักปลงพระชนม์พระสมณโคดม
ฯ
พระเทวทัตทำโลหิตุปบาท
[๓๗๒] สมัยนั้น
พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ
เขาคิชฌกูฏบรรพต ครั้งนั้น
พระเทวทัตขึ้นสู่คิชฌกูฏบรรพต
แล้วกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ด้วยหมายใจว่า
จักปลงพระชนม์พระสมณโคดมด้วยศิลานี้
ยอดบรรพตทั้งสองน้อมมารับศิลานั้นไว้
สะเก็ดกระเด็นจากศิลานั้นต้องพระบาทของพระผู้มีพระภาค
ทำพระโลหิตให้ห้อขึ้นแล้ว
ขณะนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงแหงนขึ้นไปได้ตรัสกะพระเทวทัตว่า
ดูกรโมฆบุรุษ
เธอสั่งสมบาปมิใช่บุญไว้มากนัก
เพราะมีจิตคิดประทุษร้าย
มีจิตคิดฆ่า
ยังโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น
ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้จัดเป็นอนันตริยกรรมข้อที่ ๑
ที่เทวทัตสั่งสมแล้ว
เพราะเธอมีจิตคิดประทุษร้าย
มีจิตคิดฆ่า
ทำโลหิตของตถาคตให้ห้อขึ้น
ภิกษุทั้งหลายได้ สดับข่าวว่า
พระเทวทัตได้ประกอบการปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค
ก็ภิกษุเหล่านั้นจงกรมอยู่รอบๆ
วิหารของพระผู้มีพระภาค
ทำการสาธยายมีเสียงสูง เสียงดัง
เพื่อรักษาคุ้มครองป้องกันพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคทรงสดับเสียงสาธยาย
มีเสียงเซงแซ่
แล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
ดูกรอานนท์ นั่นเสียงสาธยาย
มีเสียงเซงแซ่ อะไรกัน
ท่านอานนท์ทูลตอบว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุทั้งหลายได้สดับข่าวว่า
พระเทวทัตได้ประกอบการปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค
ก็ภิกษุเหล่านั้นจงกรมอยู่รอบ
รอบวิหารของพระผู้มีพระภาคทำการสาธยายมีเสียงเซงแซ่
เพื่อรักษาคุ้มครอง
ป้องกันพระผู้มีพระภาค
เสียงนั้นนั่นเป็นเสียงสาธยาย
มีเสียงเซงแซ่พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์
ถ้ากระนั้น
เธอจงเรียกภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นมาตามคำของเราว่า
พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย
ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธพจน์
แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น
แจ้งให้ทราบว่า
พระศาสดารับสั่งหาท่านทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นรับคำของท่านพระอานนท์แล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ
ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อภิกษุเหล่านั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคต
ด้วยความพยายามของผู้อื่นนั่น
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
ตรัสเรื่องศาสดา ๕ จำพวก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศาสดา ๕
จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก
๕ จำพวกเป็นไฉน คือ
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แลเป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์
ย่อมปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ
ก็ความไม่พอใจใดแลจะพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนี้โดยศีล
ก็แลศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยศีลจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยอาชีวะ
ก็แลศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยอาชีวะจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์
...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้น
โดยธรรมเทศนา ก็แล
ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยธรรมเทศนาจากสาวกทั้งหลาย
ฯ
[๓๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์
...
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยไวยากรณ์
ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยไวยากรณ์จากสาวกทั้งหลายฯ
[๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้น
นั่นอย่างนี้ว่า
ศาสดาผู้เจริญนี้แลเป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
ก็พวกเรานี้แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์
ศาสดานั้นไม่พึงมีความ
พอใจก็ความไม่พอใจใดแลจะพึงมี
พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความ
ม่พอใจนั้นอย่างไร
ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเรา
ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ท่านจักทำกรรมใดไว้
ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยญาณทัสสนะ
ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น
ย่อมหวังการรักษาโดยญาณทัสสนะจากสาวกทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศาสดา ๕
จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
และว่าศีลของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
และสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยศีล
และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษาโดยศีลจากสาวกทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง
เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ... ...
เป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ... ...
เป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ ... ...
เป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์
และว่าญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์
ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง
และสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยญาณทัสสนะ
และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษาโดยญาณทัสสนะจากสาวกทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคต
ด้วยความพยายามของผู้อื่นนั้น
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงไปที่อยู่ตามเดิม
พระตถาคตทั้งหลายอันพวกเธอไม่ต้องรักษา
ฯ
ปล่อยช้างนาฬาคิรี
[๓๗๗] สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์
มีช้างชื่อนาฬาคิรี
เป็นสัตว์ดุร้าย ฆ่ามนุษย์
ครั้งนั้น
พระเทวทัตเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์แล้วไปยังโรงช้าง
ได้กล่าวกะพวกควาญช้างว่า
พนาย เราเป็นพระราชญาติ
สามารถจะแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูงได้
สามารถจะเพิ่มได้ทั้งเบี้ยเลี้ยงและเงินเดือน
พนาย
ถ้ากระนั้นเวลาใดพระสมณโคดมทรงพระดำเนินมาตรอกนี้
เวลานั้น
พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคิรีเข้าไปยังตรอกนี้
ควาญช้างเหล่านั้นรับคำพระเทวทัตแล้ว
ครั้นเวลาเช้า
พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้วทรงถือบาตร
จีวร เสด็จเข้า
ไปยังกรุงราชคฤห์พร้อมกับภิกษุมากรูป
ทรงพระดำเนินถึงตรอกนั้น
ควาญช้างเหล่านั้นได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินถึงตรอกนั้น
จึงปล่อยช้างนาฬาคิรีให้ไปยังตรอกนั้น
ช้างนาฬาคิรีได้แลเห็นพระผู้มีพระภาค
ทรงพระดำเนินมาแต่ไกลเทียว
แล้วได้ชูงวง หูชัน หางชี้
วิ่งรี่ไปทางพระผู้มีพระภาค
ภิกษุเหล่านั้นได้แลเห็นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาแต่ไกลเทียว
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ช้างนาฬาคิรีนี้ดุร้าย หยาบช้า
ฆ่ามนุษย์
เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จกลับเถิด
ขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิด
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย
เธออย่ากลัวเลย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
แม้ครั้งที่สอง ภิกษุเหล่านั้น...
แม้ครั้งที่สาม
ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า ช้างนาฬาคิรีนี้
ดุร้าย หยาบช้า ฆ่ามนุษย์
เดินเข้ามายังตรอกนี้แล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จกลับเถิด
ขอพระสุคตจงเสด็จกลับเถิด
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
มาเถิดภิกษุทั้งหลาย
อย่ากลัวเลย
ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคตด้วยความพยายามของผู้อื่น
นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส
เพราะพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่นฯ
[๓๗๘] คราวนั้น
คนทั้งหลายหนีขึ้นไปอยู่บนปราสาทบ้าง
บนเรือน โล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง
บรรดาคนเหล่านั้น
พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส
ไร้ปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า
ชาวเราผู้เจริญ พระมหาสมณโคดม
พระรูปงาม จักถูกช้างเบียดเบียน
ส่วนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส
ฉลาด มีปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า
ชาวเราผู้เจริญ ไม่นานเท่าไรนัก
พระพุทธนาคจักทรงทำสงครามกับช้าง
ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปสู่ช้างนาฬาคิรี
ลำดับนั้น
ช้างนาฬาคิรีได้สัมผัสพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลดงวงลงแล้วเข้าไปทางพระผู้มีพระภาค
แล้วได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
ขณะนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคิรี
พลางตรัสกะช้างนาฬาคิรีด้วยพระคาถาว่าดังนี้:-
[๓๗๙] ดูกรกุญชร
เจ้าอย่าเข้าไปหาพระพุทธนาค
เพราะการเข้าไปหาพระพุทธนาคด้วยวธกะจิตเป็นเหตุแห่งทุกข์
ผู้ฆ่าพระพุทธนาคจากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้าไม่มีสุคติเลย
เจ้าอย่าเมา และอย่าประมาท
เพราะคนเหล่านั้นเป็นผู้ประมาทแล้ว
จะไปสู่สุคติไม่ได้ เจ้านี่แหละ
จักทำโดยประการที่จักไปสู่สุคติได้
ฯ
[๓๘๐] ลำดับนั้น
ช้างนาฬาคิรีเอางวงลูบละอองธุลีพระบาทของพระผู้มีพระภาค
แล้วพ่นลงบนกระหม่อม
ย่อตัวถอยออกไปชั่วระยะที่แลเห็นพระผู้มีพระภาค
ไปสู่โรงช้างแล้วได้ยืนอยู่ ณ
ที่ของตน ก็แล
ช้างนาฬาคิรีเป็นสัตว์อันพระพุทธนาคทรงทรมานแล้วด้วยประการนั้น
ฯ
[๓๘๑] สมัยนั้น
คนทั้งหลายขับร้องคาถานี้
ว่าดังนี้:-
คนพวกหนึ่งย่อมฝึกช้างและม้าด้วยใช้ท่อนไม้บ้าง
ใช้ขอบ้าง ใช้แส้บ้าง
สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงพระคุณใหญ่ทรงทรมานช้างโดยมิต้องใช้ท่อนไม้
มิต้องใช้ศัสตรา
คนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า
พระเทวทัตนี้เป็นคนมีบาป
ไม่มีบุญ
เพราะพยายามปลงพระชนม์พระสมณโคดม
ผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้
มีอานุภาพมากอย่างนี้
ลาภสักการะของพระเทวทัตเสื่อม
ส่วนลาภสักการะของพระผู้มีพระภาคเจริญยิ่งขึ้น
ฯ
[๓๘๒] สมัยต่อมา
พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะแล้ว
พร้อมทั้งบริษัทได้เที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉัน
ประชาชนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
จึงเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉันเล่า
ของที่ปรุงเสร็จแล้วใครจะไม่พอใจ
ของที่ดีใครจะไม่ชอบใจ
ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาอยู่
พวกที่เป็นผู้มักน้อย ...
ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า
ไฉนพระเทวทัตพร้อมกับบริษัท
จึงเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉันเล่า
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค... ตรัสถามว่า
ดูกรเทวทัต ข่าวว่า
เธอพร้อมกับบริษัทเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายมาฉันจริงหรือ
พระเทวทัตทูลรับว่า จริง
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน...
ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล
เราจักบัญญัติโภชนะสำหรับ ๓
คนในสกุลแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๓ ประการ คือ
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก
๑
เพื่ออนุเคราะห์สกุลด้วยหวังว่า
ภิกษุทั้งหลายที่มีความปรารถนาลามกอย่าอาศัยฝักฝ่ายทำลายสงฆ์
๑
ในการฉันเป็นหมู่
พึงปรับอาบัติตามธรรม ฯ
เรื่องวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๓] ครั้งนั้น
พระเทวทัตเข้าไปหาพระโกกาลิกะ
พระกตโมรกติสสกะ
พระขัณฑเทวีบุตร พระสมุททัตตะ
แล้วได้กล่าวว่า
มาเถิดท่านทั้งหลาย
พวกเราจักทำสังฆเภท จักรเภท
แก่พระสมณโคดม
เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว
พระโกกาลิกะได้กล่าวว่า
พระสมณโคดมมีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก
พวกเราจักทำสังฆเภท
จักรเภทแก่พระสมณโคดมอย่างไรได้
พระเทวทัตกล่าวว่า
มาเถิดท่านทั้งหลาย
พวกเราจักเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม
แล้วทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
การไม่สั่งสม การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า
วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
การไม่สั่งสม การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส
ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดอาศัยบ้านอยู่
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดยินดีกิจนิมนต์
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดยินดีคหบดีจีวร
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดฉันปลาและเนื้อ
รูปนั้นพึงต้องโทษ
พระสมณโคดมจักไม่ทรงอนุญาตวัตถุ
๕ ประการนี้
แต่พวกเรานั้นจักให้ประชาชนเชื่อถือวัตถุ
๕ ประการนี้
พระโกกาลิกะกล่าวว่า
ท่านทั้งหลาย
พวกเราสามารถเพื่อทำสังฆเภท
จักรเภทแก่พระสมณโคดมด้วยวัตถุ
๕ ประการนี้แน่
เพราะมนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสในความปฏิบัติเศร้าหมอง
ฯ
ทูลขอวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๔] ครั้งนั้น
พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
ความไม่สั่งสม
การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า
วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
ความไม่สั่งสม
การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส
ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดอาศัยบ้านอยู่
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดยินดีกิจนิมนต์
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดยินดีคหบดีจีวร
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง
รูปนั้นพึงต้องโทษ
ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดฉันปลาและเนื้อ
รูปนั้นพึงต้องโทษ
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า
อย่าเลยเทวทัต
ภิกษุใดปรารถนา
ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน
รูปใดปรารถนา
จงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์
รูปใดปรารถนา
จงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
รูปใดปรารถนา จงยินดีคหบดีจีวร
เราอนุญาตโคนไม้เป็นเสนาสนะ ๘
เดือน
เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วนสาม
คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน
ไม่รังเกียจ
ครั้งนั้น พระเทวทัตคิดว่า
พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตวัตถุ
๕ ประการนี้
จึงร่าเริงดีใจพร้อมกับบริษัทลุกจากอาสนะ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณ แล้วกลับไปฯ
โฆษณาวัตถุ ๕ ประการ
[๓๘๕] ต่อมา
พระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์แล้ว
ประกาศให้ประชาชนเข้าใจวัตถุ ๕
ประการว่า ท่านทั้งหลาย
พวกอาตมาเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม
ทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
...
การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า
วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
... การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส
ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดอาศัยบ้านอยู่
รูปนั้นพึงต้องโทษ ...
ภิกษุทั้งหลาย
ไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดฉันปลาและเนื้อ
รูปนั้นพึงต้องโทษ
วัตถุ ๕ ประการนี้
พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาต
แต่พวกอาตมาสมาทานประพฤติตามวัตถุ
๕ ประการนี้ฯ
[๓๘๖] บรรดาประชาชนเหล่านั้น
พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส
ไร้ปัญญา กล่าวอย่างนี้ว่า
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นผู้กำจัด
มีความประพฤติขัดเกลา
ส่วนพระสมณโคดมประพฤติมักมาก
ย่อมคิดเพื่อความมักมาก
ส่วนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส
เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์
เพื่อทำลายจักรเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...
ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า
ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์
เพื่อทำลายจักร
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า
ดูกรเทวทัต ข่าวว่า
เธอพยายามเพื่อทำลายสงฆ์
เพื่อทำลายจักร จริงหรือ
พระเทวทัตทูลรับว่า จริง
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย
เทวทัต
เธออย่าชอบใจการทำลายสงฆ์
เพราะการทำลายสงฆ์มีโทษหนักนัก
ผู้ใดทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันย่อมประสพโทษตั้งกัป
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป
ส่วนผู้ใดสมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน
ย่อมประสพบุญอันประเสริฐ
ย่อมบรรเทิงในสวรรค์ตลอดกัป
อย่าเลย เทวทัต
เธออย่าชอบใจการทำลายสงฆ์เลย
เพราะการทำลายสงฆ์มีโทษหนักนักฯ
[๓๘๗] ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า
ท่านพระอานนท์นุ่งอันตรวาสก
ถือบาตร จีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์
พระเทวทัตได้พบท่านพระอานนท์กำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์
แล้วได้กล่าวว่า ท่านอานนท์
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ผมจักทำอุโบสถ
จักทำสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาค
แยกจากภิกษุสงฆ์
ครั้นท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์แล้ว
เวลาปัจฉาภัตร
กลับจากบิณฑบาตเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคม นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วจึงกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า เมื่อเช้านี้
ข้าพระพุทธเจ้านุ่งอันตรวาสก
ถือบาตร และจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์
พระเทวทัตพบข้าพระพุทธเจ้ากำลังเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
แล้วเข้ามาหา ข้าพระพุทธเจ้า
ครั้นแล้วกล่าวว่า ท่านอานนท์
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ผมจักทำอุโบสถ
จักทำสังฆกรรมแยกจากพระผู้มีพระภาค
แยกจากภิกษุสงฆ์
วันนี้พระเทวทัตจักทำลายสงฆ์
พระพุทธเจ้าข้า ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเรื่องนั้นแล้ว
ทรงเปล่งอุทานในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
[๓๘๘] ความดี คนดีทำง่าย
ความดี คนชั่วทำยาก
ความชั่ว คนชั่วทำง่าย
แต่อารยชน ทำความชั่วได้ยาก ฯ
ทุติยภาณวารจบ
พระเทวทัตหาพรรคพวก
[๓๘๙] ครั้งนั้น ถึงวันอุโบสถ
พระเทวทัตลุกจากอาสนะ
ประกาศให้ภิกษุทั้งหลายจับสลากว่า
ท่านทั้งหลาย
พวกเราเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม
แล้วทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย
...
การปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย
วัตถุ ๕ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
... การปรารภความเพียร
โดยอเนกปริยาย
ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส
ภิกษุทั้งหลายพึงถืออยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต
รูปใดอาศัยบ้านอยู่
รูปนั้นพึงต้องโทษ ...
ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต
รูปใดพึงฉันปลาและเนื้อ
รูปนั้นพึงต้องโทษ
วัตถุ ๕ ประการนี้
พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาต
แต่พวกเรานั้นย่อมสมาทาน
ประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้
วัตถุ ๕ ประการนี้
ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นจงจับสลาก ฯ
[๓๙๐] สมัยนั้น
พระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี
ประมาณ ๕๐๐ รูป เป็นพระบวชใหม่
และรู้พระธรรมวินัยน้อย
พวกเธอจับสลากด้วยเข้าใจว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ลำดับนั้น
พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว
พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ ฯ
[๓๙๑] ครั้งนั้น
พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า
พระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว
พาภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป
หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรสารีบุตร โมคคัลลานะ
พวกเธอจักมีความการุญในภิกษุใหม่เหล่านั้นมิใช่หรือ
พวกเธอจงรีบไป
ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึงความย่อยยับ
พระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว
ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
ทำประทักษิณแล้วเดินทางไปคยาสีสะประเทศ
ฯ
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
[๓๙๒] สมัยนั้น
ภิกษุรูปหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค
จึงพระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุนั้นว่า
ดูกรภิกษุ เธอร้องไห้ทำไม
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะ
เป็นอัครสาวกของพระผู้มีพระภาค
ไปในสำนักพระเทวทัต
คงจะชอบใจธรรมของพระเทวทัต
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ
ข้อที่สารีบุตรโมคคัลลานะ
จะพึงชอบใจธรรมของเทวทัต
นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส
แต่เธอทั้งสองไปเพื่อซ้อมความเข้าใจกะภิกษุ
ฯ
พระอัครสาวกพาภิกษุ ๕๐๐ กลับ
[๓๙๓] สมัยนั้น
พระเทวทัตอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อม
แล้วนั่งแสดง ธรรมอยู่
เธอได้เห็นพระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะมาแต่ไกล
จึงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายเห็นไหม
ธรรมเรากล่าวดีแล้ว
พระสารีบุตร
โมคคัลลานะอัครสาวกของพระสมณโคดม
พากันมาสู่สำนักเรา
ต้องชอบใจธรรมของเรา
เมื่อพระเทวทัตกล่าวอย่างนี้แล้ว
พระโกกาลิกะได้กล่าวกะพระเทวทัตว่า
ท่านเทวทัต
ท่านอย่าไว้วางใจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก
ลุอำนาจแก่ความปรารถนาลามก
พระเทวทัตกล่าวว่า อย่าเลย
คุณท่านทั้งสองมาดี
เพราะชอบใจธรรมของเรา
ลำดับนั้น
ท่านพระเทวทัตนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่งว่า
มาเถิด ท่านสารีบุตร
นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้
ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า
อย่าเลยท่าน
แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ก็ถืออาสนะแห่งหนึ่งนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ลำดับนั้น
พระเทวทัตแสดงธรรมกถาให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง หลายราตรี
แล้วเชื้อเชิญท่านพระสารีบุตรว่า
ท่านสารีบุตร
ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว
ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกะท่าน
เราเมื่อยหลังจักเอน
ท่านพระสารีบุตรรับคำพระเทวทัตแล้ว
ลำดับนั้น
พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น
แล้วจำวัตรโดยข้างเบื้องขวา
เธอเหน็ดเหนื่อยหมดสติสัมปชัญญะครู่เดียวเท่านั้น
ก็หลับไป ฯ
[๓๙๔] ครั้งนั้น
ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน
พร่ำสอนภิกษุทั้งหลาย
ด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอาเทสนาปาฏิหาริย์
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวสอน
พร่ำสอน
ภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถาอันเป็นอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์
ขณะเมื่อภิกษุเหล่านั้นอันท่านพระสารีบุตรกล่าวสอนอยู่
พร่ำสอนอยู่
ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์
และอันท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าว
สอนอยู่ พร่ำสอนอยู่
ด้วยอนุศาสนีเจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์
ดวงตาเห็นธรรมที่ปราศจากธุลี
ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
ที่นั้น
ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
ท่านทั้งหลาย
เราจักไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ผู้ใดชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น
ผู้นั้นจงมา
ครั้งนั้น
พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะพาภิกษุ
๕๐๐ รูปนั้น เข้าไปทางพระเวฬุวัน
ครั้งนั้น
พระโกกาลิกะปลุกพระเทวทัตให้ลุกขึ้นด้วยคำว่า
ท่านเทวทัต ลุกขึ้นเถิด
พระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะพาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว
เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า
อย่าไว้วางใจพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ
เพราะเธอทั้งสองมีความปรารถนาลามก
ถึงอำนาจความปรารถนาลามก
ครั้งนั้น
โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัตในที่นั้นเอง
ฯ
[๓๙๕] ครั้งนั้น
พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถวายบังคมนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อท่านพระสารีบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ขอประทานพระวโรกาส
ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย
พึงอุปสมบทใหม่
พ. อย่าเลย สารีบุตร
เธออย่าพอใจการอุปสมบทใหม่ของพวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายเลย
ดูกรสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น
เธอจงให้พวกภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย
แสดงอาบัติถุลลัจจัย
ก็เทวทัตปฏิบัติแก่เธออย่างไร
ส. พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมีกถาให้ภิกษุทั้งหลาย
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ตลอดราตรีเป็นอันมาก
แล้วได้รับสั่งกะข้าพระพุทธเจ้าว่า
ดูกรสารีบุตร
ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว
ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งแก่เธอ
เราเมื่อยหลัง ดังนี้ ฉันใด
พระเทวทัตก็ได้ปฏิบัติ
ฉันนั้นเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๓๙๖] ครั้งนั้น
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรื่องเคยมีมาแล้ว
มีสระใหญ่อยู่ในราวป่า
ช้างทั้งหลายอาศัยสระนั้นอยู่
และพวกมันพากันลงสระนั้น
เอางวงถอนเง่าและรากบัวล้างให้สะอาดจนไม่มีตม
แล้วเคี้ยวกลืนกินเง่าและรากบัวนั้น
เง่าและรากบัวนั้น
ย่อมบำรุงวรรณะและกำลังของช้างเหล่านั้น
และช้างเหล่านั้นก็ไม่เข้าถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย
มีข้อนั้นเป็นเหตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนลูกช้างตัวเล็ก ๆ
เอาอย่างช้างใหญ่เหล่านั้น
และพากันลงสระนั้น
เอางวงถอนเง่าและรากบัวแล้วไม่ล้างให้สะอาดเคี้ยวกลืน
กินทั้งที่มีตม
เง่าและรากบัวนั้น
ย่อมไม่บำรุงวรรณะและกำลังของลูกช้างเหล่านั้น
และพวกมันย่อมเข้าถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย
มีข้อนั้นเป็นเหตุ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตเลียนแบบเราจักตายอย่างคนกำพร้าอย่างนั้นเหมือนกัน
ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประพันธคาถา
ว่าดังนี้:-
[๓๙๗] เมื่อช้างใหญ่คุมฝูง ขุดดิน
กินเง่าบัวอยู่ในสระใหญ่
ลูกช้างกินเง่าบัวทั้งที่มีตมแล้วตาย
ฉันใด
เทวทัตเลียนแบบเราแล้ว
จักตายอย่างคนกำพร้า ฉันนั้น ฯ
องค์แห่งทูต
[๓๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
ควรทำหน้าที่ทูต
องค์ ๘ เป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
๑. รับฟัง
๒. ให้ผู้อื่นฟัง
๓. กำหนด
๔. ทรงจำ
๕. เข้าใจความ
๖. ให้ผู้อื่นเข้าใจความ
๗.
ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
๘. ไม่ก่อความทะเลาะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล
ควรทำหน้าที่ทูตฯ
[๓๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สารีบุตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
ควรทำหน้าที่ทูต
องค์ ๘ เป็นไฉน คือ:- ๑.
สารีบุตรเป็นผู้รับฟัง ๒.
ให้ผู้อื่นฟัง
๓. กำหนด ๔. ทรงจำ ๕. เข้าใจความ ๖.
ให้ผู้อื่นเข้าใจความ
๗.
ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
๘. ไม่ก่อความทะเลาะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สารีบุตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
นี้แล
ควรทำหน้าที่ทูต
พระผู้มีพระภาคตรัสประพันธคาถา
ว่าดังนี้:-
[๔๐๐] ภิกษุใด
เข้าไปสู่บริษัทที่พูดคำหยาบก็ไม่สะทกสะท้าน
ไม่ยังคำพูดให้เสีย
ไม่ปกปิดข่าวสาส์นพูดจนหมดความสงสัย
และถูกถามก็ไม่โกรธ
ภิกษุผู้เช่นนั้นแล
ย่อมควรทำหน้าที่ทูต ฯ
พระเทวทัตจักเกิดในอบาย
[๔๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘
ประการครอบงำ ย่ำยีแล้ว
จักเกิดในอบาย
ตกนรกชั่วกัปช่วยเหลือไม่ได้
อสัทธรรม ๘ ประการ เป็นไฉน คือ
๑. เทวทัตมีจิตอันลาภครอบงำ
ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบายตกนรก
ตั้งอยู่ตลอดกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
๒.
เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมลาภครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๓. เทวทัตมีจิตอันยศครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๔.
เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมยศครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๕. เทวทัตมีจิตอันสักการะครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๖.
เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมสักการะครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๗.
เทวทัตมีจิตอันความปรารถนาลามกครอบงำ
ย่ำยีแล้ว ...
๘.
เทวทัตมีจิตอันความเป็นมิตรชั่วครอบงำ
ย่ำยีแล้วจักเกิดในอบาย ตกนรก
ตั้งอยู่ตลอดกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘
ประการนี้แล ครอบงำ ย่ำยีแล้ว
จักเกิดในอบาย ตกนรก
ตั้งอยู่ตลอดกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
ดีละ ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุพึงครอบงำ ย่ำยี
ลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
ยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
สักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
ความปรารถนาลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
ภิกษุพึงครอบงำ ย่ำยี
ความเป็นมิตรลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ภิกษุอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
จึงครอบงำ ย่ำยี ลาภที่เกิดขึ้น
แล้วอยู่ ...
ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... สักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
ความปรารถนาลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
ภิกษุครอบงำ ย่ำยี
ความเป็นมิตรลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อภิกษุนั้นไม่ครอบงำลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
อาสวะทั้งหลาย
ที่ทำความคับแค้นและรุ่มร้อนพึงเกิดขึ้น
เมื่อครอบงำ ย่ำยี
ลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
อาสวะเหล่านั้น
ที่ทำความคับแค้นและรุ่มร้อน
ย่อมไม่มีแก่เธอด้วยอาการอย่างนี้
ก็เมื่อเธอไม่ครอบงำความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ...
ยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ... ...
ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ...
สักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ... ...
ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ...
ความปรารถนาลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
เมื่อเธอไม่ครอบงำความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
อาสวะทั้งหลายที่ทำความคับแค้นและรุ่มร้อน
พึงเกิดขึ้น ...
ครอบงำ ย่ำยี
ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ...
ครอบงำ ย่ำยี
ความมีมิตรลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
อาสวะเหล่านั้นที่ทำความคับแค้นและรุ่มร้อน
ย่อมไม่มีแก่เธอด้วยอาการอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล
พึงครอบงำ ย่ำยี
ลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ... ยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ... ...
ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ... สักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
...
ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ...
ความปรารถนาลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
พึงครอบงำ ย่ำยี
ความมีมิตรชั่วที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงศึกษาว่า
พวกเราจักครอบงำ
ย่ำยีลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมลาภที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... ยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมยศที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
... สักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ ...
ความเสื่อมสักการะที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
...
ความปรารถนาลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
พวกเราจักครอบงำ ย่ำยี
ความมีมิตรลามกที่เกิดขึ้นแล้วอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
[๔๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓ ประการ
ครอบงำ ย่ำยี จักเกิดในอบาย ตกนรก
ตั้งอยู่ตลอดกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
อสัทธรรม ๓ ประการ เป็นไฉน คือ:-
๑. ความปรารถนาลามก
๒. ความมีมิตรชั่ว
๓. พอบรรลุคุณวิเศษเพียงคั่นต่ำ
ก็เลิกเสียในระหว่าง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓
ประการนี้แล ครอบงำ ย่ำยี
จักเกิดในอบาย ตกนรก
ตั้งอยู่ตลอดกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
นิคมคาถา
[๔๐๓] ใคร ๆ
จงอย่าเกิดเป็นคนปรารถนาลามกในโลก
ท่านทั้งหลายจงรู้จักเทวทัตนั้นตามเหตุแม้นี้ว่า
มีคติเหมือนคติของคนปรารถนาลามก
เทวทัตปรากฏว่า เป็นบัณฑิต
รู้กันว่าเป็นผู้อบรมตนแล้ว
เราก็ได้ทราบว่าเทวทัตตั้งอยู่ดุจผู้รุ่งเรืองด้วยยศ
เธอสั่งสมความประมาทเบียดเบียนตถาคตนั้น
จึงตกนรกอเวจี มีประตูถึง ๔
ประตูอันน่ากลัว
ก็ผู้ใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย
ผู้ไม่ทำบาปกรรม
บาปย่อมถูกต้องเฉพาะผู้นั้น
ผู้มีจิตประทุษร้าย
ไม่เอื้อเฟื้อ
ผู้ใดตั้งใจประทุษร้ายมหาสมุทร
ด้วยยาพิษเป็นหม้อ ๆ
ผู้นั้นไม่ควรประทุษร้ายด้วยยาพิษนั้นเพราะมหาสมุทรเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ฉันใด
ผู้ใดเบียดเบียนตถาคตผู้เสด็จไปดีแล้ว
มีพระทัยสงบด้วยกล่าวติเตียน
การกล่าวติเตียนในตถาคตนั้นฟังไม่ขึ้น
ฉันนั้นเหมือนกัน
ภิกษุผู้ดำเนินตามมรรคาของพระพุทธเจ้า
หรือสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
พึงถึงความสิ้นทุกข์
บัณฑิตพึงกระทำพระพุทธเจ้า
หรือสาวกของพระพุทธเจ้า
ผู้เช่นนั้นให้เป็นมิตร
และพึงคบหาท่าน ฯ
สังฆราชี
[๔๐๔] ครั้งนั้น
ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคม
แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
เมื่อท่านพระอุบาลีนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆราชี สังฆราชี ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเป็นสังฆราชี
แต่ไม่เป็นสังฆเภท
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร
เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุหนึ่งรูป
ฝ่ายหนึ่งมี ๒ รูป
รูปที่ ๔ ประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี แม้ด้วยเหตุอย่างนี้
เป็นสังฆราชี แต่ไม่เป็นสังฆเภท
ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒
รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๒ รูป
รูปที่ ๕ ประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี
แต่ไม่เป็นสังฆเภท
ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๒
รูป ฝ่ายหนึ่งมี ๓ รูป
รูปที่ ๖ ประกาศ ให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี
แต่ไม่เป็นสังฆเภท
ดูกรอุบาลี ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓
รูป ฝ่ายหนึ่งก็มี ๓ รูป
รูปที่ ๗ ประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี
แต่ไม่เป็นสังฆเภท ดูกรอุบาลี
ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๓ รูป
ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป
รูปที่ ๘ ประกาศ ให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ก็เป็นสังฆราชี
แต่ไม่เป็นสังฆเภท ดูกรอุบาลี
ฝ่ายหนึ่งมีภิกษุ ๔ รูป
ฝ่ายหนึ่งมี ๔ รูป
รูปที่ ๙ ประกาศ ให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้แล
เป็นทั้งสังฆราชี และสังฆเภท
ดูกรอุบาลี ภิกษุ ๙
รูปหรือเกินกว่า ๙ รูป
เป็นทั้งสังฆราชี และ สังฆเภท
ดูกรอุบาลี
ภิกษุณีทำลายสงฆ์ย่อมไม่ได้
แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
สิกขมานา ก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
สามเณรีก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสกก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
อุบาสิกาก็ทำลายสงฆ์ไม่ได้
แต่พยายามเพื่อจะทำลายได้
ดูกรอุบาลี ภิกษุปกตัตตะ
มีสังวาสเสมอกัน
อยู่ในสีมาเดียวกัน
ย่อมทำลายสงฆ์ได้ ฯ
สังฆเภท
[๔๐๕] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆเภท สังฆเภท ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร สงฆ์จึงแตก
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑. ย่อมแสดงอธรรมว่า เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงธรรมว่า เป็นอธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งไม่เป็นวินัยว่า
เป็นวินัย
๔. ย่อมแสดงวินัยว่า ไม่เป็นวินัย
๕.
ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า
เป็นคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
๖.
ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า
เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
๗.
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า
เป็นกรรมอันตถาคตประพฤติมา
๘.
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาว่า
เป็นกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมา
๙.
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า
เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๐.
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า
เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า
เป็นอาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า
เป็นอนาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า
เป็นอาบัติหนัก
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า
เป็นอาบัติเบา
๑๕.
ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า
เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๖.
ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า
เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า
เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
๑๘.
ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า
เป็นอาบัติชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมประกาศให้แตกแยกกัน
ด้วยวัตถุ ๑๘ ประการนี้
ย่อมแยกทำอุโบสถ แยกทำปวารณา
แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล
สงฆ์เป็นอันแตกกันแล้ว
สังฆสามัคคี
[๔๐๖] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า
สังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไรสงฆ์จึงพร้อมเพรียงกัน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้
๑.
ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่า
ไม่เป็นธรรม
๒. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่า
เป็นธรรม
๓. ย่อมแสดงสิ่งที่มิใช่วินัยว่า
มิใช่วินัย
๔. ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่า
เป็นวินัย
๕.
ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้ว่า
เป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
๖.
ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้ว่า
เป็นคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
๗.
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า
เป็นกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมา
๘.
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้วว่า
เป็นกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้ว
๙.
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่า
เป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
๑๐.
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่า
เป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
๑๑. ย่อมแสดงอนาบัติว่า
เป็นอนาบัติ
๑๒. ย่อมแสดงอาบัติว่า เป็นอาบัติ
๑๓. ย่อมแสดงอาบัติเบาว่า
เป็นอาบัติเบา
๑๔. ย่อมแสดงอาบัติหนักว่า
เป็นอาบัติหนัก
๑๕.
ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า
เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
๑๖.
ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่า
เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
๑๗. ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่า
เป็นอาบัติชั่วหยาบ
๑๘.
ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่า
เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
พวกเธอย่อมไม่ประกาศให้แตกแยกกันด้วยวัตถุ
๑๘ ประการนี้ ย่อมไม่แยกทำอุโบสถ
ย่อมไม่แยกทำปวารณา
ย่อมไม่แยกทำสังฆกรรม
ดูกรอุบาลี
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล
สงฆ์เป็นอันพร้อมเพรียงกัน ฯ
[๔๐๗] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ก็ภิกษุนั้นทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมได้รับผลชั่วร้าย
ตั้งอยู่ชั่วกัป
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
นิคมคาถา
[๔๐๘] ภิกษุทำลายสงฆ์
ต้องเกิดในอบาย ตกนรก
อยู่ชั่วกัป
ภิกษุผู้ยินดีในการแตกพวก
ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
ย่อมเสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
ภิกษุทำลายสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมไหม้ในนรกตลอดกัป ฯ
[๔๐๙] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ก็ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน
จะได้รับผลอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ภิกษุสมานสงฆ์ที่แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน
ย่อมได้บุญอันประเสริฐ
ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป
ฯ
นิคมคาถา
[๔๑๐] ความพร้อมเพรียงของหมู่
เป็นเหตุแห่งสุข
และการสนับสนุนผู้พร้อมเพรียงกัน
ก็เป็นเหตุแห่งสุข
ภิกษุผู้ยินดีในความพร้อมเพรียงตั้งอยู่ในธรรม
ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ
ภิกษุสมานสงฆ์ให้พร้อมเพรียงกันแล้ว
ย่อมบรรเทิงในสรวงสวรรค์ตลอดกัป
ฯ
ผู้ทำลายสงฆ์ต้องเกิดในอบาย
[๔๑๑] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
มีหรือ พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ต้องเกิดในอบาย
ตกนรก อยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มี อุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ต้องเกิดในอบาย ตกนรก
อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้
อุ. และมีหรือ พระพุทธเจ้าข้า
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก
อยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้
พ. มี อุบาลี ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก
อยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้
อุ. พระพุทธเจ้าข้า
ก็ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ต้องเกิดในอบาย
ตกนรกอยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้เป็นไฉน
พ. ดูกรอุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ
อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับ สลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ต้องเกิดในอบาย ตกนรก
อยู่ชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ่ง อุบาลี
ภิกษุย่อมแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในธรรม
นั้นว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ
อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์นี้แล
ต้องเกิดในอบาย
ตกนรกอยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ่ง อุบาลี
ภิกษุย่อมแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในธรรม
นั้นว่าเป็นอธรรม
มีความสงสัยในความแตกกัน
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ
อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ต้องเกิดในอบาย
ตกนรกอยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ่ง อุบาลี
ภิกษุย่อมแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในอธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในการแตกกันว่าเป็นอธรรม
... ...
มีความเห็นในอธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความสงสัยในความแตกกัน ... ...
มีความสงสัยในอธรรมนั้น
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
... ...
มีความสงสัยในอธรรมนั้น
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
... ...
มีความสงสัยในอธรรมนั้น
มีความสงสัยในความแตกกัน
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ
อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับ สลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ต้องเกิดในอบาย
ตกนรกอยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
อนึ่ง อุบาลี
ภิกษุย่อมแสดงธรรมว่าเป็นอธรรม
...
ย่อมแสดงสิ่งมิใช่
วินัยว่าเป็นวินัย
ย่อมแสดงวินัยว่ามิใช่วินัย
ย่อมแสดงคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
ว่าเป็นคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
ย่อมแสดงคำอันตถาคตตรัสภาษิตไว้
ว่าเป็นคำอันตถาคตมิได้ตรัสภาษิตไว้
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาว่า
เป็นกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้ว
ย่อมแสดงกรรมอันตถาคตประพฤติมาแล้ว
ว่าเป็นกรรมอันตถาคตมิได้ประพฤติมาแล้ว
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ว่าเป็นสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้
ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้ว่าเป็นสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้
ย่อมแสดงอนาบัติว่าเป็นอาบัติ
ย่อมแสดงอาบัติว่าเป็นอนาบัติ
ย่อมแสดงอาบัติเบาว่าเป็นอาบัติหนัก
ย่อมแสดงอาบัติหนักว่าเป็นอาบัติเบา
ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่าเป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
ย่อมแสดงอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ว่าเป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
ย่อมแสดงอาบัติไม่ชั่วหยาบว่าเป็นอาบัติชั่วหยาบ
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นอธรรม
มีความสงสัยในความแตกกัน
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความสงสัยในความแตกกัน
มีความสงสัยในธรรมนั้น
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นอธรรม
มีความสงสัยในธรรมนั้น
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
มีความสงสัย ในธรรมนั้น
มีความสงสัยในความแตกกัน
อำพรางความเห็น อำพรางความถูกใจ
อำพรางความชอบใจ อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ต้องเกิดในอบาย
ตกนรกอยู่ชั่วกัป
ช่วยเหลือไม่ได้
ผู้ทำลายสงฆ์ไม่ต้องเกิดในอบาย
[๔๑๒] ท่านพระอุบาลีทูลถามว่า
พระพุทธเจ้าข้า
ก็ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์
ไม่ต้องเกิดในอบาย ไม่ตกนรก
อยู่ชั่วกัป พอช่วยเหลือได้
เป็นไฉน
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมแสดงอธรรมว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในอธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
ไม่อำพรางความเห็น
ไม่อำพรางความถูกใจ
ไม่อำพรางความชอบใจ
ไม่อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลายจงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ไม่ต้องเกิดในอบาย
ไม่ตกนรกอยู่ชั่วกัป
พอช่วยเหลือได้
อนึ่ง อุบาลี
ภิกษุย่อมแสดงธรรมว่าเป็นอธรรม
...
ย่อมแสดงอาบัติชั่วหยาบว่าเป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
มีความเห็นในธรรมนั้นว่าเป็นธรรม
มีความเห็นในความแตกกันว่าเป็นธรรม
ไม่อำพรางความเห็น
ไม่อำพรางความถูกใจ
ไม่อำพรางความชอบใจ
ไม่อำพรางความจริง
ย่อมประกาศให้จับสลากว่า
นี้ธรรม นี้วินัย นี้สัตถุศาสน์
ท่านทั้งหลาย จงจับสลากนี้
จงชอบใจสลากนี้
ดูกรอุบาลี
ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์แม้นี้แล
ไม่ต้องเกิดในอบาย
ไม่ตกนรกอยู่ชั่วกัป
พอช่วยเหลือได้ ฯ
ตติยภาณวารจบ
สงฆ์เภทขันธกะที่ ๗ จบ