สังฆทาน
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔
อังคุตตรนิกาย ๕. ทารุกัมมิกสูตร
[๓๓๐] สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทสร้างด้วยอิฐ
ใกล้นาทิกคาม ครั้งนั้น
คฤหบดีชื่อทารุกัมมิกะ
(พ่อค้าฟืน)
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า
ดูกรคฤหบดี ทานในสกุล
ท่านยังให้อยู่หรือ
คฤหบดีชื่อทารุกัมมิกะได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ยังให้อยู่
และทานนั้นแล
ข้าพระองค์ให้ในภิกษุผู้เป็นอรหันต์
หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค
ผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
ผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
ผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ฯ
พ. ดูกรคฤหบดี
ท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม
อยู่ครองเรือน
นอนเบียดเสียดบุตร
บริโภคจันทน์แคว้นกาสี
ทัดทรงดอกไม้
ของหอมและเครื่องลูบไล้
ยินดีทองและเงินอยู่
พึงรู้ข้อนี้ได้ยากว่า
ภิกษุเหล่านี้เป็นพระอรหันต์
หรือเป็นผู้บรรลุอรหัตมรรค
ดูกรคฤหบดี
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อ
ปากกล้า พูดพล่าม มีสติเลอะเลือน
ไม่มีสัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น
มีจิตพลุ่งพล่าน
ไม่สำรวมอินทรีย์
เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึง
ถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว
ไม่เห่อ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม
มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ
มีใจตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
สำรวมอินทรีย์
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้อยู่ใกล้บ้าน
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้รับนิมนต์
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้รับนิมนต์
เป็นผู้ ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้
ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ภิกษุนั้นพึง
ถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ฯลฯ
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ทรงคฤหบดี จีวร
เป็นผู้ฟุ้งซ่าน ถือตัว เห่อ
ปากกล้า พูดพล่าม มีสติเลอะเลือน
ไม่มี สัมปชัญญะ มีใจไม่ตั้งมั่น
มีจิตพลุ่งพล่าน
ไม่สำรวมอินทรีย์
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงถูกติเตียนด้วยเหตุนั้น
ถ้าแม้ภิกษุผู้ทรงคฤหบดีจีวร
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถือตัว
ไม่เห่อ ไม่ปากกล้า ไม่พูดพล่าม
มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ
มีใจตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง
สำรวมอินทรีย์
เมื่อเป็นอย่างนี้
ภิกษุนั้นพึงได้
รับสรรเสริญด้วยเหตุนั้น
ดูกรคฤหบดี
เชิญท่านให้สังฆทานเถิด
เมื่อท่านให้สังฆทานอยู่
จิตจักเลื่อมใส
ท่านนั้นเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
เมื่อตายไป
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
คฤหบดีชื่อทารุกัมมิกะ
ทูลสนองว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์นี้จักให้สังฆทานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ฯ
สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๖ มัชฌิมนิกาย
๑๒. ทักขิณาวิภังคสูตร
[๗๐๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารนิโครธาราม
เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท
สมัยนั้นแล
พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงถือผ้าห่มคู่หนึ่ง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ
แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค
ประทับนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉัน กรอด้าย
ทอเอง
ตั้งใจอุทิศพระผู้มีพระภาค
ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัย
ความอนุเคราะห์
โปรดรับผ้าใหม่ทั้งคู่ของหม่อมฉันเถิด
ฯ
[๗๐๗]
เมื่อพระนางกราบทูลแล้วอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า
ดูกรโคตมี พระนางจงถวายสงฆ์เถิด
เมื่อถวายสงฆ์แล้ว
จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ผ้าใหม่คู่นี้ หม่อมฉันกรอด้าย
ทอเอง ตั้งใจ
อุทิศพระผู้มีพระภาค
ขอพระผู้มีพระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์
โปรดรับผ้า
ใหม่ทั้งคู่นี้ของหม่อมฉันเถิด
แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๓
แล
พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะพระนาง
แม้ในครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๓
ดังนี้ว่า ดูกรโคตมี
พระนางถวายสงฆ์เถิด
เมื่อถวายสงฆ์แล้ว
จักเป็นอันพระนางได้บูชาทั้งอาตมภาพและสงฆ์
ฯ
[๗๐๘]
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาค โปรดรับ
ผ้าใหม่ทั้งคู่
ของพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถิด
พระนางมหาปชาบดีโคตมี
มีอุปการะมาก
เป็นพระมาตุจฉาผู้ทรงบำรุงเลี้ยง
ประทานพระขีรรสแด่พระผู้มีพระภาค
เมื่อพระชนนีสวรรคตแล้ว
ได้โปรดให้พระผู้มีพระภาคทรงดื่มเต้าพระถัน
แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีอุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระนางทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค
จึงทรงถึงพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะได้
ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค
จึงทรงงดเว้นจากปาณาติบาต
จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร
จากมุสาวาท
จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะดื่ม
น้ำเมาคือสุราและเมรัยได้
ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค
จึงทรงประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
ทรงประกอบด้วยศีลที่พระอริยะมุ่งหมายได้
ทรงอาศัยพระผู้มีพระภาค
จึงเป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์
ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ
ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงมีพระอุปการะมากแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมีฯ
[๗๐๙] พ. ถูกแล้วๆ อานนท์
จริงอยู่บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
เป็น ผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะได้
เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้
ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี
ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร
บุคคลใดอาศัยบุคคลใดแล้ว
งดเว้นจากปาณาติบาต
จากอทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร
จากมุสาวาท
จากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเพราะดื่มน้ำเมาคือสุรา
และเมรัยได้
เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนต่อบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี
ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร
บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส
อย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะ
มุ่งหมายได้
เราไม่กล่าวการที่บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี
ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ และ
คิลานปัจจยเภสัชบริขาร
บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
เป็นผู้หมดความสงสัยในทุกข์
ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ
ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาได้
เราไม่กล่าวการที่
บุคคลนี้ตอบแทนบุคคลนี้ด้วยดี
เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี
ทำสามีจิกรรม ด้วยเพิ่มให้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจยเภสัชบริขาร ฯ
[๗๑๐] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาเป็นปาฏิปุคคลิกมี ๑๔
อย่าง คือ
ให้
ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑
ให้ทาน ในพระปัจเจกสัมพุทธ
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๒
ให้ทานในสาวก
ของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๓
ให้ทาน
ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๔
ให้ทานแก่พระอนาคามี
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๕
ให้ทานในท่าน
ผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๖
ให้ทาน แก่พระสกทาคามี
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๗
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติ
เพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๘
ให้ทาน ในพระโสดาบัน
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๙
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติ
เพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑๐
ให้ทาน
ในบุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิก
ประการที่ ๑๑
ให้ทานในบุคคลผู้มีศีล
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑๒
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑๓
ให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
นี้เป็นทักษิณาปาฏิปุคคลิกประการที่
๑๔
[๗๑๑] ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั้น
บุคคลให้ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
พึงหวังผลทักษิณาได้ร้อยเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีล
พึงหวังผลทักษิณา ได้พันเท่า
ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล
พึงหวังผลทักษิณาได้แสนเท่า
ให้ทานในบุคคล
ภายนอกผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม
พึงหวังผลทักษิณาได้แสนโกฏิเท่า
ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง
พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้
จนประมาณไม่ได้
จะป่วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน
ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง
ในพระสกทาคามี
ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง
ในพระอนาคามี
ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง
ในสาวกของตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์
ในพระปัจเจกสัมพุทธ
และในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
[๗๑๒] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์มี ๗
อย่าง คือ
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
ประการที่ ๑
ให้ทานในสงฆ์ ๒ ฝ่าย
ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
นี้เป็น
ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ทั้ง ๒
ฝ่าย ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๒
ให้ทานในภิกษุสงฆ์
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์
ประการที่ ๓
ให้ทานในภิกษุณีสงฆ์
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๔
เผดียงสงฆ์ว่า
ขอได้โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจำนวนเท่านี้
ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๕
เผดียงสงฆ์ว่า
ขอได้โปรดจัดภิกษุจำนวนเท่านี้ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๖
เผดียงสงฆ์ว่า
ขอได้โปรดจัดภิกษุณีจำนวนเท่านี้
ขึ้นเป็นสงฆ์แก่ข้าพเจ้า
แล้วให้ทาน
นี้เป็นทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์ประการที่
๗ ฯ
[๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล
จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู
มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล
มีธรรมลามก
คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูกรอานนท์
ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น
เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้
ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า
มีผลมากกล่าวทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ
เลย ฯ
[๗๑๔] ดูกรอานนท์
ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณานี้มี
๔ อย่าง
๔ อย่างเป็นไฉน
ดูกรอานนท์
ทักษิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
บางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก
บางอย่างฝ่ายทายกก็ไม่
บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์
บางอย่างบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายกและฝ่ายปฏิคาหก
[๗๑๕] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่าย
ปฏิคาหกอย่างไร
ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ ทายกมีศีล
มีธรรมงาม ปฏิคาหก เป็นผู้ทุศีล
มีธรรมลามก
อย่างนี้แล
ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก
ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายปฏิคาหก ฯ
[๗๑๖] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ ฝ่ายทายกอย่างไร
ดูกรอานนท์ ในข้อนี้
ทายกเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
อย่างนี้แล
ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก
ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ฯ
[๗๑๗] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์
ฝ่ายปฏิคาหก
ก็ไม่บริสุทธิ์อย่างไร
ดูกรอานนท์ในข้อนี้
ทายกก็เป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
ปฏิคาหกก็เป็นผู้ทุศีล
มีธรรมลามก
อย่างนี้แล
ทักษิณาชื่อว่าฝ่ายทายกก็ไม่บริสุทธิ์
ฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสุทธิ์ ฯ
[๗๑๘] ดูกรอานนท์
ก็ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก
และฝ่าย ปฏิคาหกอย่างไร
ดูกรอานนท์ ในข้อนี้
ทายกก็เป็นผู้มีศีล มีธรรมงาม
ปฏิคาหกก็เป็นผู้มีศีล
มีธรรมงาม
อย่างนี้แล
ทักษิณาชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งฝ่ายทายก
และฝ่ายปฏิคาหก ฯ
ดูกรอานนท์ นี้แล
ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔
อย่าง ฯ
[๗๑๙]
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
ได้ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ต่อไปอีกว่า
(๑) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม
มีจิตเลื่อมใสดี
เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนทุศีล
ทักษิณาของผู้นั้น
ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก ฯ
(๒) ผู้ใดทุศีล
ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม
มีจิตไม่เลื่อมใส
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนมีศีล
ทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า
บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ฯ
(๓) ผู้ใดทุศีล
ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม
มีจิตไม่เลื่อมใส
ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนทุศีล
เราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า
มีผลไพบูลย์ ฯ
(๔) ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม
มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรม
และผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในคนมีศีล
เรากล่าวทานของผู้นั้นแลว่า
มีผลไพบูลย์ ฯ
(๕) ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว
ได้ของมาโดยธรรม
มีจิตเลื่อมใสดี
เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง
ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ
ทานของผู้นั้นนั่นแล
เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย ฯ
จบทักขิณาวิภังคสูตร ที่ ๑๒ จบวิภังควรรคที่ ๔