2.
เหตุมูลฐานแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่งอยู่ที่ลักษณะขัดแย้งภายในของสรรพสิ่ง |
2.1
การที่ยอมรับหรือไม่ว่า การก่อให้เกิดสรรพสิ่งเกิดการพัฒนาด้วยความขัดแย้งภายในนั้นเป็นข้อแตกต่างพื้นฐานระหว่างวิภาษวิธีวัตถุนิยมกับอภิปรัชญา |
......ต่อไปเปรียบเทียบทัศนะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของวิภาษวิธีวัตถุนิยมอภิปรัชญา |
......ก.
อภิปรัชญาเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหินห่างจากกัน และไม่เกี่ยวข้องกัน
ส่วนวิภาษวิธีวัตถุนิยมเห็นว่า สรรพสิ่งล้วนเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน ส่งผลสะเทือนต่อกัน
ไม่มีสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถ้าใช้ทัศนะของอภิปรัชญามาพิจารณาคน
คนหนึ่ง ก็จะพิจารณาโดยตัดขาดจากประวัติ ตัดขาดจากความเกี่ยวข้องทางชนชั้น
แต่วิภาษวิธีวัตถุนิยมจะต้องพิจารณาจากประวัติทั้งหมดของคน คนนั้น เพราะประวัติการแสดงออกในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับอดีต
และในอนาคตจะพัฒนาไปอย่างไร ก็ต้องสัมพันธ์กับการแสดงออกในปัจจุบันด้วย
ฉะนั้นวิภาษวิธีวัตถุนิยมพิจารณาสรรพสิ่งเริ่มต้นสัมพันธ์กัน |
......ข.
อภิปรัชญาเห็นว่าสรรพสิ่งไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์ ถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ก็เป็นการเพิ่มหรือลดทางปริมาณ และการสับเปลี่ยนทางสถานที่เท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพและไม่มีการก้าวกระโดดเลย
ส่วนการวิภาษวิธีวัตถุนิยมเห็นว่า สรรพสิ่งล้วนพัฒนาแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ
กระบวนกานการพัฒนาของสรรพสิ่ง คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงปริมาณไปสู่คุณภาพ
และเป็นกระบวนการที่สิ่งหนึ่งเปลี่ยนแปรไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ชนชั้นปฏิกริยาได้ใช้ทัศนะอภิปรัชญามาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมว่า
ระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนมีมาแต่ไหนแต่ไร และจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ เมื่ออนุมานไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ก็สรุปได้ว่าการที่จะให้สังคมก้าวหน้าไป ก็มีแต่ดำเนินการปฏิรูปทางสังคมเท่านั้น
อภิปรัชญาปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจำนวนเท่านั้น
ฉะนั้นอภิปรัชญาจึงเป็น ปรัชญาทีชนชั้นนายทุน ใช้มาปกป้องรักษาระบอบสังคมทุนนิยมไปตลอดกาล |
......ค.
ในขณะที่พูดถึงมูลเหตุแห่งการพัฒนาของสรรพสิ่ง อภิปรัชญาเห็นว่า
มูลเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงของสิ่ง ไม่ใช่อยู่ภายในของสิ่ง หรือว่าเนื่องจากการผลักดันของพลังภายนอก
เขาว่าถ้วยน้ำแตกได้เพราะเราไปตีหรือขว้างจึงแตก ถ้าไม่มีแรงจากภายนอกไปแตะต้อง
มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป แต่วิภาษวิธีวัตถุนิยมเห็นว่า สาเหตุมูลฐานแห่งการพัฒนาสรรพสิ่ง
อยู่ที่ลักษณะขัดแย้งภายในของสรรพสิ่ง โลกธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ในสังคมมนุษย์ก็เช่นกัน
การพัฒนาของสังคมแต่ละสมัย ก็ล้วนมาจากความขัดแย้งภายในสังคม ฉะนั้นความเป็นปรปักษ์
ของวิภาษวิธีวัตถุนิยมกับอภิปรัชญา สรุปแล้วมีอยู่ข้อเดียวคือ ยอมรับหรือไม่ว่าเหตุมูลฐาน
แห่งการพัฒนา ของสิ่งที่อยู่ลักษณะขัดแย้งภายในของสรรพสิ่ง ในที่นี้ต้องสนใจคำว่า
เหตุมูลฐาน เพราะว่าการพัฒนาของสรรพสิ่งล้วนเกิดจากเหตุภายในและภายนอก
แต่อันไหนสำคัญกว่า อันไหนเป็นหลัก วิภาษวิธีเห็นว่า เหตุภายในเป็นมูลฐานของการพัฒนา
เป็นเหตุอันดับแรก สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนแยกเป็น 1 เป็น 2 ภายในของสิ่งล้วน
กรปอด้วย 2ด้านที่เป็นปรปักษ์กัน ความขัดแย้ง การต่อสู้ ละความเป็นเอกภาพของสิ่งจึงผลักดันสิ่งพัฒนาไป
สังคมหนึ่งจะพัฒนาไปต้องอาศัยความขัดแย้งของการต่อสู้ภายในสังคมนั่นเอง
การที่พรรคหนึ่งจะเสริมความมั่นคง พัฒนาและเจริญเติบใหญ่ต้องอาศัย ตัวเอง
โดยการทำให้เกิด ความคิดของตนเป็นแบบชนชั้นกรรมาชีพ ขจัดสิ่งที่ไม่ใช่ชนชั้นกรรมาชีพออกจากสมองของตนโดยมีจิตสำนึก
ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไม เงื่อนไขอย่างเดียวกัน คนคนหนึ่งจึงพัฒนาไปอีกทางหนึ่ง
อีกคนหนึ่งไปอีกทางหนึ่ง |