ม้าของผม |
ตรัน กงเติน เขียน |
จิตร ภูมิศักดิ์ แปล |
......เมื่อผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ผมเคยเห็นม้าของตองบาง (หัวหน้าหมู่บ้านกวางตุ้ง) ผ่านหน้าบ้านของผมไปบ่อยๆ พอผมได้ยินเสียงกรุ๋งกริ่งของกระพรวนลูกเล็กๆ ที่เขวนเป็นพวงรอบคอม้าตัวนี้ทีไร ผมเป็นต้องวิ่งพรวดออกไปที่ถนนพร้อมๆ กับเพื่อนในหมู่บ้าน เพื่อดูม้าของตองบางเหยาะย่างไปอย่างสง่า, มองดูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา |
......ผมอดพูดถึงม้าตัวนี้ไม่ได้สักที แต่ในหมู่บ้านนี้ เราจะหาม้าอื่นได้สักตัวหนึ่งจากไหนหนอ, จะได้เอามาชื่นชมมัน และเล่นกับมันให้สะใจ? เราเอากาบหมากมาขี่คร่อม แล้วก็ติ๋งต่างว่าเป็นคนขี่ม้าควบกั้บๆ มันก็ตื่นเต้นเข้าทีอยู่, แต่ไม่มีกระพรวน ผมก็เลยจัดการเอาตะเกียบเคาะเข้ากับชามเกาเหลาแทน วันหนึ่ง, โชคออกจะร้ายสักหน่อย, ชามเกิดพลัดตกแตก แม่เลยหวดก้นผมเสียจนระบม. ผมไม่มีวันลืมเลย เหตุการณ์นี้แก้โรคคลั่งขี่ม้ากาบหมากของผมที่เป็นมานานได้อย่างชะงัด แต่สองสามวันต่อมา, พอตองบางควบม้าลงฝีเท้าผ่านหมู่บ้านไป พวกเราก็วิ่งเกรียวไล่กวดไปข้างหลังกันอีก ขนหางสีดำของมันห้อยเป็นพู่งามเหลือเกิน กีบของมันกระทบพื้นถนนเตะฝุ่นขึ้นฟุ้งทเดียว...กลับมาบ้าน, ภาพของม้ายังสดแจ่มอยู่ในใจของผม ผมจับไอ้โตหมาที่เราเลี้ยงไว้มาผูกปากมันเข้าด้วยเชือกกล้วย, เอาอีกเส้นหนึ่งผูกรอบท้องและอก เท่านี้ผมก็ได้ทั้งบังเหียนทั้งอาน เหมือนกับม้าของตองบางเปี๊ยบเลย ผมขึ้นคร่อมหลัง, งอขาขึ้น เอาตีนพาดที่หูของมัน , แกว่งแส้เฟี้ยวๆ อยู่ในอากาศ ปากก็ร้อง "กั้บ ! กั้บ !" น้ำหนักตัวผมออกจะหนักเกินไป เจ้าม้าของผมจึงคำรามแง่งๆ และไม่ยอมเดิน ผมเอา ...ผมเอาแส้ฟาดเข้าให้ที่ปากมันจังเบ้อเร่อ. ม้าของผมเจ็มมากก็เลยแว้งมากัดเอาที่ขาอ่อนของผมหมับเข้าให้, แล้วก็ดึงบังเหียนขาด วิ่งหนีไป...ขาอ่อนของผมถูกฝากรักเข้าให้สี่เขี้ยว เลือดไหลโชกทีเดียว ผมไม่กล้าร้องไห้ เพราะกลัวแม่จะรู้เข้า ....เพื่อนๆ ของผมช่วยห้ามเลือดให้ด้วยแผ่นโคลน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมไม่ได้เล่นเป็นคนขี่ม้าอีกเลย, แต่มันก็ยาก ผมลืมมันไม่ลงสักที ตอนกาลางคืนผมก็ฝันถึงม้า....ที่โต๊ะกินข้าว,เวลาเล่น,ไม่ว่าที่ไหนผมเห็นแต่ม้าๆๆๆทั้งนั้น...หูผมมันคอยแต่ได้ยินเสียงกรุ๋งกริ่งของกระพรวนลูกเล็กๆ พวงนั้นอยู่ร่ำไป, ตาของผมก็ให้มองเห็นแต่ม้าของตองบาง หางดำเป็นเงา, กีบทั้งสี่ของมันที่เตะฝุ่นกระจายเป็นควัน |
......เมื่อผมโตขึ้นก็ได้เห็นการปฏิวัติเดือนสิงหาคม. แม้ว่าผมจะยังเป็นเยาวน กองทหารปฏิวัติก็รับผมเป็นลูกเสือของหน่วยปฏิวัติ...ปีนั้นเป็นปี 1945 หลังจากได้ผ่านการฝึกครบสามเดือนแล้ว, ผมก็ได้รับมอบม้าตัวหนึ่ง, ซึ่งเป็นเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติงานและในการรบของผม, ผมรู้สึกว่าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทีเดียว |
......เจ้าเถียดมะ (ม้าเหล็ก) ของผมตัวนี้ งามกว่าม้าของตองบางเสียอีก, เราได้มันมาจากกองทหารม้าของญี่ปุ่น มันมาอยู่ในกองทับประชาชนเวียดนามหนุ่ม หลังการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น มันเป็นม้าแสนรู้จริงๆ ผมฝึกมันอย่างเอาใจใส่ ให้มันนอนลงและเต้นย้ายไปมาเมื่อมีเสียงกระสุนหวือผ่านไป, ให้มันยืนระวังและไม่ตื่น, และหัดให้มันเดินเหยาะย่าง, ผมรักมันเหมือนกับมันเป็นพี่น้องทหารคนหนึ่งทีเดียว |
......ผมยังจำได้ถึงวันหนึ่ง ผมไปปฏิบัติงานด่วนตามทางหลวงสายเว้-ด่งฮา โชคร้ายชมัด,ผมเกิดหนาวสะท้านและเป็นหวัดอย่างแรงขึ้นตอนออกเดินทางแล้วเลยเป็นลมฟุบอยู่บนหลลังเจ้าเถียดมะของผม แต่มันก็ยังควบต่อไปจนกระทั่งพาผมมาถึงจุดหมาดอย่างถูกต้อง, ซึ่งที่นั่นผมได้รับการดูแลรักษาและปฏิบัติภารกิจได้ทันเวลา นับตั้งแต่ผมได้รับบรรจุเข้าร่วมในกองทับปฏิวัติมาจนถึงเวลาที่สงครามต่อต้านระเบิดขึ้น, เราท่องทุกสารทิศมาด้วยกันตั้งมากกว่า 10,000 กิโลเมตรทีเดียว |
......เมื่อแนวหน้าที่เมืองเว้พ่ายแพ้, กองทับปลดแอกต้องถอยเข้าสู่เขตต่อต้านหน่วยสืบราชการลับหน่วยหนึ่ง, ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วย, ยังคงทำงานอยู่ในแนวหลังของศัตรู และถูกโจมตีเมื่อเรากำลังเคลื่อนกลับเข้าร่วมกรมกองเดินของกองทัพต่อต้าน เราถูกล้อมและต้องสู้รบอย่างดุเดือดบนหลังม้า เจ้าเถียดมะของผมถูกกระสุนที่ขาหลังข้างหนึ่ง, แต่ก็ยังพยายามตามจนทันม้าอื่นๆ ที่สุด, เราก็ฝ่าวงล้อมออกมาได้และกลับเข้าร่วมกรมกองในเขตปลอดภัย |
......ในเขตต่อต้าน อากาศหนาวเป็นที่สุด ความหิวโหยคือเพื่อนที่ติดสอยห้อยตามเราไปยังกับเงา ทุกวันผมพาเจ้าเถียดมะไปเลาะลัดเล็มหญ้าตามป้า แต่หญ้าอ่อนมีน้อยเหลือเกิน, มีเพียงต้นอ้อและพวกไม้ใบเสียแหละมาก ม้าของผมหิว ผมเองก็หิว สหายของผมทุกคนก็หิว แล้วไข้ป่าก็เริ่มระบาด เจ้าเถียดมะไม่ได้กินข้าวโพดสี่กิโล ข้าวเปลือกสองกิโล, น้ำตาลร้อยกรัมต่อวันเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในเมืองเว้อีกแล้ว ตอนพลบ เมื่อปืนใหญ่ยิงมาจากฐานที่มั่นในเมืองเว้, เจ้าเถียดมะต้องลงไปหลบอยู่ในสนามเพาะ ขาที่ผอมบางของมันสั่นระริก ผมของมันไป่เป็นมันวับอีกแล้ว. เสียงร้องครางยางๆ ของมันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ฟองน้ำลายไหลออกจากปากของมันหยดเปาะแปะลงบนใบไม้แห้ง เมื่อผมเห็นอาการของมันเช่นนี้ ผมให้รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยมันอย่างที่สุด ถ้ามันตายลง, งานของผมจะยากลำบากขึ้นอีกมาก คราวนี้แหละ เมื่อผมไปปฏิบัติหน้าที่, ขาสั้นๆ ของผมจะต้องเผชิญกับการข้ามเนินสูงและขุนเขาที่แสนยากลำบากในเขตโตร, ฮวาง ,ทวี ,ฮวามิ และเยืองฮวา ผมคิดถึงมันบ่อยๆ และก็ต้องร้องไห้ |
......เราอยู่ในเขตต่อต้านได้เดือนเดียว การลำเลียงส่งเสบียงจำพวกหมูและไก่ก็หยุดชะงักลง ข้างก็กำลังขาดแคลน เพราะขาดเนื้อสัตว์และข้าว เราจำต้องฆ่าม้า และกินเนื้อมันกับใบไม้ป่าที่กินได้ ม้าตัวที่หกถูกยิงไปแล้ว แล้วก็ที่เจ็ด และที่แปด ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงฆ่าม้า และเสียงมีดชำแหละแล่ซี่โครงและตัดเนื้อมันออกมา ผมไม่สบายใจเลย ผมเป็นทุกข์ถึงชะตากรรมของเจ้าเถียดมะของผม แต่อย่างไรก็ดี รอบของเจ้าเถียดมะยังไม่มาถึง ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลง่ายๆที่ว่า ในหน่วยผมเป็นเด็กที่สุด, อายุเพื่งได้ 12 ปีเท่านั้น ทุกคนรักผม สหายของผมพูดว่า จะยอมอดอาหารเอา จะทนกินใบไม้ที่กินได้แทนเจ้าเถียดมะ เพื่อว่ามันจะได้มีชีวิตอยู่ช่วยผมทำงานต่อไป พวกเขายอมทนหิว เพื่อให้หน้าที่ประจำวันได้สำเร็จอย่างแน่นอน แต่เย็นวันหนึ่ง อากาศหนาวจัด ขณะที่ผมกำลังเก็บใบไม้ที่กินได้อยู่บนเนินเขา เลือยก็เรียกผม |
......"เฮ้! เติน! มาเอาลูกปืนนี่ แล้วไปกับผม ไปล่าหมูป่ากัน !" |
......ผมดีใจมากที่ได้ไปกับเขา ผมรับกระสุนมาสามลูกแล้วก็ตามเขาเข้าป่า หลังจากเราเดินกันมาสักสิบห้านาทีแล้ว ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัดจากค่ายของเรา แล้วก็เงียบ ผมนึกถึงเจ้าเถียดมะขึ้นมาฉับพลันและสั่นไปทั่วทั้งตัว เหมือนกับคนบ้า ผมทิ้งเลือง วิ่งตรงกลับมาที่ค่ายอย่างรวดเร็วที่สุด เท่าที่ขาของผมจะช่วยพามาได้ ผมมาถึงจุดที่พวกทหารจำนวนมากและหน่วยสื่อสารกำลังมุงรอบเถียดมะที่เพิ่งตายอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ผมแหวกคนเข้าไป โถมเข้ากอดคอเจ้าเถียดมะ แล้วก็ร้องไห้อย่างชมชื่น ตาของมันลุกแดง เลือดยังไหลรินๆ อยู่ที่หน้าอกและหัว ตัวของมันยังอุ่นอยู่ ผมร้องไห้พลาง, ต่อว่าต่อขานสหายที่ยืนอยู่รอบผมไปพลาง. พี่เลียนเข้ามาอุ้มผมออกไปกอดไว้ เธอเองก็ร้องไห้เหมือนกัน |
......"อย่าร้อง" เธอว่า "เธออยากให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อต่อสู้ศัตรูหรืออยากให้พวกเราตายเพราะความหิว, ฮือ?" |
.......แล้วเธอก็เช็ดน้ำตาให้ผม ปลอบโยนผม |
......"ความตายของม้าเธอ ให้ชีวิตแก่พวกเรา ต่อไปเราจะกลับมาที่ปากน้ำนี่ใหม่ สู้กับพวกข้าศึก ยึดอาวุธของมัน ประชาชนก็จะส่งทั้งคนทั้งอาวุธมาให้เรา ทหารของเราก็จะมากขึ้น เธอก็จะได้เป็นนายทหารม้าแล้วก็จะได้ม้าใหม่อีกตัวนึง !" |
......ทุกคนพยายามปลอบโยนผม |
......"อย่าร้องไห้อีกนะ" เขาพากันว่า "ตอนนี้เราต้องกินม้าแล้วเอาขาของเราใช้แทนม้าไปพลางก่อน" |
......แล้วเขาก็พากันไปขัดปืน, เตรียมการรบครั่งใหม่.... |
......ผมครุ่นคิดถึงเถียดมะ เจ้าเพื่อนยากอยู่ตลอดเวลา. มันตายไปแล้ว, ทั้งไว้ให้ผมก็แต่เพียงอานหนัง และกระเป๋าปอถักที่ผมเคยพาดหลังมัน ผมเอาอานแขวนไว้บนเสาของบ้านพักเป็นที่ระลึก ความหนาวยังไม่จบสิ้น ในเขตต่อต้าน, ตกค่ำผมมุดเข้าไปนอนขดอยูในกระเป๋าปอถักของเจ้าเถียดมะ ซึ่งยังอุ่นด้วยกลิ่นอายของมันอยู่ ผมฝันถึงม้าตัวใหม่ ผมมองเห็นหมู่ทหารม้าวิ่งเข้าประจัญบานกับศัตรูด้วยดาบที่กระชากยาวปร๊าดออกจาฝัก |
......ผมยังจำคำของพี่เลียนไว้เสมอ: |
......"เธออีกหน่อยก็จะโต, กองทัพของเราจะเข้มแข็ง, แล้วเธอจะได้เป็นทหารม้า ตอนนั้นแหละก็จะได้ม้าใหม่อีกตัว" |