ดาวซิริอุส (SIRIUS)
อินทรีย์ยักษ์ผู้ไล่ล่า
นานหลายพันปีมาแล้วพวกไวกิ้งหรือนอร์สแมน
(Vikinings or Norseman) ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศยุโรปทางเหนือ แถวประเทศนอรเวย์
สวีเดนในปัจจุบันพวกไวกิ้งเป็นนักเดินเรือที่เก่งมาก และชอบการท่องเที่ยวผจญภัย
ไวกิ้งได้ท่องเที่ยวไปถึงไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์ (Iceland & Greenland)
และอาจเลยไปถึงโลกใหม่คือทวีปอเมริกาเลยที่เดียว พวกไวกิ้งมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับเทพเจ้าของพวกเขา
โอดิน (Odin) เป็นชื่อเทพเจ้าที่ใหญ่ที่สุดของพวกไวกิ้ง เป็นเทพเจ้าแห่งความฉลาดและเป็นพ่อของเทพเจ้าทั้งหลาย ธอร์ (Thor) เทพเจ้าแห่งสายฟ้ามีขวานฟ้าเป็นอาวุธและรักการต่อสู้กับยักษ์น้ำแข็ง ฟรายย่า (Freya) เทพเจ้าแห่งความรักผู้มีความงดงาม หรือ โลวกี (Loki) ผู้ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตมากับเหล่าเทพเจ้า เป็นชายหนุ่มรูปงาม หล่อเหลา แต่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต เต็มไปด้วยความร้ายกาจและเล่ห์เหลี่ยมและนี่คือเรื่องเล่าหนึ่งของพวกไวกิ้ง วันหนึ่ง โลวกี โอดิน และเทพอีกองค์หนึ่งชื่อว่า โฮเนียร์ (Honir) กำลังย่างเนื้อเพื่อกินเป็นอาหารมื้อเย็น ได้มันกอินทรีย์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโฉบลงมาจิกเอาก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ที่ดีที่สุดติดอุ้งเล็บไป โลวกีได้ใช้ไม้ปลายแหลมแทงติดตัวอินทรีย์ นกอินทรีย์ใหญ่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทั้งที่มีไม้ปลายแหลมปักติดรวมทั้งโลวกีที่เกาะติดไปกับไม้นั้นด้วย ที่จริงแล้วนกอินทรีย์ใหญ่ตัวนั้นเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ธีอาซี่ (Thiazi) แปลงตัวมา ยักษ์ธีอาซี่ไม่ยอมปล่อยโลวกีจนกระทั่งโลวกีสัญญาว่าจะนำเทพธิดา อีดูน(Idun) พร้อมด้วยตระกร้าที่มีแอบเปิ้ลทองคำมาให้ยักษ์ธีอาซี่จึงได้ยอมปล่อยตัวโลวกีให้เป็นอิสระ และผลแอบเปิ้ลทองคำของอีดูนที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ผลไม่ธรรมดา หากแต่ผลไม้วิเศษที่เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์กินแล้วทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล ไม่รู้จักแก่เฒ่า โลวกีซึ่งเป็นคนรูปหล่อมีเสน่ห์ได้ชักกชวนเทพธิดาอีดูนให้ไปเดินเล่นด้วยกัน โลวกีพาเทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานสายรุ้งซึ่งเป็นเขตแดนแยกระหว่างดินแดนของเหล่าเทพเจ้าและแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ทันทีที่เทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานพ้นออกมาจากเขตแดนสวรรค์ที่เรียกว่าแอสการ์ด นกอินทรีย์ได้โฉบลงจับตัวพาไปยังถิ่นที่อยู่ของมันซึ่งเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อขาดเทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษ เหล่าเทพเจ้าในแอสการ์ดก็เริ่มแก่เฒ่า ผมที่เริ่มมีสีแดงของธอร์ก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ขวานฟ้าที่ขว้างออกไปก็ไม่ไกลจากที่เป็นรวมทั้งความแม่นยำก็ลดน้อยลงไปด้วย เทพโดอินก็เริ่มหูอื้อฟังอะไรไม่ชัดเจนดังเดิม ฟรายย่าเทพแห่งความรักและความงามที่มีผมสีทองสุกปลั่งก็เริ่มมีแสงสีเงินแซมขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเลวร้ายขึ้นเป็นลำดับ ความหนาวเย็นและน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลกทางเหนือได้เริ่มขยายตัวออกแผ่กระจายไปทั่วโลก "สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเจ้าและเจ้าจะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น" โอดินกล่าวกับโลวกี ด้วยเหตุนี้ โลวกีจึงได้แปลงร่างเป็นนกเหยี่ยวขนาดเล็กบินออกจากแอสการ์ดตรงไปยังถิ่นที่อยู่ของยักษ์เพื่อจะสืบดูเหตุการณ์ว่าจะสามารถจัดการได้อย่างไร เมื่อโลวกีได้เดินทางไปถึงปราสาทของยักษ์ธีอาซี่ พอดีกับที่เจ้ายักษ์ธีอาซี่ไม่อยู่ โลวกีในร่างของเหยี่ยวตัวน้องจึงได้บินผ่านหน้าต่างเข้าไปยังปราสาท พบเทพธิดาอีดูนกำลังร้องไห้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ในปราสาทแห่งนั้น โลวกีในร่างของเหยี่ยวน้อยได้จัดการแปลงร่างของเทพธิดาอีดูนให้เป็นเมล็ดถั่วแล้วจึงใช้ปากคาบพาบินออกมาทางหน้าต่าง แต่ทว่าก่อนที่โลวกีจะพาเทพธิดาอีดูนกลับมาถึงแอสการ์ด ยักษ์ธีอาซี่ได้กลับไปถึงปราสาทและพบว่าเทพธิดาอีดูนได้หายไปแล้ว ยักษ์ธีอาซี่ได้แปลงรี่างเป็นนกอินทรีย์ยักษ์บินตามเหยี่ยวโลวกีไปอย่างโลวกีด้วยความโกรธ เทพเจ้าทั้งหลายบนแอสการ์ดรู้เหตุการณ์และมองเห็นนกทั้งสองตัวบินไล่กันมาแต่ไกลเจ้านกอินทรีย์ยักษ์บินเข้าหาเหยี่ยวน้อยอย่างรวดเร็วและก่อนที่อินทรีย์ยักษ์จะถึงตัวเหยี่ยวน้อย เหล่าเทพเจ้าได้นำกิ่งไม้และใบไม้จำนวนมากมากองขวางไว้ตามกำแพงของแอสการ์ด เมื่อเหยี่ยวโลวกีบินผ่านจึงได้ช่วยกันจุดไฟขวางกั้นนกอินทรีย์ยักษ์ไว้ไม่ให้บินผ่านไป นกอินทรีย์ยักษ์บินตามมาด้วยความเร็วไม่อาจหยุดได้ทันท่วงทีจึงได้รับบาดเจ็บเพราะโดยไฟบินถลาผ่านเขตแดนกั้นตกลงในเขตแดนของแอสการ์ดและถูกเทพเจ้าฆ่าตาย เทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษจึงกลับคืนสู่แอสการ์ดอีกครั้งหนึ่ง ฟังดูเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่ยักษ์ธีอาซี่ก็ยังมีผู้ที่รักอยู่ ลูกสาวของธีอาซี่เมื่อรู้ว่าพ่อตายจึงได้เดินทางไปแอสการ์ดเพื่อขอความยุติธรรม เพื่อให้ความยุติธรรมและเป็นที่พอใจต่อบุตรสาวของธีอาซี่ เทพโอดินจึงนำธีอาซี่ไปไว้ในท้องฟ้า เพื่อให้คนบนโลกได้มองเห็น ธีอาซี่จึงได้กลายเป็นดวงดาวหนึ่งในท้องฟ้าก็คือ ดาวซีริอัส (SIRIUS) ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้านั่นเอง |
20 / 12 / 42