กลุ่มดาว
6 กลุ่มนี้อยู่ใกล้กันในบริเวณท้องฟ้าแถบเหนือ : มีนิยายเกี่ยวข้องกันอยู่ในวรรณคดีกรีกตั้งแต่
500 ปีก่อนคริสต์ศักราชมาแล้ว ชื่อกลุ่มดาว 6 กลุ่มเกี่ยวข้องกันดังต่อไปนี้
กาลครั้งหนึ่งกษัตรย์ อะคริซิอุส
(Acrisius) แห่งนคร อาร์กอส (Argos)
ทรงมีความทุกข์ เพราะไม่มีราชโอรส พระองค์ทรงมีแต่ราชธิดาสิริโฉมงามยิ่ง
ชื่อ แดนนี่ (Danae) องค์เดียวแม้จะทรงไปอ้อนวอนจอมเทพ
อะพอลโล (Apollo) เพื่อประทานราชโอรส ก็ได้รับคำปฏิเสธโดยสิ้นเชิงและยังทรงเตือนไว้ด้วยว่า
ไม่เพียงแต่จะไม่มีราชโอรสเท่านั้น หากธิดาแสนสวยมีบุตรชายเมื่อใด จงระวังบุตรชายของนาง
หรือหลานชายนั่นแหล่ะจะฆ่าท่านให้ถึงตาย เมื่อกษัตริย์อะคริซิอุสทรงทราบเช่นนี้
ก็ทรงคิดกำจัดราชธิดา ครั้นจะใช้วิธีฆ่าฟัน พระทัยก็ไม่แข็งพอที่จะทรงกระทำได้
จึงทรงเพียงสั่งกักบริเวณให้อยู่ในห้องทำด้วยโลหะสร้างลึกลงไปใต้ดิน มีแต่หลังคาโผล่พ้นขึ้นมา
พระนางแดนนีจำต้องอยู่ในห้องนี้เป็นเวลานาน วันหนึ่งเกิดปรากฏการณ์ประหลาด
มีฝนทองคำร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าหลั่งไหลเข้าไปในห้องที่ขังพระนาง แล้วฝนนั้นแปลงรูปเป็นเทพยเจ้า
ซีอุส (Zeus) สมสู่อยู่กับพระนางแดนนี จนทรงคลอดโอรสชื่อ
เปอร์ซิอุส (Perseus)
เมื่อกษัตริย์อะคริซิอุสทรงทราบ ก็ทรงนึกถึงคำของจอมเทพอะพอลโลว่า หลานชายคนนี้เติบใหญ่ขึ้นมาจะฆ่าพระองค์
จึงได้จับพระนางแดนนีและเปอร์ซิอุสใส่หีบลงเรือให้ลอยไปตามยถากรรม เรือลอยลำตามกระแสน้ำไปเกยตื้นของเกาะแห่งหนึ่ง
มีชาวประมงใจอารีชื่อ ดิคติส (Dictys) มาพบเข้า
เมื่องัดหีบเอาสองแม่ลูกออกมาแล้วก็พาไปอยู่กับภรรยา สองตายายเลี้ยงดูพระนางและเปอร์ซิอุสด้วยความปราณีดุจลูกหลานในไส้
กาลเวลาผ่านไปจนเปอร์ซิอุสเติบใหญ่ขึ้น เมื่อความล่วงรู้ไปถึง โปลีเดคเตส
(Polydectes) ซึ่งเป็นผู้ครองเกาะและเป็นพี่ของพ่อเฒ่าดิคเตส มีความลุ่มหลงในความงามอยากได้แดนนีมาเป็นภรรยาและคิดจะกำจัดเปอร์ซิอุส
วันหนึ่งโปลีเดคเตสจึงปรารภกับเปอร์ซิอุสว่า
มีอสุรกายร้ายกาจฤทธิ์เดชมาก 3 ตน ชื่อ สะเธโน (Stheno)
ยูรีเอล (Euryale) และ เมดุซ่า (Medusa)
เรียกว่าพวก กอร์กอนส์ (Gorgons) อาศัยอยู่บนเกาะซาปิดอน
เขาอยากได้หัวของอสุรกายสักหัวหนึ่งยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก พร้อมกันนั้นก็บอกวันกำหนดประกาศหมั้นกับแดนนี
และขอเชิญเปอร์ซิอุสไปร่วมงานด้วย เมื่อถึงวันกำหนดบรรดาแขกที่ได้รับเชิญต่างก็จัดหาของขวัญนานาชนิดมาให้เจ้าภาพ
เว้นแต่เปอร์ซิอุสไม่มีอะไรติดมือมาเลยเขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงประกาศด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นหนุ่มที่ห้าวหาญว่า
เขาจะมอบสิ่งล้ำค่าคือ หัวของเมดุซ่า ซึ่งเป็นอสุรกายตัวเมียดุร้ายในพวกกอร์กอนส์
แขกแหรื่อที่ได้ยินคำประกาศต่างก็ตระหนกตกใจมาก เพราะเมดุซ่าเป็นอสุรกายที่มีฤทธิ์เดชเหลือหลาย
บนหัวมีงูร้ายเป็นเส้นผม เพียงใครเหลือบมองคนนั้นจะกลายเป็นหินไปในบัดดล
สิ้นเสียงประกาศแล้วเปอร์ซิอุสเดินอย่างองอาจออกไปท่ามกลางผู้คนที่กำลังตะลึงในความห้าวหาญของเขา
เขาลงเรือแล่นตรงไปกรีกถามหาอสุรกายว่ามีที่หลบซ่อนอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครทราบจึงเดินทางเรื่อยไปจนพบ
เฮอร์เมส (Hermes) ซึ่งอาสาเป็นผู้นำทางและเตือนว่าจะต้องมีอาวุธอย่างดีครบครัน
พร้อมกับพาหนะที่จะช่วยให้หนีอย่างรวดเร็ว เฮอร์เมสจึงให้ดายคมกริบอย่างดีและรองเท้าปีกสวมเหาะเหินเดินอากาศได้
เมื่อเฮอร์เมสพาไปพบเทพี เอเธนา (Pollas Athena)
ก็ได้รับโล่ขัดมันวาวสำหรับใช้สะท้อนแสงดูเมดุซ่าแทนการมองดูตรงๆ
เพื่อจะไม่ต้องกลายเป็นหิน แล้วเฮอร์เมสก็พาข้ามทะเลไปยังเกาะสาวสยองขวัญ
(Terrible Sister's Island) อันเป็นที่อยู่ของพวกอสุรกาย
นับว่าโชคดีมาก ขณะเปอร์ซิอุสไปถึงเป็นเวลาที่พวกอสุรกากำลังหลับ
เปอร์ซิอุสจึงใช้โล่ขัดมันเป็นเครื่องสะท้อนแสงตรวจดูเห็นอสุรกายเหล่านี้ต่างก็มีเส้นผมเป็นงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มหัว
และมีเกล็ดแข็งหนาหุ้มอยู่รอบตัวเหมือนกันไปหมดเมื่อเฮอร์เมสกระซิบบอกให้ว่าอสุรกายตนใดคือเมดุซ่า
ซึ่งเป็นอสุรกายที่จะฟาดฟันให้ตายได้ เปอร์ซิอุสจึงสวมรองเท้าปีกส่วนตานั้นจองเขม็งอยู่ที่โล่และล่องลอยเข้าใกล้เมดุซ่า
เมื่อได้ทีก็เงื้อดาบอันคมกริบตัดคอหลุดจากบ่า เลือดเมดุซ่าที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นม้าลอยตระหง่านอยู่
เปอร์ซิอุสจึงคว้าหัวเมดุซ่าขึ้นม้าปีกเหาะหนีเหล่าอสุรกายได้ แล้วอำลาเฮอร์เมสมุ่งหน้ากลับบ้าน
ขณะที่เปอร์ซิอุสขี่ม้าปีกเหาะข้ามทะเล ใกล้จะถึงนครเอธิโอเปียมองเห็นสาวงามถูกล่ามโซ่ติดอยู่ที่ชายหาด
และกลางทะเลนั้นมีปลาวาฬร้ายเวียนว่ายอยู่ เมื่อลงมาเจรจากันจึงทราบว่าน้องนางชื่อ
แอนโดรมิดา (Andromeda) ธิดาสาวแห่งพระเจ้า
เซฟิอุส (Cepheus) กับพระนาง แคสซิโอเปีย
(Cassiopeia) ผู้ครองนครเอธิโอเปีย การที่แอนโดรมิดา ต้องถูกล่ามโซ่รอให้ปลาวาฬร้าย
(Cetus) ขึ้นมากิน เพราะแคสซิโอเปียผู้เป็นมารดาชอบโอ้อวดว่า แอนโดรมิดามีสิริโฉมงดงามยิ่งกว่าธิดาของ
เนเรอุส (Nereus) ซึ่งทำให้เทพยเจ้าแห่งทะเลกริ้วเป็นอย่างยิ่งถึงกับกำหนดโทษให้แคสซิโอเปียนั่งเก้าอี้ไม่มีพนัก
ห้อยเท้าเปล่าตลอดไป และจะต้องยกแอนโดรมิดาเป็นเครื่องสังเวยแก่ปลาวาฬ
มิฉะนั้นจะส่วนสัตว์ป่ามากินผู้คนพลเมืองให้หมดเกาะ แอนโดรมิดาจึงยอมสละชีวิตเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
เมื่อเปอร์ซิอุสได้สนทนาพาทีกับแอนโดรมิดา
ก็เกิดความสงสารจึงอาสาจะช่วยโดยขอแต่ให้หลับตานิ่งเฉย เปอร์ซิอุสเตรียมตัวพร้อมอยู่ใกล้ๆ
พอเห็นปลาวาฬร้ายโผล่พ้นน้ำขึ้นมาก็ชูหัวของเมดุซ่าขึ้น ทันทีที่ปลาวาฬมองมายังหัวเมดุซ่า
ร่างของปลาวาฬก็กลายเป็นหินไป เสร็จจาการปราบปลาวาฬร้ายแล้ว เปอร์ซิอุสจึงปลดเปลื้องโซ่และพาแอนโดรมิดากลับบ้านกลับเมืองเพื่อสู่ขอเป็นภริยา
บิดามารดาแอนโดรมิดาเรื่องโดยตลอดจึงเต็มใจยกให้ด้วยความปีติยินดี แล้วทั้งสองก็ทูลลาเพื่อเดินทางกลับไปหาแดนนีผู้เป็นมารดา
ครั้นเปอร์ซิอุสและแอนโดรมิดาพากันลงเรือมาถึงบ้านชาวประมงที่เคยอาศัยมาแต่เล็กน้อย
ปรากฏว่าไม่พบใครเลยภรรยาชาวประมงผู้มีใจอารีสิ้นชีวิตไปนานแล้ว พ่อเฒ่าซึ่งเลี้ยงดูเขาดุจบิดาบังเกิดเกล้าก็ไม่อยู่
แม้แดนนีผู้มารดาก็หลบหนีไปอยู่ที่อื่น เพราะนางไม่ยอมแต่งงานกับผู้ครองเกาะใจร้ายนั้น
จนเมื่อเปอร์ซิอุสมีโอกาสไปร่วมสโมสรของผู้ครองเกาะ พอย่างเข้าสู่ท้องพระโรงและทุกคนมองมาที่ตัวเขาแล้ว
เขาจึงชูหัวของเมดุซ่าขึ้น ทำให้ผู้ครองเกาะและข้าราชบริพารที่ร่วมอยู่
ณ ที่นั้นกลายร่างเป็นตุ๊กตาหินไปหมด ครั้งแล้วเปอร์ซิอุสพระนางแดนนีและแอนโดรมิดาก็พากันกลับเมืองอาร์กอสเพื่อเยี่ยมกษัตริย์อะคริซิอุสผู้เป็นพระเจ้าตา
พอถึงเมืองอาร์กอสได้ข่าวว่าพระเจ้าตาถูกขับออกจากเมือง ไม่ทราบว่าระเหเร่ร่อนไปอยู่แห่งใดระหว่างนั้นกษัตริย์แห่ง
นครลาริสสา (Larissa) ซึ่งอยู่ทางเหนือนครอาร์กอส
กำลังจัดงานประลองฝีมือ เปอร์ซิอุสจึงเดินทางไปร่วมประลองการพุ่งแหลน ปรากฏว่าแหลนของเขาไปตกท่ามกลางผู้ชมคนและปักอกชายคนหนึ่งถึงแก่ความตาย
เมื่อเข้าไปดูศพจึงทราบว่าผู้เคราะห์ร้ายนั้นคือ กษัตริย์อะคริซิอุสผู้เป็นคุณตาของเขาและสุดที่จะแก้ไขประการใดได้
นับว่าเป็นไปตามคำทำนายของเทพยเจ้าอะพอลโลที่ทรงกล่าวไว้แต่หนหลัง เสร็จจากการได้ชัยชนะจากการประลองฝีมือก็กลับมาอยู่กับแอนโดรมิดาด้วยความผาสุก
|