การพูดเป็นศิลปอันหนึ่ง เรียกว่า ว า ท ศิ ล ป ซึ่งเรารู้จักกันมานานมากแล้ว
แต่ดูเหมือนเราจะยังไม่ทราบกันทั่วไปว่า
ก า ร ฟั ง เ ป็ น ศิ ล ป อั น ห นึ่ ง ซึ่งถึงแม้จะไม่มีชื่อพิเศษอะไรที่จะเรียกกันให้ไพเราะอย่างวาทศิลป์ก็ดี ศิลปของการฟังก็สำคัญเท่าๆ กับศิลปแห่งการพูด และมีตัวอย่างหลายเรื่อง ที่แสดงให้เห็นว่า ศิลปแห่งการฟังนั้น ถ้าเราใช้ให้ดีก็จะได้ผลดีไม่น้อยกว่าศิลปแห่งการพูด ก า ร พู ด ดี
อาจเป็นเครื่องจูงใจให้คนนิยมและบันดาลผลสำเร็จให้มาก แต่ถ้าพูดมากเกินไป
ส่วนศิลปแห่งการฟังนั้น ไม่มีทางที่จะให้เกิดผลร้ายแต่อย่างใด แต่ "ศิลปแห่งการฟัง"
นั้น ไม่ได้หมายถึงการนั่งนิ่งปล่อยให้คนอื่นพูดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็ฟังเหมือนฟังเทศน์
การทำเช่นนั้น ง่ายเกินกว่าที่จะนับว่าเป็นศิลปะ
ศิ ล ป แ ห่ ง ก า ร ฟั ง
ห ม า ย ถึ ง
ความสามารถที่จะชักจูงผู้พูด ให้หันเข้าไปหาเรื่องที่เขาถนัดที่สุด
แล้วก็แสดงให้เขาเห็นว่า
ตนฟังคำพูดของเขาด้วยความตั้งใจ อยากรู้อยากฟังจริงๆ
รู้ จั ก สอดคำถามในโอกาสที่เหมาะ
หรือแสดงให้เขาเห็นว่าตั้งใจ นี่แหละคือศิลปะแห่งการฟัง
XX ศิลปผิดกับวิทยา XX
วิทยา แต่ ศิลป ต้องอาศัยไหวพริบ และความคิดประดิษฐ์ จะวางกฏตายตัวอะไรไม่ได้ถนัด ฉะนั้น เราก็ไม่สามารถจะวางกฏเกณฑ์อันแน่ชัดว่า วิธีใช้ศิลปแห่งการฟัง ควรทำอย่างไร? ทางที่ดีที่สุดควรจะลองหาตัวอย่างต่างๆ มาค่อยๆ พิจารณากันดูเป็นเรื่องๆ ไป
|