POMPOKO SENSEI 's KNOWLEDGE


เรื่องสำหรับคนช่างสงสัย : ทำไมต้องอ่าน "ฮะ" ว่า "วะ" ตอนเป็นคำช่วย (5/2003)

กระทู้เกิดจากคำถามที่อ่านเจอในเว็บปลาดิบครับ มีคนสงสัยว่าทำไมต้องอ่าน "ฮะ" ว่า "วะ" ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าคนช่างสงสัยจำนวนไม่น้อยคงงง แต่พอครูเอ็ดว่า จำๆ ไปเถอะ ก็เลยเลยตามเลยว่า ถ้ามันเป็นคำช่วยก็อ่านแบบพิเศษหน่อยละกัน
ที่จริงเรื่องมันก็มีมูลแหละครับ เลยจะขอเขียนเล่าให้ฟัง
ย้ำอีกทีครับว่าสำหรับคนช่างสงสัยจริงๆ ไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับการเรียนภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่ครับ
-----------------------------------------------

เรื่องมีอยู่ว่า....
ตัวคานะที่คนญี่ปุ่นใช้ทุกวันนี้ใช้วิธีเขียนแบบปัจจุบันซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้อ่านง่าย นั่นหมายความว่าตัวคานะสมัยก่อนมีกฎเกณฑ์ที่สลับซับซ้อนมากกว่าเดี๋ยวนี้อยู่มาก
ตัวอักษรวรรค "ฮะ" HA HI HU HE HO
สมัยปัจจุบันอ่านว่า ha hi hu he ho ตามลำดับ (ตัว hu เขียนเป็นโรมันจิว่า fu แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เสียง f ครับ)
สมัยอดีต แบ่งวิธีการอ่านเป็นสองกรณี
กรณีแรก ถ้าตัวอักษรอยู่พยางค์หน้าจะอ่านว่า ha hi hu he ho ตามลำดับ
กรณีที่สอง ถ้าตัวอักษรอยู่พยางค์กลางหรือท้ายของคำจะอ่านว่า wa i u e o ตามลำดับ
ยกตัวอย่างเช่น HOHERU อ่านว่า ho-e-ru, SHIHASU อ่านว่า shi-wa-su
ด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาคำช่วยซึ่งอยู่ท้ายคำนามตลอดเวลาว่าเป็นอยู่พยางค์ท้ายของคำ จึงอ่าน HA -> wa, HE -> e กรณีเป็นคำช่วย ด้วยประการฉะนี้
ช่วงหลังสงครามเมื่ออเมริกาเข้ามาในญี่ปุ่น ได้เกิดการปฏิรูประบบตัวเขียนญี่ปุ่นให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น จึงให้อ่านแบบเดียวกันหมดคือ ha hi hu he ho ยกเว้นคำช่วยเท่านั้นที่ยังคงกฎเดิมไว้
หากสังเกตจะพบว่า ในภาษาญี่ปุ่นแท้ไม่มีคำเดี่ยวใดที่มีพยางค์ท้ายลงท้ายด้วยวรรคนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแต่เดิมออกเสียงว่า wa i u e o เมื่อมีการเปลี่ยนกฎกันใหม่ คำดังกล่าวจึงใช้ตัวอักษร WA I U E O แทน
อย่างไรก็ตามมีคำยกเว้นคือ กรณีที่เป็นคำเดี่ยวประเภทซ้ำเสียง มีสองคำเท่านั้น คือ HAHA (แม่), HOHO(แก้ม - บางคนอ่านว่า "โฮะโอะ" ตามอิทธิพลกฎเดิม)
------------------------------

สำหรับคำช่วย WO เดิมอ่านว่า wo แต่ปัจจุบันอ่านว่า o น่าจะเกิดจากเสียง "โวะ" และ "โอ๊ะ" ในภาษาญี่ปุ่นนั้นแยกยาก เมื่อคำช่วยอยู่ท้ายคำนามเสียงดังกล่าวจึงกลายเป็น "โอ๊ะ" ในปัจจุบัน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่บางท่านก็ยังออก "โวะ" อย่าลืมนะครับว่าคนญี่ปุ่นเวลาเขาออกเสียงปากเขาจะไม่เปิดกว้างเหมือนคนไทยเสียงจึงคล้ายคลึงกันมาก
------------------------------

ตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนกฎการเขียนแล้วมีผลต่อเสียงอ่าน เช่น คำว่า JUU ที่แปลว่าสิบ ในสมัยโบราณไม่ได้เขียนว่า JIyuU แต่เขียนว่า JIU เมื่อไปบวกกับคำอื่นเช่น SAI อายุ เกิดการเปลี่ยน U -> tsu (ทสึเล็ก) ตามไวยากรณ์ตั้งต้น อ่านได้ว่า jissai แต่ในความเป็นจริงควรจะเป็น jussai สมัยหนึ่ง NHK อ่านคำดังกล่าวว่า jissai แต่ว่าคนทั่วไปอ่านกันว่า jussai ปัจจุบันต่างยอมรับที่จะอ่านว่า jussai มากกว่า jissai

 


ห้องส้วมกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม (สืบเนื่องจากกระทู้H2219845) (3/2003)

จากคำถามในกระทู้H2219845 ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจอยากให้รายละเอียดเกี่ยวกับห้องส้วมครับ เนื่องจากเนื้อหาอาจจะนอกเรื่องจากที่ถามในกระทู้ดังกล่าวเลยขอมาตั้งเป็นอีกกระทู้ แนะนำวัฒนธรรมที่มองผ่านห้องส้วม

๑. คนไทยเรียก "ห้องส้วม" ว่า "ห้องน้ำ" เพราะส้วมมักอยู่ในห้องน้ำ เมื่อไหร่ที่จะเข้าไปอาบน้ำก็จะถือโอกาสถ่ายทุกข์ บางคนตั้งใจจะเข้าไปถ่ายทุกข์แต่ดันถอดเสื้อผ้าหมดเลยเพราะนึกว่าจะอาบน้ำด้วย เพราะห้องน้ำคือที่ที่จะมีความสุขและปลดเปลื้องความทุกข์
แต่คนญี่ปุ่นแยก "ห้องส้วม" (โทอิเระ, เบงโจะ) ออกจากห้องน้ำ เพราะห้องน้ำคือที่ที่จะมีความสุข ได้ทอดหุ่ยจุ่มตัวอยู่ในอ่างน้ำ (โอฟุโระ) แต่ถ้ามีส้วมอยู่คงเหม็นจนหาความสุขไม่ได้ บ้านที่มีห้องส้วมแต่ไม่มีห้องน้ำก็มีอยู่มาก

๒. ส้วมไทยมีแบบส้วมนั่งยองและส้วมนั่งแบบฝรั่ง ส้วมญี่ปุ่นปัจจุบันก็มีสองแบบคือนั่งยองและส้วมนั่งแบบฝรั่ง แต่วิธีนั่งไม่เหมือนกัน ส้วมไทยจะนั่งให้หลุมอยู่ตรงก้น ส่วนส้วมญี่ปุ่นจะมีฝาครอบด้านหนึ่ง เวลาถ่ายทุกข์จะหันหน้าเข้าฝาครอบเพื่อเวลาปัสสาวะจะได้ไม่กระเด็นไปไหน
ส่วนส้วมฝรั่งเป็นแบบนั่งอยู่กับที่ ส้วมนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับคนไทยเพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่เป็นปัญหาสำหรับคนญี่ปุ่นเพราะเวลาหน้าหนาว แค่นั่งก็ผวาแล้ว เพราะมันเย็นเฉียบ จึงต้องมีทำให้ฝารองนั่งอุ่น ถ้าบ้านไหนงบน้อยก็จะหาผ้ามาคลุมครอบฝารองนั่งจะได้ไม่ผวา
ส้วมแบบนั่งยองของไทยและญี่ปุ่นมีจุดดีที่ไม่มีส่วนใดของร่างกาย (หมายถึงบริเวณก้น) สัมผัสส้วมจึงไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อโรค แต่ส้วมแบบฝรั่งถ้าไปอยู่ในที่สาธารณะ จะมีก้นหลายก้นนั่งแล้วนั่งอีก มีสิทธิจะติดโรคอะไรกันได้ ซึ่งคนไทยเราไม่ค่อยถือ แต่ฝรั่งจะถือมาก จึงมีกระดาษรองฝารองก้นอีกที เวลาจะนั่งต้องเอากระดาษรองก่อน ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง ผมเคยดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง นักเรียนถูกเพื่อนแกล้งโดยเพื่อนแอบเอากระดาษรองก้นไปซ่อน นักเรียนคนนั้นเข้าส้วมแล้วจะนั่งแต่ไม่มีกระดาษรองก้นก็ลุกลี้ลุกลนแจ้นออกไป ถ้านักเรียนคนนั้นเป็นคนไทยคงนั่งส้วมไปแล้ว ความคิดในเรื่องอนามัยเช่นนี้มีปรากฏในสถานที่สาธารณะของญี่ปุ่นบางที่ด้วย เช่น ห้าง (เคยเห็นที่เดียว) โรงแรม อาจจะมีกระดาษรองก้น (รูปวงแหวน) ด้วย

๓. การชำระล้างหลังเสร็จกิจธุระสำคัญ โดยปกติที่เมืองไทยจะไม่ค่อยมีกระดาษชำระเตรียมไว้ให้ เพราะคนไทยบางคนชอบขโมยกลับบ้าน เลยต้องมากดกระดาษชำระกล่องละสองสามบาทมาใช้ แต่ใช้กระดาษก็อาจจะไม่สะอาดเท่ากับการล้างก้นด้วยน้ำ คนไทยเราชินกับการล้างก้นด้วยน้ำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนญี่ปุ่นบางคนตื่นตาตื่นใจกับวิธีล้างก้นโดยใช้ขันตักน้ำแล้วเล็งการสาดน้ำดีๆ ให้ถูกเป้าหมาย มายุคปัจจุบันหลายๆ ที่จะมีสายฉีดน้ำ ล้างได้ดี สำหรับที่ญี่ปุ่นส้วมที่พัฒนาไประดับนึงแล้วจะมีระบบฉีดน้ำจากส้วมเลย แน่นอนว่าจะอุ่นให้เป็นน้ำอุ่นก่อนก็ได้ เวลาเข้าส้วมหน้าหนาวจะได้ไม่ผวา ยิ่งระบบฉีดน้ำรุ่นใหม่ๆ จะมีระบบฉีดน้ำสองแบบคือ โอชิริ (ฉีดก้น) และ บิเดะ (ฉีดของผู้หญิง - ส่วนข跋งผู้ชายไม่ต้องฉีด) (มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า Bidet) เลือกให้ถูกนะครับ หัวฉีดน้ำเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า โนะซุรุ โซจิ (โนะซุรุ (นอซเซิล - หัวฉีด) + โซจิ (ทำความสะอาด)) แต่ตามปกติเนื่องจากส้วมนั่งแบบฝรั่งแบบเก่าไม่มีระบบส่งน้ำมาที่หัวฉีดด้วย หลายบ้านจึงต้องมีกระดาษชำระไว้ให้

๔. เมื่อใช้งานเสร็จแล้ว ส้วมญี่ปุ่นบางที่จะมีให้เลือกบิดน้ำล้าง เขียนเป็นตัวจีนว่า ไท และ โช ถ้าถ่ายหนักก็กดไท น้ำจะออกมามาก ถ้าเลือกโช น้ำจะออกมาน้อย ใช้กรณีถ่ายเบา เป็นวิธีประหยัดน้ำที่บ้านเราน่าจะใช้เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีสายท่อน้า ให้น้ำใหม่ที่จะมาแทนน้ำเดิมที่ใช้ ออกมาข้างนอกให้เราใช้ล้างมือแล้วน้ำจะลงไปที่โถชักโครกอีกทีกลายเป็นน้ำล้างอีกต่อหนึ่ง ช่างคิดจริงๆ นับถือมาก

หมายเหตุว่าด้วยเรื่องกระดาษชำระ ถ้าคนไทยพูดว่าทิชชู่จะมีหลายแบบ มีทั้งแบบม้วนและแบบแผ่น แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วกระดาษทิชชู่แบบม้วนจะใช้ในห้องน้ำเท่านั้น เรียกว่า "โทอิเรตโตะเปป้า" คนญี่ปุ่นจึงอาจจะประหลาดใจเมื่อเห็นกระดาษดังกล่าววางบนโต๊ะอาหารในเมืองไทย อนึ่งตัวจีนคำว่า "เทงามิ" ที่แปลว่า "จดหมาย" ในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่า "กระดาษทิชชู่" (เช็ดก้นอย่างเดียวหรือเปล่าไม่แน่ใจ) ในภาษาจีนกลาง

ขอเสริมอีกนิดเรื่องกระดาษชำระครับว่า ในห้องน้ำญี่ปุ่นโดยปกติเขาจะไม่มีถังขยะใส่กระดาษชำระที่ใช้แล้วหรอกครับ เพราะมันจะเหม็น แต่ใช้เสร็จก็จะโยนลงโถส้วมไปเลย แต่ว่ากระดาษทิชชู่สำหรับใช้ในห้องน้ำแผ่นจะบางกว่าบ้านเรา แล้วก็ย่อยสลายง่าย แต่ก็ต้องระวังอย่าพันทบกันหลายรอบมาก ไม่งั้นท่อจะอุดตันครับ
 


คำทิ้งช่วง (11/2002)

คำทิ้งช่วง ก็คือ คำที่ใช้พูดเวลาที่ผู้พูดกำลังอยู่ในการคำนวณ การคิดว่าจะพูดอะไร สาเหตุที่ต้องมีคำทิ้งช่วงก็เพราะว่า ผู้พูดต้องการแสดงให้ผู้ฟังเข้าใจว่าตนยังพูดไม่จบ ต้องการเพิ่มข้อมูลอะไรต่อมา คราวนี้เสนอ สามคำฮิต คือ

๑. "อะโหน่" คำนี้ถ้าจะพูดให้สุภาพมากขึ้น ก็เติม "เดสเน่-" ต่อท้ายอีก ลากยาวๆ ในระหว่างนั้นก็คิดไปด้วยว่าจะพูดอะไร ลักษณะพิเศษของ "อะโหน่" คือ มีท็อปปิคที่จะพูดแล้ว และต้องการเรียกร้องให้ผู้ฟังหันมาฟัง ซึ่งถ้าใช้ในระหว่างที่มีการสนทนาอยู่แล้ว ก็จะมีความหมายไปในทางที่ว่าผู้พูดต้องการขึ้นท็อปปิคใหม่ หรือต้องการค้านเนื้อหาที่มีอยู่เดิม นิยมใช้เวลาอยากจะเล่าเรื่องอะไรให้อีกฝ่ายฟัง จึงใช้เป็นคำเกริ่นเพื่อให้ผู้ฟังเตรียมรับฟังเรา เกิดโพล่งพูดอะไรไป ฝ่ายตรงข้ามอาจจะรับมือไม่ทัน

๒. "นั่งก่ะ" เขียนเป็นภาษาไทยแล้วประหลาดเล็กน้อย คำนี้ใช้แสดงอาการเอะใจซะมาก คนโตเกียวไม่ค่อยจะใช้เท่าไหร่ แต่คนแถบคันไซใช้นั่งก่ะ แทนอะโหน่เลย เราจึงพบตัวอย่างของ "นั่งก่ะ" น้อย แต่ถ้าดูทีวีก็จะเจอบ่อยๆ วิธีใช้นอกจากการเอะใจก็คือ การแสดงความรู้สึกว่าไม่รู้จะพูดยังไงดี เพราะฉะนั้นประโยคที่ตามหลัง "นั่งก่ะ" มาจึงเป็นข้อมูลดิบซะมาก เนื่องจากเป็นข้อมูลดิบ คนคันโตบางคนก็
อาจจะรับไม่ได้ นั่งก่ะ ในแถบนี้ก็เลยฟังแล้วไม่ลื่นหู แต่ถ้าใครไปคันไซจะเปลี่ยนไปใช้ "นั่งก่ะ" ก็ไม่ว่ากัน ที่สำคัญคือ ไม่มี "นั่งก่ะเดสเน่..." (อย่าไปใช้ล่ะ)

๓. "เอ...โตะ" เป็นคำที่เพราะที่สุดในบรรดาสามคำนี้ เวลาหัปเปียวแนะนำให้ใช้ เอ...โตะ แทนอะโหน่ หรือนั่งก่ะ (อาจารย์บอกมาอีกที) "เอ...โตะ" หรือบางทีก็ "เอ่..." เฉยๆ ก็ได้ ในกรณีสุภาพใช้ "เอโตะเดสเน่..." เป็นคำที่แสดงว่าเรากำลังใช้ความคิดเป็นหลัก บางครั้งใช้ทักให้ผู้ฟังหันมาสนใจสิ่งที่เราจะพูด เหมือนกับ "อะโหน่" แต่ว่าจะเบากว่าเพราะว่ามักใช้แสดงว่ากำลังใช้ความคิด ก็เลยดู
สุภาพ (เทียบกับภาษาไทย ก็เหมือนเราไม่พูดว่า "เฮ้ย" กับอาจารย์)

๓ ตัวนี้ยังเอามารวมกันได้ด้วย เป็น "นั่งก่ะ อะโหน่" ได้ แต่ "เอโต่.." โดยปกติจะไม่รวมกับใคร ถ้าเอามารวมแล้วความหมายอาจจะลดความสุภาพลงไป

ใช้กับใครดี

นั่งก่ะ ใช้กับเพื่อนๆ แนะนำให้ผู้ชายใช้

อะโหน่ ใช้กับเพื่อนๆ (สุภาพขึ้นมาอีกระดับ) แนะนำให้ผู้หญิงใช้
ใช้ในกรณีสุภาพ ผู้หญิงใช้ได้บ้าง

เอโต่ ใช้ในกรณีสุภาพทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

อันนี้ไม่มีกรอบกำหนดว่าเป็นผู้ชายต้องคำนี้ ผู้หญิงต้องคำนั้น แต่จากประสบการณ์ที่พบเห็น ผู้ชายนิยมใช้เอโต่...มากทั้งกรณีสุภาพและปกติ ถ้าใช้นั่งก่ะ ก็จะดูสนิทสนม แต่จะใช้อ่ะโหน่บ้างก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะรายละเอียดวิธีการใช้คำทั้งสามคำนี้มันแตกต่างกัน


1