สวัสดีครับ วันนี้เรามาทำความรู้จักสารก่อมะเร็งกันนะครับ ทุกท่านคงสังเกตได้ว่ามะเร็งเดี๋ยวนี้ดูเป็นเรื่องใกล้ตัวกันเหลือเกิน ได้ข่าวเรื่องนี้กันตลอดเวลา มะเร็งถือว่าเป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก และการเป็นมะเร็งก็ดูเป็นเรื่องเวรกรรม กันมากๆ แต่จริงๆแล้วมีหลายๆอย่างที่เราอาจจะระวังป้องกันได้ ถ้าเราทราบว่า อะไรเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และถ้าเราระวังเราก็อาจป้องกันได้ ในทางการแพทย์เราพบว่าสารก่อมะเร็งอาจเป็นสาเหตุโดยตรงที่จะเป็นมะเร็ง และอธิบายได้ในกลไกที่ชัดเจน แต่บางครั้งในทางสถิติเราพบว่าเกี่ยวกัน โดยไม่ทราบว่าสารเคมี ตัวไหนเป็นตัวออกฤทธิ์ได้ สารก่อมะเร็งที่เราควรทำความรู้จักมีดังนี้ครับ
1. บุหรี่
บุหรี่นับเป็นยอดฝีมือในการก่อโรคภัยไข้เจ็บ มีส่วนช่วยให้แพทย์มีงานทำอย่างชัดเจน นอกจากบุหรี่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และโรคถุงลม โป่งพองที่เรารู้จักกันดีแล้ว ก็ยังทำให้เป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นอีก 20 เท่า และยังทำให้เป็นมะเร็งคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร และกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย บุหรี่ไม่เพียงก่อมะเร็งในผู้สูบเท่านั้น ผู้ได้กลิ่นหรือใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ ก็มีความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดมากขึ้นด้วย ทำนองยิงปืนนัดเดียวได้มะเร็งหลายคน
2. สุรา
สุราแปลว่าเหล้า ที่เราทานกัน ก็คือ แอลกอฮอลล์ชนิด เอททิลแอลกอฮอล์ นอกจากจะเป็นพระเอกในเรื่องตับแข็งแล้ว เหล้ายังมีส่วนร่วมในอุบัติเหตุทุกชนิดในท้องถนน ถือเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ เป็นผู้สนับสนุนอุบัติเหตุทุกรูปแบบอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ เพราะเป็นเรื่องการทรงตัวโดยตรง เหล้าก่อให้เกิดมะเร็งตับ หลอดอาหาร และมะเร็งในระบบคอและจมูก
3. แสงแดด
แสงแดดถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งที่พบได้โดยไม่ต้องซื้อหา แสงแดดก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ มะเร็งผิวหนัง
4. ฮอร์โมนเอสโตรเจน
พบได้ในยาคุมกำเนิดทั่วไป และตอนนี้ที่กำลังฮือฮาคือ กวาวเครือ ก็ออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจนเช่นกัน กำลังสงสัยว่าอาจจะเสี่ยงเหมือนกับเอสโตรเจน จัดเป็นสารก่อมะเร็ง ตับ และมดลูก และสนับสนุนให้มะเร็งเต้านมเจริญเร็วได้ ดังนั้น ตามหลักแล้ว ผู้ที่จะใช้ฮอร์โมนต้องมีการตรวจหามะเร็งก่อน
5. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสชนิดนี้จะติดต่อโดยการบริจาคโลหิต การใช้ของเปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น มีดโกน แต่จะต้องร่วมกับการมีบาดแผลที่สัมผัสเลือดผู้ป่วยโดยตรง และติดโดยการร่วมเพศ และโชคดีที่ไม่ติดทางยุง ในการบริจาคโลหิตทั่วไปเขาจะเช็คโรคนี้เสมอ ดังนั้น คนเป็นโรคนี้จะไปบริจาคโลหิตเขาก็ไม่รับ และมักบอกว่าให้ไปตรวจเลือดใหม่ เพราะว่าอาจเป็นพาหะเป็นไวรัสตับอักเสบ โรคนี้อาจทำให้ตับแข็ง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ แต่โอกาสไม่มากนัก แม้จะยังรักษาไม่ได้ ก็ไม่ต้องตกใจเกินไป เราไม่ควรทานเหล้า และระมัดระวังไม่ทานยาที่อาจเป็นอันตรายต่อตับ และไม่ต้องบริจาคโลหิตให้ใคร จะแต่งงานกับใคร ถ้าแฟนเรายังไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ให้ไป ฉีดวัคซีนก่อนเพื่อป้องกันโรคนี้
6. สารพิษจากเชื้อรา ชื่อสารอัลฟลาทอกซิน (Alfatoxins)
สารชนิดนี้เกิดจากเชื้อรา ซึ่งขึ้นในอาหารที่ชื้น สารอัลฟลาทอกซินจะมีหลายชนิดและทนความร้อน ไม่ถูกทำลายด้วยการหุงต้มแบบธรรมดา และเป็นสารก่อมะเร็งตับ อาหารที่พบว่ามีเชื้อราและอัลฟลาทอกซินบ่อยๆ ได้แก่ ถั่วลิสง ข้าวโพด พริกป่น กระเทียม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง การก่อมะเร็งพบว่าจะยิ่งมาก ถ้าเรามีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีด้วย เรียกว่าร่วมด้วย ช่วยซ้ำครับ
7. สารกันเสีย ไนเตรทและไนไตรท์
ปกติสารกันเสียทั้งสองชนิดนี้นิยมใช้ในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อ หมู ปลา จะทำให้เนื้อสัตว์ดูสดอยู่เสมอ เนื่องจากสารทั้งสองมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค Clostridium botulinum ซึ่งมีอันตรายมากจึงอนุญาตให้ใช้ได้แต่ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป แต่พบว่าในอาหารบางชนิดได้ใส่สารกันเสียทั้งสองตัวนี้มากเกินไป ในบางตัวอย่างที่พบถึงหลายสิบเท่า ซึ่งนับว่าสูงมาก ที่เคยตรวจพบว่าสูงในเนื้อสัตว์ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อสวรรค์ ไตปลาดอง เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังพบว่ามีสารไนเตรทจากพืช ซึ่งได้จากการที่เราใส่ปุ๋ยไนเตรท ปุ๋ยยูเรียในผักมากเกินไป ผักที่เคยพบว่ามีไนเตรทมากได้แก่ ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน
การทานอาหารที่มีไนเตรทสูงจริงๆแล้วอันตรายมีไม่มาก อาจทำให้แค่ท้องเสีย แต่อันตรายจะมาจากการประจวบเหมาะที่จะสร้างสารไนโตรซามีนซึ่งมีอันตราย นับเป็นโชคสองชั้น กลไกมีดังนี้คือ เมื่อเราทานอาหารที่มีไนเตรทสูง จะทำให้น้ำลายมีสารไนไตรทขับออกมามาก เมื่อเรารับประทานอาหารมื้อต่อไปที่มีสารประเภทเอมีนมาก เช่น ปลาหมึก เมื่อมาผสมกันในกระเพาะอาหารที่มีความเป็น กรดพอเหมาะจึงจะเกิดสารประกอบ ที่เรียกว่า ไนโตรซามีน (Nitrosamines) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง โพรงจมูก ไซนัส หลอดอาหาร ปอด หลอดลม ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ดูโอดีนัม ตับ ไต กระเพาะปัสสาวะ สมอง ไนโตรซามีนยังเกิดได้โดยตรง โดยทานอาหารที่มีสารเอมีนสูง เช่น ปลาหมึก หอย และปิ้งย่างด้วยไฟแรง โดยกลไกเกิดจากไนโตรเจนในอากาศ และเอมีนในอาหาร และความร้อนสูงจะก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งชนิดนี้ได้โดยตรง
8. สาร PHA (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon)
เป็นสารก่อมะเร็งอีกตัวที่เราจะ เสาะหามาจากอาหารได้สองวิธีคือ จากสิ่งแวดล้อม และปนเปื้อนมาในอาหาร เช่น การเผาไหม้สารไฮโดรคาร์บอน เช่น น้ำมันรถยนต์ หรืออีกวิธีที่เราทำได้ไม่ยากคือ การปิ้งย่างเนื้อสัตว์ด้วยไฟแรง มีผลทำให้มันจากเนื้อสัตว์ตกลงไปถูกไฟร้อนมากกว่า 400 องศาเซนติเกรด จะก่อให้เกิดสาร PHA ลอยมาเกาะติดบนอาหารได้ PHA จะก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งของทางเดินหายใจ นอกจากนี้การปิ้งย่างด้วยไฟแรงยังก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งอีกกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Heterocyclic Aromatic Amines ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ กรดอะมิโนในเนื้อสัตว์ หรือปลา สารกลุ่มนี้ก่อให้เกิดมะเร็งตับ กระเพาะอาหาร ปอด ลำไส้ และหลอดเลือดในสัตว์ทดลองได้
9. ไขมัน
ไขมันไม่เป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง แต่จะกระตุ้นหรือส่งเสริม (Promoter) ให้เกิดมะเร็งจากสารก่อมะเร็งได้ การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่าประชากรที่กินไขมัน มากๆ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่
10. ไดออกซิน (Dioxins)
เป็นสารกลุ่มใหญ่ที่มาจากการเผาสารที่มีคลอรีน และสารอื่นๆเช่น เผาขยะ พลาสติก หรือสารพีวีซีที่ทำท่อน้ำ สารชนิดนี้จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน และอยู่ในมันสัตว์ได้ ที่มีข่าวคือจากบางประเทศในยุโรป มีโรงงานที่ผลิตอาหารสัตว์ได้ปนเปื้อนสารตัวนี้ เมื่อนำไปให้วัวกิน ก็จะเข้าไปในมันวัว นมวัว เนย และคงอยู่ในนั้นทุกรูปแบบที่มาทำอาหาร เช่น ช็อคโกแลต นมผง เป็นต้น จัดเป็นสารก่อมะเร็งที่มีฤทธิ์แรงมาก แต่โอกาสที่เราจะเจอมีน้อยกว่าตัวอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น
ที่กล่าวมาคือสารก่อมะเร็งเป็นความรู้สำหรับท่านที่อยากเป็นมะเร็งอย่างง่ายๆครับ ทีนี้ถ้าเราไม่อยากจะเป็นมะเร็งควรจะทานอาหารอย่างไร สรุปง่ายๆดังนี้ครับ
1. ทานอาหารที่มีไขมันให้น้อยลง ไม่ควรทานมากกว่า 30% ของพลังงานที่ได้รับ
2. ทานผัก ผลไม้สด และธัญพืช ให้มาก เพราะมีสารเบต้าคาโรทีน และวิตามินซี ซึ่งเป็นสาเหตุของสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านมะเร็ง และมีใยผักหรือที่เรียกว่าใยอาหาร ช่วยลดการเป็นมะเร็งหลายชนิด
3. ทานสิ่งเหล่านี้ให้น้อยลง ได้แก่ อาหารปิ้งย่างไฟแรง อาหารดอง หรือ เค็มจัด
4. งดเหล้า งดสูบบุหรี่ ข้อนี้ยาก ใครๆก็รู้
5. ทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้มากๆ ข้อนี้หมอถือโอกาสเพิ่มเองไม่มีในตำราหรอกครับ แต่คิดว่าโรคแบบนี้ถ้าเราไม่ทำกรรมเอาไว้ก็คงไม่เป็นหรอกครับ ดังพุทธพจน์ที่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และถึงแม้ว่าเป็นมะเร็งไปแล้ว ก็ขอรับรองว่า ธรรมะย่อมรักษาใจให้เป็นสุขได้เสมอ มะเร็งจะกินแต่ตัวเท่านั้น ไม่อาจกินใจเราได้เลยถ้ามีธรรมะดีๆ ส่วนโรคจะดีขึ้นหรือหายไปหรือไม่ ก็แล้วแต่หลายอย่างประกอบกันครับ
สวัสดีครับ
หมอตั้ม
เอกสารอ้างอิง
1.Otis W.Brawley, Barnett S. Kramer.Prevention and Early Detection ofCancer. Harrisons Principle of Internal Medicine 14 th edition.1998:499-504
2.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต สารก่อกลายพันธ์ และสารก่อมะเร็งในอาหาร Nutrition and Health Promotion การประชุมวิชาการโภชนาการ 22-24 ธันวาคม 2536