******
รักคือการให้ ******
"....
ผมในฐานะผู้ชายเนี่ยเข้าใจเป็นอย่างดีเลยครับ
เรื่องการถูกทำร้ายความไว้เนื้อเชื่อใจมันเจ็บปวดขนาดไหน
ผมเคยประสบมากับตัวเองเลยเต็มๆ
กับภรรยาคนปัจจุบันของผมเนี่ยแหล่ะ
หนักกว่าคุณนัก
ผมก็เคยถามเธอนะครับว่าเธอเคยผ่านผู้ชายมาหรือเปล่าเป็นการถามเล่นๆ
ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะผมไม่ถือเรื่องนี้หรอก
ผมโตเเมืองนอกครับเลยถือเป็นธรรมดา
ที่ถามก็เพราะอยากรู้ว่าหญิงไทยยังคงเป็นแบบสมัยก่อนหรือสมัยใหม่
เธอก็ตอบตามตรงว่าเคย
และถามว่าผมจะยังรักเธอไหม
ผมก็หัวเราะและตอบว่ามันเกี่ยวกับรักด้วย
เรอะรักก็รักเหมือนเดิมสิ
ไม่เห็นแปลกเลย ถามเล่นๆ
อย่าไปซีเรียสน่า
แล้วเราก็แต่งงานกัน 2
ปีผ่านมาผมก็ได้พบความจริงบางอย่างที่ทำให้ผมถึงกับต้องลาออกจากงานและไปบวชเลย
เธอเคยทำแท้งครับ
ผมเพิ่งทราบจริงๆ
เธอไม่เคยบอกเลย
ผมก็ไม่เคยติดใจสงสัยอะไร
แม้เธอจะไม่ได้โกหกผมเหมือนอย่างที่แฟนคุณโกหก
และเธอปิดบังผม
ที่ผมรู้เพราะมีครั้งหนึ่งที่ผมดีใจนึกว่าเธอท้องเลยพาไปตรวจครรภ์
หมอก็คุยเรื่อยเปื่อยว่าอ๋อยังไม่ท้องหรอก
อย่างนั้นอย่างนี้
และมีประโยคหนึ่งที่ผมสะดุดคือหมอพูดว่า
"ดีแล้วครับที่สงสัยว่าจะท้องแล้วรีบพามาตรวจ
เพราะมดลูกที่เคยผ่านการบำบัดพิเศษมาแล้ว
หากท้องอีก
อาจเป็นอันตรายเพราะเสี่ยงกับทั้งแม่และเด็กมากๆ
ยังไงถ้าท้องก็รีบพามาตรวจนะครับ
รับรองว่าหมอจะดูแลเป็นพิเศษเลย
ไม่ต้องกังวลนะครับ
เพราะหากแม่และเด็กได้รับการดูแลภายใต้แพทย์อย่างสม่ำเสมอก็จะไม่มีปัญหาครับ"
(หมอท่านนี้ไม่ทราบอะไรมาก่อนครับ
เพราะพึ่งมาตรวจกันครั้งแรกตามคำแนะนำผู้ใหญ่
หมออาจจะเดาเอาว่าผนรู้แล้ว)
ผมก็งงๆ
ทีแรกนึกว่าเธออาจเคยประสบอุบัติเหตุกระเทือนต่อมดลูกหรืออาจเคยเป็นเนื้องอกแล้วผ่าตัดมา
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ก็เลยถามภรรยาระหว่างขับรถกลับบ้านว่า
"มดลูกเคยมีปัญหาใช่ไหม"
ผมถามเพราะห่วงนะครับ
ไม่ได้สงสัยอะไรเลย
แต่เธอตกใจทันทีและร้องไห้ออกมา
ขอโทษขอโพยที่ปิดบังมาตลอดและเล่าเรื่องทั้งหมด
(เธอคงนึกว่าผมรู้แล้วและมาถามเอาเรื่อง)
ผมก็อึ้งเลยครับ 2
ปีที่ผ่านมานี่ผมเป็นควายหรืออย่างไร
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
เธอบอกว่าสมัยเรียนเมืองนอกเธอเคยมีเพื่อชายชาวญี่ปุ่นและอยู่ด้วยกัน
(ซึ่งอันนี้ผมรู้แล้วและไม่ถือครับ)
ต่อมาก็ห่างๆ กันไป
เธอมารู้ตัวว่าท้องก็หลังจากเพื่อนชายคนนั้นกลับประเทศไปแล้ว
เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงขอ Drop
เรียน
และย้ายเมืองเพื่อไม่ให้ใครรู้
และไปทำแท้งที่ต่างเมือง
แล้วจึงกลับมาเรียนต่อ
คนรอบข้างก็ไม่มีใครสงสัยเพราะเธอบอกว่าย้ายไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบ
Thesis
จะมีก็แต่ครอบครัวเท่านั้นที่รู้เพราะแม่บินตามมาเฝ้าพยาบาลเธอด้วย
กลับมาถึงบ้านเธอก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษถึงกับกอดแข้งกอดขากราบเท้าอย่าให้เราแยก
กัน
ผมในตอนนั้นหัวมันตื้อเพราะช็อกก็ไม่ได้ยินอะไรเลย
จำได้แค่ว่าตัวลอยๆ
เดินไปเก้บเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไป
ผมไม่รู้จะไปไหนห็เลยติดต่อเพื่อนที่อยู่แถบอีสานขอพักด้วยสักระยะ
เพื่อนก็ตกลงเพราะเห็นว่าผมคงมีทุกข์มาและก็ไม่ว่าไม่ถามอะไร
ผมเลยจัดแจงลาออกจากงานและไปอาศัยบ้านเพื่อนครับสักพักผมก็ทนไม่ได้ครับ
เลยไปบวช ที่วัดแถวๆ นั้น
เพื่อนก็ถามว่าแล้วทางบ้านทางภรรยารู้หรือเปล่าว่าจะบวช
ผมก็บอกว่ามีปัญหากันนิดหน่อยแต่ทางนั้นทราบแล้วว่าผมอยู่ที่นี่
(จริงๆ ผมไม่ได้บอกใครเลยครับ)
เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มสงบลง
เมียผม
และครอบครัวผมคงทราบจากเพื่อนว่าผมมาบวชอยู่ที่นี่ก็ตามมาโน้มน้าวให้กลับบ้าน
แม่ก็มาขอร้อง
แต่ตอนนั้นผมต้องการสงบครับ
ผมก็ตอบว่าถึงเวลาจะกลับไปจัดการทุกอย่างเอง
ขออย่าให้ทุกคนเป็นห่วง
เมียผมเองก็เพียรอ้อนวอนจนอ่อนใจ
และทำใจจึงกลับไป
ผมบวชเรียนอยู่เกือบปี
อยู่มาวันนึงเจ้าอาวาสก็เรียกเข้าไปคุยว่า
"เมื่อยามมีทุกข์ก็ได้มาผ่อนทุกข์ของตนเองแล้ว
บัดนี้เห็นว่าสงบลงและมีสติขึ้นมาก
คุณจะเห็นควรกลับไปบรรเทาทุกข์ให้คนข้างหลังหรือไม่
อาตมาไม่ได้ขับไล่เพียงแต่แนะนำ
สุดแล้วแต่การตัดสินใจเถิด"
ผมเองก็มีสติขึ้นจากการบวชว่าผมหลบมาคนเดียวนี่ผมปลงทุกข์ของตนแล้ว
แต่คนข้างหลังคงยังมีทุกข์
ผมเลยสึกครับ
พอสึกแล้วก็พักอยู่บ้านเพื่ออีก2-3
วัน
นั่งสมาธิทุกคืน
เมื่อมีสติก็คิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ
ได้ชัดเจนครับว่าเธอเป็นภรรยาที่ดีของผมมาตลอดไม่เคยบกพร่อง
เป็นห่วงเป็นใย
ช่วยเหลือ
ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนเคยดีอย่างไร
แต่งแล้วก้ยังดีเหมือนเดิมทุกประการ
ผมเลยกลับบ้านครับ ก็หวั่นๆ
อยู่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง
และจะพร้อมกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่
เมื่อถึงบ้านและพบเธอเธอดูซูบไปมาก
ใบหน้าหมองคล้ำ
เธอไม่แสดงอาการอะไรนอกจากถามผมเหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้านว่า
เหนื่อยไหม หิวหรือยัง
จะอาบน้ำก่อนหรือทานข้าวก่อน
เธอเตรียมกับข้าวไว้แล้ว
(ผมมารู้ทีหลังว่าตั้งแต่ผมจากไป
เธอยังคงทำกับข้าวรอผมทุกวันเพราะเผื่อวันใดผมกลับมาจะได้มีอาหารพร้อมไม่ต้องนั่งหิวรอ)
ผมน้ำตาไหลเลยครับ พูดไม่ออก
คว้าเธอมากอดและขอโทษ ครั้งนี้
ผมลงกราบเท้าขอโทษเธอเหมือนครั้งที่เธอเคยกราบอ้อนวอนผมมาก่อน
เพราะผมรู้สึกว่าผมทำร้ายของล้ำค่าของผมได้อย่างไร
ผมปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวโดยผมหนีไปหาความสงบคนเดียวได้
อย่างไร
ผมเป็นสามีที่เห็นแก่ตัวมากๆ
เธอไม่โกรธเลย ยิ้มรับผม
เราต่างกอดกันร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่พูดอะไรเลย
มันสื่อกันด้วยความรู้สึกนะครับ
ไม่มีคำต่อว่าจากปากเธอแม้แต่คำเดียว
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา
ตอนนี้เราก็กลับมาอยู่ด้วยกันแล้วครับ
เรื่องนี้ผ่านมาประมาณ 4 ปีแล้ว
ตอนนี้เธอท้องแล้วครับ
ผมอัลตร้าซาวด์แล้ว
ผมกำลังจะมีลูกชายครับ
ผมดีใจมากและทุกวันนี้ก็ภูมิใจมากที่มีศรีภรรยาคนนี้มาเป็นแม่ของเจ้าตังค์
(แอบตั้งชื่อไว้ก่อนน่ะครับ
แบบว่าเห่อ)
เราสองคนไม่มีใครรื้อฟื้อนเรื่องนั้นอีกเลย
มีเพียงแต่ว่าทุกสัปดาห์จะไปวัดด้วยกันและทำบุญตักบาตร
แผ่เมตตาให้แก่ลูกคนแรกของเธอครับ
ผมเล่ามานี่ก็เพื่ออยากให้คุณคิดได้และเข้าใจว่าหลังพายุเนี่ย
ถ้าเราผ่านมันไปได้
หลังจากนั้นก็คือท้องฟ้าที่สงบและสดใลครับ
ผมไม่สามารถรับรองได้หรอกว่าทุกท่านจะโชคดีเหมือนอย่างคู่ผม
แต่ผมขออวยพรนะครับ
ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งทุกคนต้องผ่านพ้นความทุกข์ไปได้และพบกับสิ่งดีงามครับ
...."