Related
Topic |
|
Interesting
Web |
เชิญ
ติชม สอบถาม เสนอแนะครับ |
|
คัดลอกมาจากเอกสารส่งเสริมความรู้เขียนโดย
พญ,กอบจิตต์ ลิมปพยอม และ น.พ.นิมิต
เตชไกรชนะ
คลีนิคสตรีวัยหมดระดู
ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
คณะแพทยศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หรือสตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยหมดระดู
คือ
สตรีในวัยที่มีการสิ้นสุดของการมีประจำเดือนอย่างถาวร
เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน
มีสาเหตุมากจากการที่จำนวนไข่ใบเล็กๆในรังไข่มีปริมาณลดลง
ซึ่งมีผลทำให้การสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง
จนหยุดการสร้างไปในที่สุด
วัยทองเป็นระยะซึ่งสตรีส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัว
หน้าที่การงาน
และฐานะความเป็นอยู่
โดยเฉลี่ยสตรีไทยเริ่มเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดระดู
โดยธรรมชาติเมื่ออายุประมาณ
50 ปี
ในกรณีที่หมดระดูเมื่ออายุน้อยกว่า
40 ปี เรียกว่า
หมดระดูก่อนเวลาอันควร
ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากขึ้น
เช่นเดียวกับสตรีที่หมดระดูจากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง
2 ข้าง
อายุขัยเฉลี่ยของสตรีไทยประมาณ
71 ปี
ดังนั้นช่วงเวลาที่สตรีต้องอยู่ในสภาวะวัยหมดระดูนั้น
มีประมาณ 1 ใน 3
ของช่วงชีวิตทั้งหมดของสตรี
ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 20
ปี
เมื่อสตรีย่างเข้าสู่วัยทอง
อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายและจิตใจ
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศ
คือ เอสโตรเจน เช่น
- รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
อาจห่างออกไปหรือสั้นเข้า
อาจมีเลือดประจำเดือนน้อยลง
หรือมากขึ้น
- เกิดอาการซึมเศร้า,
หงุดหงิด, กังวลใจ,
ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง,
ความจำเสื่อม,
ความต้องการทางเพศ
หรือการตอบสนองทางเพศลดลง
- ช่องคลอดแห้ง,
คันบริเวณปากช่องคลอด,
มีการอักเสบของช่องคลอด,
เจ็บเวลาร่วมเพศ,
อาจมีการหย่อนยานของมดลูก
และช่องคลอด,
มีการหย่อนของกระเพาะปัสสาวะ,
ปัสสาวะบ่อย,
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ขณะไอหรือจาม
หรือขณะยกของหนัก
- ผิวหนังแห้ง, เหี่ยวย่น,
คัน,
ช้ำและเป็นแผลได้ง่าย,
ผมแห้ง, ผมร่วง
- เต้านมมีขนาดเล็กลง,
หย่อน, นุ่มกว่าเดิม
- เกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด
พบว่าสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือนอัตราส่วนของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันในชาย
จะสูงกว่าหญิงในอัตรา 9:3
แต่เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดระดู
จะเริ่มมีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น
จนมีอัตราไกล้เคียงกับชายเมื่ออายุ
70 ปี
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทอง
ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
- การขาดเอสโตรเจน
โดยเฉพาะในระยะแรกของวัยหมดระดู
อาจทำให้มีการสูยเสียเนื้อกระดูกได้ถึงร้อยละ
3-5 ต่อปี
จนทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
และอาจมีการหักของกระดูกในส่วนต่างๆ
ได้แก่ กระดูกข้อมมือ,
กระดูกสันหลัง,
กระดูกสะโพก เป็นต้น
สตรีควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในวัยนี้
ควรหาความรู้เพิ่มเติมพร้อมดูแลตนเองให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีโดย
- ควรรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับวัย
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
โดยเฉพาะไขมันสัตว์
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์
คาเฟอีน และบุหรี่
ควรได้รับแคลเซียมประมาณวันละ
1,000-1,500 มิลลิกรัม
อาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น กุ้งแห้ง,
ปลาเล็กปลาน้อย,
ผักใบเขียว
รับประทานอาหารที่มีเอสโตรเจนธรรมชาติ
เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด,
ข้าวโอ๊ด, ข้าวสาลี,
ข้าวบาร์เล่ย์, มันฝรั่ง,
มันเทศ, มะละกอ เป็นต้น
- การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรกระทำในสตรีวัยหมดระดู
เพราะมีผลต่อการสร้างเนื้อกระดูก
มีผลดีต่อการลดไขมัน
และการแข็งตัวของเลือด
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า
การออกกำลังกายสามารถลดอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ
และภาวะซึมเศร้าในวัยหมดระดูได้
- ในรายที่มีอาการต่างๆรุนแรง
ได้รับความทุกข์ทรมาน
รบกวนความสุขในชีวิต
หรือมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
และ หลอดเลือด,
โรคกระดูกพรุน
ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาการให้ฮอร์โมนทดแทน
คือฮอร์โมนที่ให้กับสตรีวัยทอง
เพื่อชดเชยฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ร่างกายขาดไป
ฮอร์โมนที่ให้ได้แก่
เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน
หรือฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์คล้ายกับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
ได้มีการผลิตฮอร์โมนทดแทนในรูปแบบต่างๆมากมาย
เพื่อให้แพทย์พิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
ได้แก่
- ชนิดรับประทาน
เป็นรูปแบบที่นิยมมากที่สุด
- ครีมทาช่องคลอด
- เจลทาผิวหนัง
- พลาสเตอร์ตัวยาแปะผิวหนัง
- ยาฝังใต้ผิวหนัง
- วงแหวนสอดทางช่องคลอด
ฮอร์โมนทดแทนที่แพทย์สั่งให้มีประโยชน์ต่อร่างกาย
3 ประการใหญ่ คือ
- ช่วยทดแทนฮอร์โมนที่ร่างกายหยุดสร้างไป
ซึ่งจะบรรเทาอาการต่างๆในหัวข้อที่ผ่านมาแล้ว
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน
โดยจะช่วยรักษาเนื้อกระดูกให้อยู่ในปริมาณปกติ
ออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายกระดูก
ซึ่งผลดังกล่าวจะคงอยู่ตราบเท่าที่สตรีได้รับฮอร์โมนและ
จะหมดไปหากหยุดยา
นอกจากนี้การให้ฮอร์โมนทดแทน
ยังสามารถลดอัตรากระดูกหักลงได้ถึงร้อยละ
30-60
หากเริ่มให้ฮอร์โมนหลังหมดระดูใหม่ๆ
และให้นานอย่างน้อยเป็นเวลา
7 ปี
- ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
รวมทั้งอัตราการตายจากโรคนี้ลดลงถึงกว่าร้อยละ
50
ไม่จำเป็น
เพราะปัญหาต่างๆที่กล่าวข้างต้นมีปัจจัยอื่นๆที่เป็นสาเหตุด้วย
นอกเหนือจากการขาดฮอร์โมน
การให้ฮอร์โมนทดแทนเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการดูแลรักษาและป้องกันปัญหาต่างๆในวัยหมดระดู
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมก็จะช่วยให้สตรีวัยทองมีสุขภาพดีได้โดยไม่ต้องอาศัยฮอร์โมน
อย่างไรก็ตาม
มีสตรีวัยทองบางกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็ว
จนจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน
จากการพิจารณาถึงผลดี -
ผลเสีย
ของการใช้ฮอร์โมนทดแทนโดยรวม
พอสรุปได้ว่า
การให้ฮอร์โมนทดแทนมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง
เพราะนอกจากลดอัตราการตายได้แล้ว
ยังช่วยให้สุขภาพโดยทั่วไปของร่างกายดีขึ้นด้วย
อาจพบอาการข้างเคียงได้บ้าง
ได้แก่ คลื่นไส้, อาเจียน,
ปวดศรีษะ, ตึงคัดเต้านม,
น้ำหนักตัวเพิ่ม, บวมน้ำ,
มีเลือดออกกระปริดกระปรอย
หรือมีเลือดประจำเดือนกลับมาอีก
อาการข้างเคียงเหล่านี้ถ้าเป็นไม่มาก
สามารถใช้ยาต่อไปโดยอาการต่างๆจะลดน้อยลง
แต่ถ้ามีอาการข้างเคียงมาก
ให้ปรึกษาแพทย์
เพื่อพิจารณเปลี่ยนชนิดของฮอร์โมนทดแทนต่อไป
- ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
- มะเร็งมดลูกระยะลุกลาม
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหต
- โรคตับระยะเฉียบพลัน
- โรคเลือดแข็งตัวง่ายกว่าปกติ
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้
เช่น
ถ้าต้องการเพียงบรรเทาอาการต่างๆของสตรีวัยทอง
การใช้เพียง 6-12
เดือนก็เพียงพอ
แต่ถ้าหวังผลระยะยาวของฮอร์โมนต่อกระดูก
หัวใจและหลอดเลือด
ก็อาจให้ได้นาน 10-20 ปี
อย่างไรก็ตามควรมีการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี
|