มกราคม
......................................

๑ มค. ๒๕๔๕


ว่างๆ ผมมักจะนั่งอ่านบันทึกเก่าๆ ว่าวันนั้น เวลานั้นของปีที่แล้ว
ผมอยู่ไหน ทำอะไร คิดอะไร และมีเรื่องราวแบบไหนบ้างผ่านเข้ามา
ไม่ทราบเหมือนกันว่าคนที่ชอบเขียนบันทึกจะเป็นอย่างผมหรือเปล่า

ผมอยากให้ถึงวันนี้ของปีหน้าเร็วๆ เพื่อจะได้มาเปรียบเทียบกับภาพตัวเองในอดีต
ดูว่าได้ปล่อยความเจ็บช้ำจากการหันหลังให้ของผู้คนไปมากน้อยแค่ไหน
คงจะดีหากได้มานั่งดูตัวเอง ... เป็นความหวังที่ดีที่จะได้อยู่เห็นตัวเอง

ปีนี้หากผมทำผิดพลาดเรื่องใดต่อใครไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้
สัญญาว่าปีหน้าจะพยายามไม่ทำให้ใครต้องเจ็บเพราะผมอีก
ขอบคุณน้ำใจและสิ่งดีๆ ที่มอบให้ในรอบปีที่ผ่านมา ... วิเศษมาก
และขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนกันเสมอ
ทั้งที่เคยทักทายกันหรือไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว

ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีของเราทุกคนนะครับ
ขอให้โชคดี ... สวัสดีปีใหม่ ๒๕๔๕
.....
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๕ มค. ๔๕


ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาผมได้รับการ์ดอวยพรหลายใบ
ส่วนใหญ่จะมาจากเพื่อนต่างประเทศ ทั้งที่รู้จักกันเพราะบ้านหลังนี้
และเพื่อนที่เคยเรียนร่วมห้องแล้วย้ายตัวเองไปใช้ชีวิตที่นั่น
ซึ่งผมก็รู้สึกดีทุกครั้งได้ที่รับโปสการ์ด จดหมาย ไม่ว่าจากใครที่ไหน
และดูเหมือนว่าในปีนี้มันจะมีความหมายกับผมมากเป็นพิเศษ
จนผมแอบไปคิดว่า คนเหล่านี้กำลังนั่งฉลองปีใหม่เป็นเพื่อนผมอยู่
ถึงกระนั้น .. ผมก็รู้สึกผิดที่ไม่เคยส่งจดหมายหรือโปสการ์ดให้ใคร
ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งก่อนหรือส่งตอบแทนอัธยาศัยของเพื่อนฝูง
ผมคิดว่า บางทีพวกเขาคงมีความสุขดีแล้วกับการเป็นผู้ให้
จึงขออาศัยพื้นที่แห่งนี้กล่าวขอบคุณด้วยใจจริง ... "ขอบคุณมากครับ"
..........

มีการ์ดเรียบง่ายอยู่ใบหนึ่งส่งตรงมาจากฝรั่งเศส
เป็นรูปนางฟ้าใส่ชุดนอนสีสดใส ในมือถือเทียนไขสีเขียว
เธอเดินเหมือนคนหลับตา ไม่ค่อยระวังทาง ดูท่าจะง่วงมากจริงๆ
ผู้ส่งจึงพูดเล่นๆ ฝากผมให้เตือนเธอว่า .. อย่าลืมดับเทียนเสียล่ะ

ถึงวันที่ ๕ มกราคมแล้วผมก็ยังไม่ได้บอกเธอเลยครับ
ผมปล่อยให้เธอหลับไป และดูแลเทียนไขนั้นเอง
ผมปล่อยให้เปลวไฟสร้างความอบอุ่นสว่างไสวต่อไป
หากมันจะดับก็คงเพราะลมหนาวที่เล็ดลอดเข้ามาตามาฝาเรือน
หรือเพราะหมดเชื้อเพลิงไปเอง แต่ไม่ใช่เพราะคนอย่างผม
............

ปีนี้ .. หากไฟชีวิตจะต้องดับมอดไปกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ก็ขอให้มันดับเนื่องเพราะเหตุปัจจัยภายนอกที่สุดทานทนเถิดนะ
อย่าให้ดับมืดไปเพราะตัวเองเลย
.....
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๗ มค. ๔๕


จะเป็นอย่างไร หากคุณต้องเดินทางผ่านสถานที่แห่งความทรงจำทุกเช้าค่ำ
.....

ป้ายรถเมล์ที่คุณเคยนั่งรอคนบางคนออกมาหา
ตู้โทรศัพท์ที่เคยหยอดเหรียญแจ้งข่าวว่ามารออยู่
สะพานลอยที่เคยจูงมือเดินข้ามฟากถนนใหญ่
ร้านอาหารร้านนั้นที่เคยพูดสิ่งสำคัญให้กันฟัง
ใต้ชายคาของห้างร้านที่เคยยืนหลบพายุฝน
ฯลฯ
จะเป็นอย่างไร หากคุณต้องผ่านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่คิดก็ยาก ... จะทำอย่างไรกับหัวใจของตัวเอง
...............

ผมมีที่ทำงานอยู่ ๒ แห่ง คือ ที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
ซึ่งใช้เป็นห้องส่งรายการ และการดำเนินงานธุรการต่างๆ
และที่ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นห้องตัดต่อเทปรายการโทรทัศน์
แต่ไม่ว่าผมจะไปและกลับบ้านจากที่ ๒ แห่งนั้นด้วยเส้นทางไหน
ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งความทรงจำเหล่านั้นได้เลย

บางครั้ง ผมอยากจะย้ายไปอยู่สำโรง ไปอยู่สำเหร่
ดาวคะนอง บางนา บางกะปิ ท่าพระ บางแค วงเวียนใหญ่
ไปจากที่เก่าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด เผื่อจะช่วยให้อาการดีขึ้นบ้าง
..........

แต่การเดินทางผ่านสถานที่เก่าๆ คงจะมีข้อดีอยู่บ้างกระมัง
ดีตรงที่ว่า ... ความรู้สึกเจ็บแปลบแสนทรมานนั้น
แสดงให้รู้ว่า ... หัวใจของผมยังทำงานอยู่
.....
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๙ มค. ๔๕


๒๓.๒๐ น.
"วันเกิดผม ผมจะตามใจคุณ แต่วันเกิดคุณ คุณต้องตามใจผมนะ"
ผมมักจะพูดอย่างนี้เสมอ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ตามใจผมเสมอ
ผมไม่เคยมีของขวัญให้เธอ แทบจะไม่เคยซื้ออะไรให้ด้วยซ้ำ
อย่างมากก็เป็นแค่สิ่งของที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีราคาค่างวดอะไร
ผมก็เป็นคนอย่างนี้ ไม่ใช่คนดีอะไรแต่ข้างในก็ให้หมดใจที่มี
...........

๑๘.๐๐ น.
ผมรีบจัดการเอกสารตรงหน้า แล้วออกจากที่ทำงานทันทีเมื่อรับโทรศัพท์
โชคดีที่การจราจรช่วงเย็นของถนนที่มีการก่อสร้างตลอดสายไม่เลวร้ายนัก
ชั่วโมงต่อมาจึงได้มานั่งคุยกับเพื่อนสนิทซึ่งเคยเป็นตัวละครในบันทึกหลายเรื่อง
ส่วนเพื่อนรุ่นพี่อีกคนที่ดื่มกินกันประจำนั้น ก็มีข่าวล่าสุดมาบอกผมเช่นกัน
แน่นอน ... มันเป็นเรื่องความรัก และเป็นข่าวดี

เจอกันครั้งสุดท้ายเขารู้ว่าผมย้ายมาอยู่คนเดียว และเจอกันวันนี้
เขาก็ได้รู้เรื่องราวใหม่ของผมจากเพื่อนรุ่นพี่ก่อนที่ผมจะเดินทางไปถึง
ซึ่งผมก็ไม่ได้ขยายความต่อแต่อย่างใด เพราะที่ทาง ผู้คน และอารมณ์ไม่เป็นใจ
เหล้าที่เหลือแค่ครึ่งขวดนั้นหมดไปอย่างรวดเร็ว ผมนั้นไม่มีปัญหาที่จะกินเหล้าต่อ
ไม่เมากับเพื่อนผมก็เมาคนเดียวอยู่แล้วทุกวัน กินกับเพื่อนสนิทก็คงได้พูดบ้าง
แต่เขาทั้งคู่มีธุระ และภาระ ผมรู้ว่าไม่มีใครสะดวกแน่จึงขอตัวกลับบ้าน

๒๐.๐๐
เขาส่งผมลงใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านตามที่ผมขอ
ผมตั้งใจเดินฝ่าผู้คนมากมายช่วงหัวค่ำเข้าไปซื้ออะไรบางอย่างก่อนเข้าบ้าน
ทั้งที่ใจจริงคืนนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว แต่ลึกๆ ก็ดีใจกับชีวิตในช่วงนี้พวกเขา
ที่มีคนข้างกาย ... ผมนึกถึงผู้หญิงสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันเมื่อชั่วโมงก่อน
คิดถึงคนบางคน และอดถามตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อไหร่จะผ่านพ้นไปได้เสียที
.........

๑๐ มค. ๔๕
๐๐.๐๕ น.
ผมอยากจะโทรศัพท์ไปหาเธอเหลือเกิน
อยากร้องเพลงที่เธอชอบ ให้หูได้ฟังสิ่งที่หัวใจอยากได้ยิน
แล้วนัดวันที่เราว่างๆ ไปทานข้าวร้านที่เธออยากไปอย่างปีที่แล้ว
แต่ผมรู้ว่ามันคงจะสร้างความรำคาญให้มากกว่าความพอใจ

ผมเอาเค้กช็อคโกแลตจากร้านอร่อยที่เธอชอบวางบนจานสีขาว
เอาเทียนไขรูปเด็กชาย - หญิง ที่เธอเอามาให้ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่มาวางข้างๆ
ผมหาไฟแช็คไม่เจอจึงไม่ได้จุด ผมเปิดโคมไฟ ปิดโทรทัศน์ ... ห้องเงียบ
ผมเอากรอบรูปที่เธอซื้อให้มาวางข้างๆ ยิ้มให้กับใบหน้าสวยในรูป
ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เพื่อกดหมายเลขที่ยากจะลืม

Happy Birthday to you, Happy Birthday to you
Happy Birthday, Happy Birthday
Happy Birthday to ......

ปีนี้ผมก็ยังเป็นเหมือนปีก่อนๆ ไม่มีอะไรให้เธอ ... ผมเสียใจ
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ใครๆ อาจมองว่าให้กันได้แสนง่าย
และมันก็ไม่ได้มีราคาค่างวดสูงส่ง
แต่ผมอยากจะมอบเป็นของขวัญแก่เธอ
ผมเอาโทรศัพท์ไปเก็บไว้ในลิ้นชัก หักห้ามความคิดถึง

ผมส่ง "ความเงียบ" เป็นของขวัญให้เธอ
.....
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๑๓ ม.ค. ๒๕๔๕


มีคำถามจากคนในโลกเสมือนจริงลอยมาว่า
คำว่า "ใส่ใจ" กับ "ห่วงใย" นั้นต่างกันอย่างไร ?
ผมไม่ได้ตอบคนถาม เพราะกำลังเขียนหนังสืออยู่
........

ผมคงไม่สามารถระบุความแตกต่างระหว่างคำสองคำนี้ได้อย่างชัดเจน
เพราะ "คำ" ที่เกี่ยวกับความรู้สึกนั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
แต่สำหรับผมในยามนี้ "ระยะห่าง" คือสิ่งที่ทำให้คำสองคำนี้แตกต่างกัน

"ใส่ใจ" คงหมายถึง การได้อยู่ใกล้ชิด ได้ดูแลตลอดเวลา
ทุกสิ่งที่รักยังอยู่ในอ้อมแขน ยังได้ประคองโอบอุ้มใครคนนั้นอยู่ไม่ห่าง

"ห่วงใย" แทนความรู้สึกของการถวิลหา เฝ้าเอาใจช่วยจากที่ห่างไกล
ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าส่งใจถึงเธอ ภาวนาให้พบเจอแต่สิ่งที่ดี
บางครั้งก็เศร้าอึดอัดที่เอื้อมมือไปไม่ได้ อยากเดินเข้าไปหา
แต่มีกำแพงมาขวางกั้น ทั้งที่เป็นกำแพงธรรมชาติ
และกำแพงที่มนุษย์สร้างกางกั้นกันเอง

"ใส่ใจ" คงแทนของภาพคนที่อบอุ่นอ่อนโยน น่าอยู่ใกล้ น่าคบหา
"ห่วงใย" คงแทนตัวตนของคนสมถะเจียมตัวอยู่ในที่ทางของตัวเอง
.............

มีกลอนอยู่บทหนึ่งผมเคยอ่านให้เธอฟังก่อนนอน
ผมชอบความหมายของกลอนบทที่ชื่อ "สุขุมสุคนธชาติ"
ของกวีซีไรต์ "แรคำ ประโดยคำ" นี้มาก โดยเฉพาะท่อนที่จะยกมา
ซึ่งหวลเข้ามาในห้วงคำนึงของผมอีกครั้งเมื่อได้รับคำถามข้างต้น
โอ้ ... ท่านแต่งได้อย่างไรนะ
......

โอ้ว่าหอมอันใดมีในชาติ
ไม่หอมได้ลึกประหลาดดังหอมเจ้า
ใช่หอมเศษสุวคันธ์พอบรรเทา
หากหอมเร้าชีวิตหอมติดตรึง

อันอ่อนนุ่มอันใดมีในหล้า
ไม่นุ่มกว่าเนื้อละมุนชวนครุ่นถึง
ใช่นุ่มเพียงสัมผัสเพียงรัดรึง
หากลึกซึ้งนุ่มกระหวัดสัมผัสใจ

อีกทั้งห่วงอันใดมีในโลก
ไม่ห่วงเท่าทุกข์โศกของเจ้าได้
ใช่แค่ห่วงที่เห็นที่เป็นไป
หากห่วงใยถึงเบื้องหน้าชะตากรรม
๏ ๛
..............
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๑๗ มค. ๒๕๔๕


การขึ้นและตกของอาทิตย์และจันทร์ คงเป็นสาเหตุให้คนรู้จักนับเวลา
สอนให้แยกความแตกต่างระหว่างวันและคืนที่มากกว่าความสว่างและความมืด
จากนั้นคนก็คำนวณความยาวที่แสงอันร้อนแรงแผดลงมาก่อนจะลาลับ
กับความมืดเหน็บหนาวในคืนเดือนดับออกมาเป็นหน่วยนับของตน
ถึงที่สุดเมื่อสมาคมกับเผ่าอื่นๆ ในแดนดินห่างไกลแล้ว
คนก็มีหน่วยสากลกำหนดให้รู้นับเท่ากัน

แค่นับวันไม่พอ ... คนยังกำหนดให้ความสำคัญกับมันอีกด้วย
สร้างวันของหมู่ชน หรือไม่ก็ในแค่กลุ่มคนเล็กๆ บ้างก็เป็นวันของคนสองคน
และสุดท้ายอาจจะเป็นแค่วันของคนๆ เดียว ... เหลือเป็นแค่ของคนๆ เดียว

ชีวิตผมไม่ค่อยมีวันสำคัญ ไม่ต้องคอยนับวันนับคืนแบบคนอื่น
ก็อยู่มันไปเรื่อยๆ เท่าที่อยู่ได้ แต่แปลกที่วันนี้ความรู้สึกภายใน
กลับบอกว่าเป็นวันอะไร ... ครบเดือนแล้วหรือ ?
..............

ผ่านเหตุการณ์มาได้ระยะหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะรวดเร็ว
แต่ก็ทำให้ความรุ่มร้อนซึมเข้าสู่ภายในเสมือนสงบนิ่งกว่าวันแรก
แม้เวลาจะพาคนห่างกันไปเรื่อยๆ แต่มันก็ช่วยให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น
โดยเฉพาะการมองเห็นความผิดของตัวเอง

ผ่านเหตุการณ์มาได้ระยะหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะรวดเร็ว
อีกไม่กี่อึดใจก็คงจะเป็น ๒ เดือน ๓ เดือน แล้วก็ผ่านพ้นปีนี้
แต่การนับวันคืนจะไปสำคัญอะไรหากใจไม่เดินตาม
.....
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

๒๐ มค. ๔๕ : ตีสอง ๓๒ นาที


ตั้งแต่เป็นคนทำงานประจำผมเริ่มกลับมารักวันหยุดอีกครั้ง
รักเหมือนนักเรียนรักวันเสาร์อาทิตย์แม้จะรู้ว่ามีการบ้านต้องทำ
นอกจากจะใช้เวลาไปกับงานบ้านจัดห้องหับ ซักผ้า ล้างพัดลม
และถูห้องแล้ว ผมยังทำเว็บไซต์ที่คั่งค้างอีกด้วย
เวลาที่เหลือจากงานเหล่านี้ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยนั้น
ผมมักจะพาตัวเองเข้าโรงหนัง หรือเดินเล่นที่ร้านหนังสือ
และมักจะเดินตลาดนัดในซอยเพื่อซื้ออาหารสดทำมากิน

พี่ชายคนขายผักจำลูกค้าประจำอย่างผมได้แม้ผมจะหายไปหลายนัด
แกจะแถมผักให้ไปลวกจิ้มน้ำพริก แต่ผมปฏิเสธเพราะกินไม่ทัน
และซื้ออาหารไว้เยอะแล้ว ผมกล่าวขอบคุณน้ำใจของเขา
มันเป็นความสุขที่ยังพอหาได้ในสังคมบ้านเรา

การได้กินอาหารฝีมือตัวเองบ้างก็นับว่าเปลี่ยนรสชาติ
อยากทำอะไรกิน และพอจะทำเป็นก็ลองทำเล่นๆ ดู
ผมรู้สึกดีที่อารมณ์อยากทำอาหารกลับมาอีกครั้ง
เนื่องเพราะมันเป็นสัญลักษณ์แทนอะไรหลายๆ อย่าง เช่น
ความสนุกสนาน ความปรารถนาพลังงานไว้ต่อสู้กับวันที่เหลือ
ที่ผมดีใจกับความรู้สึกนี้ก็เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ
ผมยังต้องการเรี่ยวแรงไว้สะสางและฝ่าฝันภาระทั้งใหม่เก่าให้จบสิ้น
ก่อนที่จะปลดเปลื้องตัวเองออกจากเรื่องราวเก่าๆ และคนบางคนให้ได้
เพื่อเดินทางไปสู่ที่ๆ อยากไป ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นผมก็ยังไม่รู้
..............


ในวันหยุด หลายๆ คนคงมีความสุขอยู่กับครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง
หรือรายการโทรทัศน์ที่รอคอย ผมจึงอยากจะเขียนอะไรสบายๆ ให้อ่านกัน
หลังจากที่คนนับสิบต้องมาทนอ่านอารมณ์ของผมแบบในสัปดาห์ก่อน
ขณะที่กำลังทำต้มยำปลาช่อนอยู่นั้นผมคิดถึงหนังเกาหลีเรื่อง il Mare
ฉากที่พระเอกบอกนางเอก หลังจากที่เธอเพิ่งอกหักว่า
ให้ลองทำอาหารดูสิ เพราะมันจะช่วยให้คนผิดหวังคลายเศร้าได้
เขาสอนเธอทำสปาเก๊ตตี้ สอนให้รู้ว่าเส้นที่เหนียวใช้ได้นั้นต้องทดสอบอย่างไร
คนดูรู้สึกว่ามันเป็นฉากที่สดใส ดูสว่าง แม้จะเป็นฉากในห้องก็ตาม


"คุณอยากฟังเรื่องรักขลังๆ จากผมมั้ย"
คุณพร้อมจะเชื่อใจผมหรือยัง"
คือสองประโยคสุดท้ายในหนังรักเรื่องนี้
แล้วคนดูก็รู้ว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างไร

แต่เพราะความรักของผมมันหมดความขลังไปนานแล้ว
ผมจึงไม่มีเรื่องรักขลังๆ มาเล่าให้ใครฟังได้อีก
นอกจากจะจินตนาการสร้างใครสักคนที่อยู่แสนไกลขึ้นมา
เธอคนนั้นจะเป็นใคร อยู่ไหน นิสัยใจคอหรือรูปพรรณอย่างไร
ผมยังไม่อาจระบุ ไม่กล้าระบุ เพราะกลัวจะเหมือนคนที่ยังตกค้างในหัวใจ

หากพรุ่งนี้ หญิงสาวคนนั้นมาอยู่ตรงหน้าผม ผมจะถามเธอว่า
"คุณอยากชิมผัดกระเพรากุ้งฝีมือผมมั้ย
คุณพร้อมจะเชื่อมือผมหรือยัง"
.....

บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
..........
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _

มนต์รักบ้านนา : ๒๗ มค. ๔๕, ตีสอง ๓๒ นาที


แดดยามบ่ายแผ่อานุภาพผ่านกระจกเข้ามาปะทะใบหน้า
ดูเหมือนว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศของรถตู้
จะช่วยอะไรผมไม่ได้มากนักจึงต้องกางมือป้องเปลวแดดที่ร้อนแรงนั้น
นึกอิจฉาฝูงนกในนาข้าวไม่ได้ อย่างน้อยพวกมันก็ยังสามารถชวนกัน
บินไปหาร่มเงา หรือยืนแช่น้ำหาอาหารอย่างนั้นไม่เงียบเหงา
ผิดกับผมที่ต้องนั่งคุยกับตัวเองเงียบๆ ในการเดินทางนับร้อยกิโลเมตร
บนเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยา และนครนายก
จนกระทั่งพาหนะของเราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนรังสิต - นครนายก
แสงแดดจึงเปลี่ยนมุมให้คนได้เย็นลง ภาพข้างทางจึงเปลี่ยนจาก
ทุ่งนากลายเป็นคลองเลียบถนนให้คนเย็นตาเย็นใจขึ้นบ้าง
ผมอดคิดถึงคนบางคนไม่ได้ แต่พีซีทีหมดสัญญาณไปแล้ว
....
ความเหนื่อยล้าจากการงาน ผู้คน และการเดินทางเข้า - ออกเมือง
ช่วยให้ผมหลับง่ายขึ้นไม่ต้องพึ่งพาเพื่อนเก่าแบบหลายวันก่อน
ภายนอกก็ดีกับกระเป๋าสตางค์ และสุขภาพ แต่บางสิ่งก็ถูกดันลึกเข้าไปข้างใน
ผมดีใจที่การเดินทางไปนครนายกในวันนี้ทำให้จิตใจรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
หวังที่จะได้เห็นฉากและชีวิตใหม่ๆ เพื่อเก็บไว้เขียนถึง
.........
เสียงช่างกล้องตอบคำถามหัวหน้าที่ว่า "วัดช้าง" ที่เราจะไปนั้นอยู่ไหน
เรียกเสียงหัวเราะและดึงผมกลับมาสู่โลกส่วนรวมอีกครั้ง เมื่อเขาตอบว่า
"เห็นงวงก็ใกล้ถึงแล้วล่ะพี่ ... เห็นงาล่ะใช่เลย"
.........


อาทิตย์เริ่มลาจากฟ้ายิ่งทำให้เปลวไฟในเตาหลอมโลหะ
ที่ใช้หล่อพระกิ่งและพระประธานสวยงามเด่นชัดยิ่งขึ้น
ชายชุดขาวในเขตพิธีกำลังรีบเร่งทำงานแข่งกับเวลาและความร้อน
พวกเขาต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนถึงฤกษ์เททองที่ใกล้เข้ามาทุกที
ผมชวนช่างกล้องให้ไปเก็บภาพมุมสูง เพราะอยากจะเห็นพระเพลิงในมุมใหม่ๆ
เสียดายที่วัดไม่มีหอระฆัง แต่ผมก็ไปขออนุญาตใช้ห้องของพระรูปหนึ่ง
ความสูงขนาดชั้นสองคงพอจะช่วยให้ช่างกล้องจับภาพอย่างได้ที่ผมต้องการ
ผมยิ้มเล็กน้อยที่ช่างภาพนิ่งจากสื่อสิ่งพิมพ์ตามขึ้นไปบ้างเมื่อเราลงมา
.........

มีภาพสวยงามหลายภาพที่เกิดขึ้นในวันนี้
ภาพสีเหลืองทองสุกปลั่งของโลหะมีค่าที่หลอมจากเตาจนได้ที่
ภาพพลุ ๗๒ นัดที่จุดเฉลิมฉลองทำให้ท้องฟ้าสว่างไสว
ภาพเด็กน้อยที่วัยเอามือมาโดนหลังผมก่อนจะผลักจากอกแม่
มาให้ผมอุ้มอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า เสียดายที่บันทึกลงเทปไม่ได้
นอกจากในความทรงจำ รวมไปถึงภาพน้ำใจของคนบ้านนาที่หาข้าวให้ผมกิน
........

แต่ภาพที่ผมจำได้ดีที่สุดและนั่งคิดมาตลอดระหว่างการเดินทางกลับ
ขณะเบียร์ในกระป๋องกำลังช่วยคลายความเมื่อยล้าจากภาระกิจตั้งแต่รุ่งสาง
ผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังสุดของรถตู้ก็หลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวอีกครั้ง
ร้อยกว่ากิโลเมตรเป็นระยะทางที่จะทำให้คนนึกถึงเรื่องราวได้มากมาย
ผมคิดถึงภาพในกำแพงของพระอุโบสถซึ่งเป็นที่พำนักของเถ้ากระดูก
เห็นประวัติการกำเนิดและจากไปของผู้คนในตำบลนี้ อำเภอนี้
และมีคู่ชีวิตหลายคู่ที่ลูกหลานเก็บเถ้าถ่านสุดท้ายไว้ด้วยกันในกำแพง
......


บางทีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ผสมเข้ากับบรรยากาศขลัง
และความรู้สึกที่แบกติดมาของคน ก็ทำให้ผมจินตนาการไปต่างๆ นานา
คิดเป็นเรื่องราวความรักของคนคู่หนึ่งเหมือนว่ากำลังเขียนบทภาพยนตร์
ไม่ใช่ผู้ผลิตรายการเกี่ยวกับศาสนาอย่างที่เป็นอยู่เป็นมาเกือบครบเดือน
แม้ไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก แต่ผมก็รู้ว่าชีวิตของคนทั้งคู่ย่อมมีทั้งสองด้าน
ทั้งสุขและทุกข์จนตายจากกันไป ตรงนี้สามารถใส่เหตุการณ์เข้าไปได้

ผมจะให้ฝ่ายชายเป็นคนทำหน้าที่หล่อพระกริ่งรุ่นแรกของวัดเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว
ให้ฝ่ายหญิงเป็นแม่ครัวในโรงทานคอยทำอาหารเลี้ยงดูผู้คนที่มาร่วมในงานบุญ
และอาจจะเล่าเรื่องตลกๆ สบายๆ ผ่านสายตาของนักข่าวสายพระเครื่อง
ที่มาตามหาพระกริ่งรุ่นแรกไปบูชาแทนที่ขุนแผน (ไม่ขลัง) ที่เขาห้อยอยู่
เขาสืบเสาะหาเจ้าของผู้ครอบครองพระกริ่งวัดช้างจนได้ฟังเรื่องราวของคนสร้างพระ
เขาก็จะได้เข้าใจความรัก สิ่งที่จะทำให้คนรัก และยอมที่จะรักใครอีกสักครั้ง
ซึ่งมันต้องไม่ใช่เพราะของขลัง หากแต่เป็นความดีในหัวใจที่เขามีให้อีกฝ่าย
โดยดำเนินเรื่องควบคู่ไปกับชีวิตรักของชายหนุ่มหญิงสาวเมื่อ ๖๐ ปีก่อน
และตอนจบเรื่อง ผมจะเขียนบทให้เขาหลงรักเมืองนี้
ให้มีหญิงสาวคนหนึ่งบอกกับเขาว่า
ถนนสายรังสิต - นครนายกสวย ใครผ่านมาก็ชอบทั้งนั้น
แค่นี้ผมก็ประทับใจในหนังส่วนตัวระหว่างทางกลับบ้านแล้ว
.........


ยิ่งใกล้เดือนแห่งความรัก ผมไม่รู้ว่านิยามความรักของหนุ่มสาวสมัยนี้
จะเป็นอย่างวรรณกรรมร่วมสมัยที่ตัวละครมักจะสัญญาใต้ต้นโพธิ์ต้นไทรร่วมกันว่า
จะรักและจะอยู่ด้วยกันตราบจนวันตายหรือเปล่านะ เพราะไม่ค่อยเห็นใครพูดกันแล้ว
หากแต่มีนิยามอื่นๆ ที่ฟังดูเท่กว่าเข้ากับยุคสมัยมากกว่ามาแทนที่
เป็นต้นว่า ... ความรักแรงชัดทุกที่เหมือนมีจีเอสเอ็ม ๒ วัตต์ ฯลฯ
......
แต่ถึงคนจะพูดกันน้อยลง ผมก็อยากให้คนยังเชื่อ ปรารถนา
และฝ่าฟันอุปสรรคไปถึงความฝันข้อนี้อยู่
เมื่อเรารักใครสักคน และเมื่อได้รักตอบแล้ว
ก็อยากจะอยู่เคียงข้างคนๆ นั้นเป็นคู่ทุกข์คู่ยากไปจนวันตาย
.......


ข้อมูลบนแผ่นหินอ่อนเล็กๆ ในกำแพงนั้น
บอกเล่าเพียงว่า
....
คนทั้งคู่มีอายุบนโลกใบนี้ ๘๐ ปีพอดี
ฝ่ายชายเกิดก่อนฝ่ายหญิง ๑ ปี
และฝ่ายหญิงอำลาโลกใบนี้
หลังจากที่คู่ชีวิตของเธอล่วงหน้าไปก่อน ๑ ปี
................

เที่ยงคืน ๓๕ นาที, คืนวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๕
บ้านสีฟ้าจะกลับมาใหม่ เมื่อหัวใจคนสมบูรณ์
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ชื่อ
อีเมล์
ความคิดเห็น

 
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้กรุณาติดต่อเว็บมาสเตอร์ก่อนนะครับ : )
© 2000 - 2001 Aphichet Piyasri All Rights Reserved.
www.thaidot.com

1