พระองค์ทรงสร้างเมืองเวียงกุมกามเพื่อเป็นที่ประทับในปีพศ. 1829(1286)และสร้าง
เมืองเชียงใหม่ในปีพศ.1839(1296) โดยมีพระสหายคือพ่อขุนรามแห่งสุโขทัยและพระ
ยางำเมืองแห่งพะเยาเป็นผู้ช่วยเหลือ แล้วจึงประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่จนสิ้นพระชนม์
เชียงใหม่จึงมีฐานะเป็นเมืองหลวงของล้านนาตั้งแต่บัดนั้น และได้สร้างความเจริญต่อ
มาถึง 265 ปี ยกเว้นระหว่างปีพศ.1854-1888 (1311-1345) ซึ่งกษัตริย์เชียงใหม่
ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เชียงรายและเชียงแสนเป็นการชั่วคราว โดยเชียงใหม่มีฐานะ
เป็นเพียงเมืองเจ้าราชบุตร เนื่องจากดินแดนทางลุ่มแม่น้ำกกยังไม่มีความสงบเรียบร้อย
ดี จำเป็นต้องจัดการให้เรียบร้อย จนถึงสมัยพระเจ้าคำฟูซึ่งรวมเอาแคว้นพะเยาเข้ามา
ไว้ในอำนาจได้ในปีพศ.1881เมื่อพระเจ้าผายูขึ้นเป็นกษัตริย์เชียงใหม่ในปีพศ.1888
จึงมิได้ประทับที่เชียงแสนเหมือนกษัตริย์ล้านนาองค์ก่อนๆ
เชียงใหม่มีความเจริญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และศาสนา ตลอดจนศิลปและ
วัฒนธรรมที่เป็นแบบฉบับล้านนาโดยเฉพาะ ซึ่งเกิดจากการที่เชียงใหม่ได้มีการติดต่อ
กับอาณาจักรต่างๆเช่น พุกาม และสุโขทัย มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ศิลปและ
สถาปัตยกรรม แล้วจึงนำมาผสมผสานจนเกิดเป็นศิลปในแบบเฉพาะของล้านนา แม้
ในเวลาที่พม่าเข้ามาปกครอง พม่ายังได้สร้างถาวรวัตถุเอาไว้ในเมืองเชียงใหม่มากมาย
แต่ก็ไม่เคยได้สร้างอะไรที่เป็นรูปแบบของพม่า โดยล้วนสร้างในรูปแบบล้านนาทั้งสิ้น
ในสมัยพระเจ้ากือนา เชียงใหม่ได้รับเอาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์มาจากเมือง
สุโขทัย โดยพระสุมนเถระเป็นผู้นำเข้ามาในปี พศ.1914 (1371) เชียงใหม่จึงกลาย
เป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาแทนหริภุญไชย นับแต่นั้น
ประมาณปีพศ. 2092 เชียงใหม่ยังไม่มีกษัตริย์ปกครอง จึงได้เชิญเจ้าเชษวงศ์
โอรสของ
พระเจ้าโพธิสารธรรมิกราช กษัตริย์ล้านช้างและพระมารดาเป็นเจ้าหญิงจากเมืองเชียง
ใหม่ ให้มาครองเมืองเชียงใหม่ ทรงพระนามว่าพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ปีพศ.
2094 พระไชยเชษฐาก็กลับไปเมืองหลวงพระบาง พร้อมทั้งได้นำเอาพระแก้วมรกต พระแก้ว
ขาว (พระแก้วผลึก) และพระแซกคำไปไว้ที่เมืองหลวงพระบางด้วย ในปีพศ. 2101
ทางหลวงพระบางเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น พระไชยเชษฐาจึงได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่
เวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปไว้ที่เวียงจันทน์ในคราวเดียวกันนั้น
ต่อมา
ภายหลัง ชาวเมืองเชียงใหม่จึงได้ติดตามไปทวงพระแก้วมรกตคืน โดยได้พากันพักแรม
อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงในฝั่งไทย แต่พระไชยเชษฐาก็คืนให้แต่พระแก้วขาวเท่านั้นโดยยังคง
เก็บรักษาพระแก้วมรกตและพระแซกคำไว้ที่เมืองเวียงจันทน์ จนถึงสมัยกรุงธนบุรี
เมื่อ พระเจ้าสิริบุญสารเจ้าเมืองเวียงจันทน์ได้ฆ่าพระวอซึ่งหนีมาพึ่งไทยตายที่หนองบัวลำภู
ทางธนบุรีจึงได้ส่งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกกองทัพขึ้นไปปราบ แล้วจึงได้อัญ
เชิญพระแก้วมรกตมาไว้ยังกรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ ตามลำดับ
ในขณะที่เชียงใหม่กำลังสร้างความเจริญอยู่นั้น ในเวลาเดียวกันก็ต้องเผชิญกับปัญหา
ทางด้านสงครามกับอยุธยาและพม่าอยู่บ่อยครั้ง ดังจะเห็นได้ว่ามีการยกทัพมาสู้รบกัน
อยู่เสมอ จนกระทั่งในสมัยพญาญีบา เชียงใหม่เกิดความอ่อนแอทางด้านเศรษฐกิจ
อย่างหนัก บางปีมีอัตราเงินเฟ้อถึง 45% ทำให้เชียงใหม่เกิดปัญหาอย่างมาก
ซึ่งใน
บางสมัยไม่มีการสร้างวัดเลย เพราะประชาชนไม่มีเงินที่จะสร้าง ดังนั้นในปีพศ.
2101
(1558) ในสมัยพระเจ้าเมกุฎิ เมื่อถูกพม่าโดยพระเจ้าบุเรงนอง บุกเข้าโจมตีจึงเสีย
เมืองให้พม่าโดยง่ายในเวลาเพียง 3 วัน และถูกพม่าเข้าครอบครองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ปีพศ.2244 (1701) พม่าได้แบ่งล้านนาออกเป็น 2 ส่วนคือตัดเชียงแสนออกไป
โดย
ให้เมืองเล็กๆ ในบริเวณนั้นขึ้นกับ เมืองเชียงแสน จนถึงปีพศ.2317 (1774)
เชียง
ใหม่จึงได้หลุดพ้นจากอำนาจพม่าด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยเจ้ากา
วิลละได้ขอความช่วยเหลือมายังธนบุรีแล้ว เชียงใหม่จึงเข้ามาสวามิภักดิ์กับไทยและ
เป็นดินแดนส่วนหนึ่งของไทย จนถึงทุกวันนี้