ความเป็นมา
ในปีพศ.1776 สุโขทัยได้รับการสถาปนาเป็นราชธานีแห่งแรกของชนชาติไทย หลัง
จากที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ใน บริเวณอุษาคเนย์มาเป็นเวลานาน และมีการรวมตัวกัน
จนเป็นปึกแผ่น ในขณะเดียวกัน อิทธิพลเขมรซึ่งครอบ คลุมดินแดนแถบนี้อยู่ก่อน
เริ่มเสื่อมอำนาจลง พ่อขุนผาเมืองผู้นำคนไทย และเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าชัยวร
มันที่ 8 กษัตริย์เขมรในขณะนั้น ร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาว ประกาศตนเป็นเอก
ราช ไม่ขึ้นต่ออาณาจักรเขมรอีกต่อไป เมื่อสำเร็จแล้ว พ่อขุนบางกลางหาวก็ขึ้นเป็น
กษัตริย์องค์แรกของสุโขทัยทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์โดยมีพระโอรสที่เป็น
กษัตรย์ต่อมาคือ พ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหง คำว่าคำแหง แปลว่า
เก่งกล้า
สามารถ ได้มาจากการที่พระองค์ได้ทำการต่อสู้กับขุนสามชนจนได้รับชัยชนะ
ในขณะ
ที่ยังมีพระชนม์เพียง 19 พรรษาเท่านั้น
สุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกตรองลูก ดังพระนามของพระมหากษัตริย์ของสุโขทัย
ทุกพระองค์ จะใช้คำนำหน้า ว่าพ่อขุนหรือพระมหาธรรมราชาทั้งสิ้น ไม่ใช้คำว่าสมเด็จ
พระรามาธิบดีหรือสมเด็จพระบรมราชา ซึ่งเป็นคำที่ใช้กันในระบบเทวาธิราชเช่นใน
สมัยอยุธยาหรือเขมร สุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองมากทางด้านการศาสนา การเมือง
และเศรษฐกิจ ได้ส่งสมณะฑูติไปประเทศศรีลังกา และนำศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์
เข้ามาเผยแพร่ในราชอาณาจักรศิลปะและสถาปัตยกรรมสุโขทัยมีลักษณะเฉพาะ ที่เห็น
ได้ชัดคือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัวตูม พระพุทธรูป ปางลีลา รวมทั้งการสร้าง
พระพุทธรูปที่มีลักษณะอ่อนช้อยสวยงาม พระพักตร์รูปไข่ได้สัดส่วน ทางด้านสิ่งก่อ
สร้าง ก็มีการผสมผสานศิลปะ ของสุโขทัยและศิลปะเขมร เช่นที่วัดศรีสวายและวัดพระ
พายหลวง เป็นต้น เนื่องจากอิทธิพลเขมรยังไม่หมดไปเสียทีเดียว
เนื่องจากพื้นที่สุโขทัยมีลักษณะลาดเอียงไปทางตะวันออก ทำให้ไม่มีความสามารถใน
การกักเก็บน้ำได้ดีนัก แต่กษัตริย์สุโขทัยก็แก้ปัญหาด้วยการสร้างเขื่อนเก็บน้ำที่เรียกว่า
สรีดภงค์ หรือทำนบพระร่วง อยู่ทางตะวันตกของเมือง แล้วต่อท่อส่งน้ำเข้ามาในเมือง
และสร้างตระพังหรืออ่างเก็บน้ำไว้ทั่วเมือง ตามอย่างเขมรที่สร้างอ่างเก็บน้ำ[Baray]
ขนาดใหญ่เอาไว้ ทำให้สุโขทัยมีน้ำใช้ตลอดปี และมีความอุดมสมบูรณ์ ดังคำที่กล่าว
เอาไว้ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน
นอกจาก สุโขทัยจะมีอาชีพหลักในการทำการเกษตรแล้ว ยังพบว่าในสมัยสุโขทัยมีการผลิตเครื่อง
สังคโลก และส่งไปขายยังต่างประเทศอีกด้วย มีการขุดพบเตาทุเรียงจำนวนมากถึง
49
เตากระจายกันอยู่รอบๆตัวเมือง รวมทั้งในเมืองศรีสัชนาลัยด้วยคำว่าสังคโลก
สันนิษ
ฐานว่าคงจะมาจากคำว่า ซ้องโกลก หมายถึงแผ่นดินซ้องในประเทศจีน เนื่องจากสุโข
ทัยนำ รูปแบบการทำเครื่องเคลือบมาจากจีน
ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อยปราศจากสงคราม
พระองค์ยังได้นำกระดิ่งไป แขวนไว้ที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้ประชาชนที่มีความเดือด
ร้อนและต้องการความช่วยเหลือจะเข้ามาสั่นกระดิ่ง แล้วพระองค์ก็จะได้ทำการช่วย
เหลือตามสมควรต่อไป นอกจากนั้น พระองค์ยังได้ทำสัญญาเป็นไมตรีกับพระยาเม็ง
ราย และยังได้ช่วยพระยาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่อีกด้วย โดยร่วมมือกับพระยางำ
เมือง แห่งเมืองพะเยา อีก พระองค์หนึ่ง โดยที่ทั้ง 3 พระองค์ได้ตกลงกันไว้ว่า
จะไม่รุก
รานซึ่งกันและกัน และจะขยายอาณาเขตไปในทิศทาง ตรงข้ามกัน ทำให้ไม่ต้องพะวง
ว่าจะมีศึกมาจากอีกด้านหนึ่งในสมัยพระยาลิไท ซึ่งตรงกับสมัยที่ได้มีการสร้างเมือง
อยุธยาทางตอนใต้แล้ว ทางสุโขทัยเองก็มีความเจริญเป็นอย่างมากทางด้านการ
ศาส
นา มีการสร้างวัดและพระพุทธรูปสำคัญจำนวนมากเช่น พระพุทธชินราช และวัดพระ
ศรีรัตนมหาธาตุ ใน เมืองพิษณุโลก เป็นต้น แต่หลังจากนั้น สุโขทัยก็เริ่มหมดความ
สำคัญลงเรื่อยๆ ในขณะที่ทางอยุธยาก็มึความเข้มแข็งมากขึ้นทุกที และในที่สุด
ภาย
หลังจากที่พระยาบรมปาล กษัตริย์องค์สุดท้ายของสุโขทัยสิ้ยพระชนม์ลง สุโขทัยก็ไม่
อาจรักษาอำนาจและความเป็นราชธานีเอาไว้ได้ และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอา
ณาจักรอยุธยา โดยสมบูรณ์ อาณาจักรสุโขทัยก็ต้องสิ้นสุดลงในปึพศ. 1981
(1438)
ซึ่งเป็นปีที่พระยาบรมปาลสิ้นพระชนม์ ตรงกับรัชสมัยของเจ้าสามพระยา
เนื่องจากสุโขทัยได้สูญสิ้นอำนาจลงไปเอง มิได้ถูกอยุธยาบุกเข้าโจมตีหรือทำลายแต่
อย่างใด ทำให้ซากโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ยังคงมีความสมบูรณ์ดีอยู่พอ
สมควร อาจจะปรักหักพังไปบ้างเนื่องจากกาลเวลา ที่ผ่านไปนาน และจากการที่รัช
กาลที่ 1 ทรงย้ายเมืองและผู้คนไปอยู่ ณ ตัวเมืองใหม่ทุกวันนี้ โดยปล่อยให้สุโขทัย
เมืองเก่าต้องดำรงอยู่โดยไม่มีใครดูแล และอาจจะถูกไฟป่าเผา ไปบ้างในบางปี
มิได้
เกิดจากการศึกสงครามแต่อย่างใด
อุทธยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
อยู่ห่างจากตัวเมืองใหม่ทางทิศตะวันตก 12 กม. กรมศิลปากรทำการมาบูรณะเมื่อประ
มาณปีพศ. 2500 จนในปัจจุบัน บริเวณเมืองเก่าสุโขทัยจึงมีสภาพสวยงาม เป็นสถาน
ที่สำหรับศึกษาค้นคว้าและพักผ่อน โดยเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับคนไทยคน
ละ 10 บาท และชาวต่างประเทศคนละ 40 บาท เปิดให้เข้า ชมเวลา 06.00 - 18.00
น.ทุกวัน บริเวณเมืองเก่ายังมีซากกำแพงเมือง 3 ชั้นและคูน้ำกั้นระหว่างกำแพงแต่ละ
ชั้น มีตระพังใหญ่อยู่กลางเมืองคือ ตระพังตระกวน อุทธยยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้
ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ อุทธยานชั้นในและอุทธยานชั้นนอก
อุทธยานประวัติศาสตร์ชั้นใน มีโบราณสถานที่สำคัญคือ
1.วัดมหาธาตุ เป็นวัดสำคัญกลางเมือง
มีเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ สัญลักษณ์ของศิลปะ
สุโขทัยเป็นประธานของวัด ขนาบข้างด้วยพระอัฏฐารส มีวิหารหลวงขนาด 11 ห้องอยู่
ด้านหน้าเจดีย์ทางทิศตะวันออก วิหารนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อโลหะ
ขนาดใหญ่ คือพระศรีสากยมุนี ซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดให้ อัญเชิญลงมาไว้ที่กรุงเทพฯ.
และประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดสุทัศน์จนถึงทุกวันนี้ ที่ด้านหน้าสุดของวิหารหลวง
มีวิหารขนาดเล็กหลังหนึ่งบังอยู่ข้างหน้า สันนิษฐานว่า คงสร้างขึ้นมาใหม่
ในสมัยอยุธ
ยา พร้อม ทั้งพระพุทธรูปบนวิหารก็มีลักษณะของสมัยอยุธยาเหมือนกัน มีโบสถ์ขนาด
เล็กอยู่ด้านข้างซึ่งเป็นที่นิยมกันในสมัยนั้น ทั้งสุโขทัยและล้านนาซึ่งให้ความสำคัญแก่
วิหารมากกว่าโบสถ์และสร้างวิหารเอาไว้ที่ ด้านหน้าพระเจดีย์ ตัวเจดีย์เองทำเป็นเรือน
ปราสาท ฐานยกขึ้นสูง 3 ชั้น ลวดลายปูนปั้นประดับเป็นรูปพระพุทธ รูปปางลีลาอยู่รอบ
ฐานของเจดีย์ มีซุ้มทิศประจำทั้ง 4 ทิศ เป็นปรางค์ขนาดย่อมแบบเขมรสร้างด้วยศิลาแลง
ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนอยู่ในซุ้ม ปัจจุบันได้สูญหายไปหมดแล้ว ที่กรอบซุ้มด้านบน
หรือส่วนที่เป็นทับหลังด้านทิศตะวันออก เป็นลายปูนปั้นแสดงท่ารำและเครื่องแต่งกาย
ของนางรำในสมัยสุโขทัย ซึ่งต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีผู้ นำแบบที่พบนี้ไปประดิษฐ์
เป็นท่ารำและเครื่องแต่งกายที่เรียกว่า ระบำศรีวิชัยภายในบริเวณวัดยังมีเจดีย์ต่างๆ
อีก
หลายองค์ ซึ่งวัดมหาธาตุเป็นที่รวมของศิลปะในยุคต่างๆ กัน เช่น ที่ ด้านข้างทางทิศใต้
ของเจดีย์ประธาน มีเจดีย์ศิลปะทวาราวดีและเจดีย์รูปแบบศิลปะอินเดียอยู่ใกล้ๆกัน
2. วัดศรีสวาย มีปรางค์แบบศิลปะเขมร
3 องค์เป็นประธานของวัด ก่อด้วยศิลาแลง มีวิ
หารทางด้านหน้า และกำแพงศิลาล้อมรอบ สันนิษบานว่าคงเป็นแรกๆ ที่สร้างในสมัย
สุโขทัย
3. วัดสระศรี อยู่บนเกาะในตระพังตระกวนทางด้านเหนือของอุทธยานฯ.ชั้นใน
มีโบ
ราณสถานคือเจดีย์ทรง ลังกา วิหารและโบสถ์ เรียงกันอยู่ภายในวัดจากทิศตะวันตก
ไปทางทิศตะวันออก ทั้งหมดหันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยโบสถ์จะแยกอยู่บนเกาะ
น้อยทางทิศตะวันออกของเกาะใหญ่ซึ่งเป็นวัด เจดีย์ที่วัดนี้ เป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบ
สุโขทัยคือ ไม่มีเสาหารที่เหนือบัลลังก์ มีฐาน 3 ชั้นซึ่งไม่สูงมาก และพบพระพุทธรูป
สำริดและเครื่องสังคโลก สมัยราชวงศ์เหม็งของจีนจำนวนมากที่บริเวณวิหารวิหาร
ภายในวัด
อุทธยานประศาสตร์ชั้นนอก
1. วัดศรีชุม อยู่นอกกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ มีมณฑปขนาดใหญ่ ภายในประดิษฐาน
พระอัจนะ ผนังหนา 3 เมตร มีช่องที่ประตูทั้ง 2 ด้าน ด้านซ้ายเป็นช่องสำหรับเดินขึ้น
เป็นทางภายในผนัง ด้านบนมีช่องโผล่ที่บริเวณ ระดับพระพักตร์ขององค์พระและต่อไป
ได้จนถึงด้านหลัง บนเพดานภายในทางเดินขึ้น พบภาพสลักอยู่บนหินชนวน เป็น
ภาพเล่าเรื่องชาดกจำนวน 50 ภาพ ปัจจุบันยังคงเก็บรักษาไว้ในที่เดิม ส่วนอุโมงค์ด้าน
ขวาเป็นทางเดินลงข้าง ล่าง ปัจจุบันได้พังไปหมดแล้วในตำนานเมืองเหนือและรวมทั้ง
บันทึกต่างๆของทางเหนือ ต่างก็กล่าวไว้เสมอว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมายัง
ดินแดนแถบ
นี้ และได้สร้างเรื่องและตำนานต่างๆไว้มากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว
หมายความ
ว่า ถ้าพระ พุทธเจ้าเสด็จมา พระองค์ก็ต้องเสด็จออกจากที่ที่พระองค์ประทับ
แล้วมุ่งมา
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงจะถึงยังดินแดนโยนก และในทางตรงกันข้าม ผู้คนที่อยู่ใน
ดินแดนโยนกก็ต้องนึกถึงว่า ทิศทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากมานั้น คือทิศตะวันตกเฉียง
เหนือ ตามทฤษฏีนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ทิศดังกล่าวจะมีความสำคัญไม่มากก็น้อย
ใน
การสร้างวัดศรีชุม ซึ่งบังเอิญอยู่ในทิศทางดังกล่าวพอดี และตัวอาคารที่ประดิษฐานพระ
อัจนะนั้น ก็มีช่องทางเดินขึ้นไปสู่ข้างบนได้ เช่นเดียวกับวัดเจ็ดยอดของเมืองเชียงใหม่
ซึ่ง
ก็ตั้งอยู่ในทิศดังกล่าวเหมือนกัน และรูปแบบขององค์เจดีย์ก็เป็นการจำลองมาจากพุทธ
คยาของอินเดีย ซึ่งเป็นที่ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ซึ่งอาคารดังกล่าวยังไม่
ถึงกับพังไป
มากนัก เนื่องจากไม่ได้ถูกทำลาย แต่ที่วัดศรีชุมนี้ อย่างน้อยก็ถูกทำลายโดยสงคราม
หลายครั้ง และถูก เผาโดยพ่อค้าชาวจีนในสมัยหลังอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ทำให้ตัวอา
คารได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่อาจเดาได้ว่าอาคารของเก่าจริงๆนั้น
จะ
มีรูปแบบเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่า รูปแบบของอาคารน่าจะเหมือนกับ
วัดเจ็ดยอด
ที่เชียงใหม่ เนื่องจากมีความคล้ายกันอยู่หลายประการคือ อยู่ในทิศทางเดียวกัน
มีทาง
เดินภายในกำ แพงเหมือนกัน เป็นต้น และการที่เชียงใหม่ได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรม
หลายๆ อย่างจากสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศาสนา จากสุโขทัย ทำให้ทฤษฏีดัง
กล่าวนั้น มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
2. วัดพระพายหลวง เป็นวัดใหญ่นอกกำแพงเมืองทางทิศเหนือตรงข้ามวัดศรีชุม
ขุด
พบโบราณวัตถุมากมาย สถาปัตยกรรมของวัดนี้พบว่า เป็นการสร้างเลียนแบบสถาปัตย
กรรมเขมรที่ค่อนข้างสมบูรณ์
3. วัดสะพานหิน อยู่ทางด้านตะวันออกคนละฟากภูเขาของเมืองสุโขทัย
พบสะพานที่
สร้างด้วยหินทอดตัวขึ้นสู่ยอดเขาซึ่งมีความสูงไม่มากนัก ปรากฎซากวิหารและพระพุทธ
รูปยืนประดิษฐานอยู่ วัดนี้เป็นศูนย์กลาง ของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญญิก มีบันทึกว่า
มีพิธีรับ เสด็จพระสังฆราชของประเทศศรีลังกาที่วัดป่ามะม่วง ซึ่งอยู่ในบริเวณ
ใกล้ๆ กัน
นอกจากโบราณสถานที่สำคัญต่างๆ แล้วยังเชื่ออีกว่า สุโขทัยยังเป็นสถานที่ต้นกำเนิด
ประเพณีลอยกระทงอีกด้วย โดยมีนางนพมาศเป็นผู้กระทำพิธีนี้เป็นคนแรก แต่ต่อมา
รัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยว
กับประเพณีลอยกระทงนี้ และได้ทรงมีข้อคิดเห็นที่พอสรุปได้ว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธี
ที่ต้องการน้ำธรรมชาติเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่สุโขทัยในช่วงเวลาดังกล่าว
เป็นช่วง
เวลาที่มีน้ำน้อย ไม่ เหมาะแก่การประกอบพิธีที่เกี่ยวกับน้ำ ดังนั้นประเพณีลอยกระทง
นี้ คงจะเกิดขึ้นที่อยุธยาเป็นครั้งแรกมากกว่า เพราะในเดือนสิบสอง ที่อยุธยาจะยังพอ
มีน้ำอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ก็ยังถือว่าสุโขทัยเป็นต้นกำเนิดของประเพณีลอยกระทงอยู่
จนทุกวันนี้ และทางจังหวัดจะจัดงานวันลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี มีการแสดง
แสง สีเสียง ภายในบริเวณอุทยานฯ ชั้นใน