สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการปลูกบ้าน อาทิเช่น
- ไม่ปลูกเรือนขวางตะวัน หมายถึงไม่ปลูกโดยหันหน้าบ้านหรือที่เรียกว่าด้านแปไป
ทางทิศที่ตะวันขึ้นหรือลง คือทิศตะวันออกและตะวันตก เพราะจะทำให้หน้าบ้านต้อง
รับแดดจัดซึ่งจะทำให้บ้านร้อนจัด ดังนั้นด้านแปซึ่งเป็นหน้าบ้านจะอยู่ทางทิศเหนือ
หรือใต้ ส่วนด้านหัวท้ายหรือที่เรียกว่าด้านสกัด จะอยู่ทางตะวันออกหรือตะวันตก
แทน แต่เคยมีผู้สันนิษฐานว่า ด้านสกัดคงจะเคยเป็นหน้าบ้านมาก่อนในสมัยโบราณ
แล้วจึงเปลี่ยนมาใช้ด้านแปเป็นหน้าบ้านในภายหลัง เนื่องจากพบข้อสันนิษฐานที่สำ
คัญหลายอย่าง ประการหนึ่งคือ การสร้างโบสถ์ หรือ วิหารของวัดทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้
แม้ในปัจจุบันนี้ ที่จะมีด้านสกัดเป็นด้านหน้า และอยู่ทางทิศตะวันออกเป็นส่วนมาก
เรือนไทยในสมัยก่อนก็คงเป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่า วัดเลียนแบบบ้านหรือบ้าน
เลียนแบบวัด ต่อมาภายหลังคงจะเห็นแก่ความสะดวก และความจำเป็นบางประการ
จึงได้เปลี่ยนให้ด้านแปเป็นด้านหน้าแทน
- ชิมดิน คือการตรวจที่ที่จะปลูกบ้านว่าจะเป็นที่ที่ดี เป็นมงคลหรือไม่เพียงใด
โดยการ
ขุดหลุมลึกพอประมาณ เอาใบตองวางไว้ก้นหลุม เอาหญ้าคาที่สดและสะอาดวางไว้บน
ใบตอง ทิ้งไว้คืนหนึ่งให้ไอดินระเหยออกมาจับที่หญ้าคานั้น ตอนเช้าก็ลองชิมน้ำที่จับ
อยู่ว่าจะมีรสชาดอย่างไร ถ้าจืดถือว่าดีเป็นมงคล ถ้าหวานถือว่าปานกลาง
ถ้าเปรี้ยว
ถือว่าไม่ดี ไม่เป็นมงคล นอกจากชิมดินแล้ว ยังมีการดมดินด้วย ถ้าหอมถือว่าดีถ้า
กลิ่นเผ็ดหรือเหม็นถือว่าไม่ดี
เสาเรือน
เสาเรือนถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับเรือนไทย จะอยู่เย็นเป็นสุขหรือมีทุขโศก
โรคภัยก็อยู่ที่เสาเรือนนี้เอง ดังนั้น การเลือกหาเสาเรือนจึงต้องพิถีพิถันกันเป็นการ
สำคัญ ต้องเลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะได้เสาเรือนที่ต้องการ ในสมัยก่อน
การจะหา
เสาเรือนนั้น ต้องออกไปหาตัดเอาตามป่า ไปกันที่หนึ่งก็ต้องเป็นคณะใหญ่
เพราะ
ต้องหาไม้เอามาทำเครื่องปรุงหลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะทำเสาเรือนอย่างเดียว
ไม้ที่ใช้
ก็มักจะเป็นไม้เต็งหรือไม้รังเท่านั้น เพราะเมื่อฝังลงไปในดินแล้ว สามารถที่จะอยู่ได้
เป็นเวลานานๆถึง 40-50 ปี โดยไม่ผุ มดปลวกก็ไม่เจาะไช ขนาดก็ไม่ใหญ่จนเกิน
ไป เนื้อไม้ก็ไม่แข็งจนเกินไปสำหรับที่จะต้องนำมาเกลาหรือเจาะเพื่อปรุงเข้ากับส่วน
ประกอบอื่นๆ แม้ไม้สักก็ไม่เหมาะที่จะทำเสาเรือน เพราะไม้ที่ได้อายุพอที่จะทำเสา
ได้ก็จะมีอายุมาก และใหญ่เทอะทะ หรือไม้อื่นที่มีคุณสมบัติพอทำเสาเรือนได้ก็ไม่เอา
เพราะมีชื่อที่ไม่เป็นมงคล ดังนั้น ไม้ที่เหมาะที่สุดคือ ไม้เต็ง และไม้รัง
ไม้ที่จะนำมา
ทำเสาเรือนนั้น ต้องเป็นไม้ที่มาจากป่าเดียวกัน เท่านั้น กล่าวกันว่า
ถ้าเป็นไม้คน
ละป่า เทวดาที่รักษาไม้นั้นอยู่เป็นคนละพวกกัน เข้ากันไม่ได้ ถ้าเกิดทะเลาะกันแล้ว
จะทำความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัย ความที่อาจจะอธิบายได้ก็คือ ไม้ที่มาจากป่า
เดียวกันก็จะมีลักษณะและความคงทนที่เหมือนกัน และอาจจะ รวมถึงความยาก
ลำบากในการต้องขนไม้ออกจากคนละที่ เมื่อได้ไม้มาแล้วก็ต้องมีการถากและ
เกลา
การถากไม้ ก็ต้องใช้ขวานถาก ซึ่งใช้สำหรับถากไม้เพื่อทำเสาโดยเฉพาะ ส่วนการ
เกลา คือการเกลาไม้ให้กลม เรียบ เกลาโดยการใช้มีดจักตอกอันเล็กๆ เกลาจน
กว่าไม้ทั้งท่อนจะกลมดี การเกลาไม้นี้ถือว่าเป็นวิทยาการอย่างหนึ่งของลูกผู้ชายใน
สมัยโบราณที่จะต้องเรียนรู้กันเลยทีเดียว ถึงกับมีคำโบราณว่าไว้ว่า "ลูกผู้ชาย
ถาก
ไม้เหมือนหมาเลีย" แต่คำนี้เห็นจะไม่มีใครพูดกันอีก เพราะความเจริญของเครื่อง
มือสมัยใหม่ ทำให้ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งเกลาไม้กันอีกต่อไป
เรือนไทยมีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีด้านแปเป็นด้านหน้า และด้านสกัดเป็น
ด้านข้าง ลักษณะต่างๆของเรือนไทย อาจจำแนกได้ดังนี้คือ
1. ใต้ถุนสูง โดยให้สูงจากพื้นดินประมาณให้พ้นศรีษะ
ซึ่งพื้นบ้านในแต่ละส่วนจะมี
การลดหลั่นกันลงมา โดยผังบ้านจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นพื้นที่อาศัยภายในคือห้องนอน
ห้องพระ และพื้นที่อาศัยภายนอก พื้นที่บริเวณห้องนอนและห้องพระจะอยู่สูงที่สุด
ประมาณ 2.60 เมตร ระเบียงจะลดระดับลงมา 40 เซนติเมตร พื้นชานบ้านจะลด
ลงมาอีก 40 เซนติเมตร การลดระดับเช่นนี้ได้ก่อให้เกิดประโยชน์คือ สามารถมอง
ลงไปใต้ถุนได้ ลมพัดผ่านสะดวก ใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนและกันน้ำจากชานบ้านไม่ให้
เข้าไปในบ้าน
ประโยชน์ของการยกใต้ถุนสูงคือ
- ปลอดภัยจากสัตว์ร้ายและคนร้าย
- ป้องกันน้ำท่วม
- ใช้เป็นที่เก็บของหรือเครื่องมือที่ใช้ในการทำเกษตร
- ใช้เป็นที่ขังสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย หมู
- ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือน
- อากาศถ่ายเทได้สะดวก จึงใช้เป็นที่พักผ่อน
2. หลังคาทรงสูงหน้าจั่วและชายคายื่นยาว
หลังคาเรือนไทยเป็นหลังคาทรงสูง หรือ
ในแบบทรงมนิลา [Global Roof] โครงทำด้วยไม้ มุงด้วยวัสดุต่างๆ กันเช่น
จาก แฝก
หรือกระเบื้องดินเผา หลังคาต้องทำทรงให้สูงเพื่อน้ำฝนจะไหลได้สะดวกไม่ขังอยู่บน
หลังคา หลังคาทรงสูงยังช่วยระบายอากาศและความร้อนได้ดี ชายคาที่ยื่นออกมายาว
นั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ฝนสาดเข้ามาในบ้านมาก และยังเป็นที่ติดตั้งรางน้ำเพื่อรองน้ำ
ฝนและเก็บไว้ใช้
3. ชานบ้าน โดยมากจะอยู่พ้นช่วงหลังคาออกมาทางหน้าบ้านเรียกว่านอกชาน
มีพื้น
ที่ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่บนบ้าน ถ้ารวมระเบียงด้วยก็จะเป็นร้อยละ
60 พื้นที่
2 ส่วนนี้เป็นพื้นที่อาศัยภายนอก โดยชานบ้านจะอยู่นอกชายคาออกไป ระเบียงจะอยู่
ในชายคาบริเวณหน้าห้องต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยภายใน ถัดไปก็ จะเป็นห้องต่างๆ
ชานบ้านมีหน้าที่หลายประการเช่น ชานแล่นคือชานที่เชื่อมเรือนต่างๆเข้าด้วยกัน
ในกรณีบ้านนั้นมีลักษณะเป็นเรือนแฝดหรือเรือนหมู่ และใช้เป็นที่ประกอบกิจกรรม
ต่างๆ
โครงสร้างของเรือนไทย
เรือนไทยมีโครงสร้างแบบเสาและคาน [Post & Lintel] ซึ่งจะถ่ายน้ำหนักจากหลังคา
ลงพื้น จากเสาแล้วลงสู่ฐานราก เสาบ้านมีลักษณะล้มสอบเข้า เพื่อการยึดเกาะที่ดี
[Stability] และช่วยให้ฝาจับเสาได้แน่นขึ้น เสาต้องเป็นเสากลม โคนโต ปลายสอบ
โครงหลังคา
มักเป็นโครงสำเร็จรูปซึ่งยกมาประกอบบนเสาได้ง่าย สะดวกในการรื้อถอนและ
เคลื่อนย้ายไปประกอบใหม่โดยบ้านไม่เสียรูปทรงและเนื้อไม้ เพราะประกอบเข้า
ด้วยวิธีเข้าเดือย ซึ่งเป็นกรรมวิธีหลักในการยึดส่วนประกอบต่างๆ ของบ้านเข้า
ด้วยกัน เช่น เดือยหางเยี่ยว ใช้ยึดมุมพรึงของเสาบ้าน ไม้กลอนบากใช้ยึดหลัง
คากับขื่อ มีสลักไม้ เป็นบานพับ ประตูหน้าต่างและบันไดเข้าเดือยไว้กับตัวบ้าน
ส่วนประกอบของตัวเรือน
1. หลังคา
2. หน้าจั่ว เป็นแผงไม้รูปสามเหลี่ยม ใช้ปิดโพรงหลังคาทางด้านสกัดของเรือน
3. ไขรา คือระยะจากหน้าจั่วออกไปถึงปั้นลม
4. ปั้นลม คือส่วนที่ปิดหลังคาตรงส่วนที่ยื่นออกมาจากหน้าจั่ว
5. อกไก่ คือไม้ยอดหลังคา ทอดตามยาวตลอดตัวเรือนและออกไปรับปั้นลมหัว
ท้าย
6. เหงา คือส่วนปลายของปั้นลม
7. แปหัวเสา เป็นส่วนหนี่งของโครงหลังคา วางนอนตามความเอียงลาดเพื่อรับ
ท้องไม้
8. จันทัน เป็นไม้ตั้งทะแยงมุมเข้าหาขื่อ โดยประกบตั้งทั้ง 2 ข้าง
9. ไม้ค้ำชายคา อยู่ตรงตามแนวเสาทุกต้น
10. กันสาด
11. ขื่อ ส่วนประกอบโครงหลังคา ใช้ยึดหัวเสาตามขวาง
12. เสาตั้ง ใช้ตั้งยันท้องขื่อ
13. เต้า เจาะทะลุเสาออกไปรับเชิงชาย
14. ระเบียง พื้นที่หน้าห้องซึ่งยังอยู่ในชายคา
15. ฝาปะกน ไม้เนื้อแข็งทำเป็นแผงเข้ารูปสำเร็จเป็นตารางลูกตั้งสลับกันเป็นช่อง
ลูกฟัก
เรือนไทยโดยทั่วไปจะมีบานประตู 2 บาน เพื่อประหยัดเนื้อที่เมื่อเปิดประตู
เพราะถ้ามี
บานเดียว เมื่อเปิดประตูออกแล้ว ต้องผลักให้บานประตูพับไปอีกด้านหนึ่ง
ทำให้เสีย
เนื้อที่เท่ากับประตูทั้งบาน จะเปิดออกค้างเอาไว้ครึ่งทางก็จะขวางทางเดิน
เรือนไทย
จึงมีประตูและหน้าต่าง 2 บานเสมอ เพราะเมื่อเปิดออกไปให้สุด ก็ไม่ทำให้เสียพื้นที่
มากนัก หรือจะเปิดคาเอาไว้ครึ่งเดียวก็จะไม่ขวางทางเดินแต่อย่างใด โดยที่ทั้งประตู
และหน้าต่าง จะมีลักษณะเปิดเข้า เพราะเมื่อเวลาปิดจะได้ใช้สลักปิดล็อกได้
และจะมี
ธรณีประตูขวางไว้ เพื่อเป็นการป้องกันสัตว์ร้ายที่อาจจะเข้ามาทางช่องว่างใต้ประตูได้
การวางประตูหน้าและหลังจะไม่วางไว้ในแนวตรงกัน เพื่อความปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย
ที่อาจจะมองเห็นความเคลื่อนไหวในตัวบ้านได้ดีขึ้น และเพื่อเก็บกักลมเอาไว้ก่อนไม่
ให้พัดแรงเกินไป ถ้ามีประตูอยู่ในแนวเดียวกันเวลามีลม ลมก็อาจจะพัดพาเอาสิ่งของ
ภายในบ้านปลิวออกไปกับลมได้ การสร้างบันไดก็จะไม่ทำบันไดต่อออกไปจากประตู
แล้วตรงออกไปข้างหน้า แต่จะต้องมีชานออกมารับแล้วจึงทำบันไดหักออกไปทางซ้าย
หรือขวา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุการวางบ้านให้ถูกทิศจะคำนึงถึงทิศทางลมและแดดเป็น
หลัก ซึ่งโดยปกติแล้วไม่มีการกำหนดเอาไว้ว่าบ้านจะต้องหันหน้าไปในทิศใด
เพียงแต่
ไม่ให้หันไปทางทิศตะวันตกเท่านั้น เนื่องจากทิศตะวันตกเป็นทิศอัปมงคล
แต่โดยมาก มักจะหันหน้าไปทางแม่น้ำลำคลองซึ่งใช้เป็นทางขึ้นและลงเรือ ถ้าไม่มีน้ำเป็นที่หมาย
ก็อาจจะหันหน้าไปทางทิศใต้เพื่อรับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และวางห้องนอนให้อยู่
ทางทิศตะวันออกเพื่อรับแดดอ่อนๆในตอนเช้า นอกจากนั้นยังมีธรรมเนียมการปลูก
ต้นไม้ประจำทิศเพื่อความเป็นศิริมงคลของบ้านเช่น ปลูกต้นมะม่วงไว้ทางทิศใต้หรือ
หน้าบ้านเพื่อรับลมมรสุม จะทำให้ได้ผลมะม่วงดกและยังได้ร่มมะม่วงเอาไว้นั่งเล่น
ได้อีกด้วย ส่วนพันธุ์ไม้ที่ห้ามปลูกในบ้านก็มีเช่น ต้นโพธิ ต้นไทร เพราะต้นไม้ประ
เภทนี้มีรากที่ชอนไชไปได้ทั่ว อาจจะไชเข้าไปทำลายตัวบ้านได้ หรือต้นลั่นทมซึ่งมี
ยางที่เป็นอันตราย ถ้ามีเด็กไปปีนเล่น ยางลั่นทมอาจจะเข้าตาและทำให้ตาบอดได้