จากนั้นพระศิวะได้สร้างสิ่งต่างๆให้เกิดตามมา โดยแบ่งภาคมาจากพระองค์เอง
โดยให้
เกิดเป็นหญิงคือนางอุมาเทวี ซึ่งเป็นมารดาแห่งเทพทั้ง 3 คือ พระวิษณุ
พระพรหม และ
พระศิวะมีพระศิวะเป็นเทพสูงสุด และได้สร้างศิวะโลกเพื่อเป็นที่ประทับ
เมื่อสร้างสิ่งต่างๆ
แล้ว พระองค์จำเป็นต้องมีการคุ้มครองสิ่งเหล่านั้น และทำลาย สิ่งที่ไม่ดีออกไป
เหลือไว้
แต่สิ่งที่ดี พระองค์จึงทรงหลั่งน้ำอำมฤตลงบนซีกด้านซ้าย และเกิดชีวิตใหม่ขึ้นมา
และ
ประทานนามให้ว่าพระวิษณุ(หรือพระนารายณ์ แปลว่า ผู้มีแผ่นน้ำเป็นที่อาศัย
เนื่องจาก
พระวิษณุลงไปพักผ่อนอยู่ในน้ำ) โดยให้มีหน้าที่คอยคุ้มครองรักษาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
ขึ้นมา แล้วพระองค์ก็จะเปลี่ยนเป็น พระผู้ทำลาย คือทำลายสรรพสิ่งที่ไม่ดี
แก้ไขไม่ได้โดย
มีดวงตาที่ 3 อยู่บนหน้าผากซึ่งปิดสนิทถ้าลืมตาขึ้นมาก็ จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ
ทุกสิ่ง
ในขณะที่พระวิษณุบรรทมอยู่ในน้ำ ก็ได้เกิดมีดอกบัวผุดออกมาจากสะดือ ซึ่งเป็นพระบัญ
ชาของพระศิวะ และพระศิวะได้หลั่งน้ำอำมฤตลงบนซีกขวาเพื่อให้ได้ชีวิตใหม่คือ
พระพรหม
และใส่ไว้ในดอกบัวนั้น พระพรหมหรือพระผู้เกิดมาจากดอกบัว ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาได้อย่าง
ไร และใครเป็นผู้สร้าง เมื่อออกมาจากดอกบัวแล้ว ได้เขย่า ดอกบัวจึงบังเกิดเป็นมนุษย์ชาติ
และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ชาวฮินดูจึงเรียกพระพรหมว่า พระผู้สร้าง
พระวิษณุได้กล่าวปลอบพระพรหมโดยเรียกพระพรหมเป็นเด็กน้อย เพราะถือว่าเกิดมาจาก
ดอกบัวในสะดือของพระองค์เอง พระพรหมเมื่อถูกเรียกอย่างนั้นก็ไม่พอใจ จึงเกิดการรบ
กันขึ้น ร้อนไปถึงพระศิวะ เมื่อทราบว่าเทพ ทั้ง 2 กำลังต่อสู้กันอยู่
จึงเสด็จมา ณ สถาน
ที่ที่กำลังรบกันอยู่ โดยแปลงตัวเป็นเสาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งหาที่สิ้นสุดมิได้ทั้งข้างบนและล่าง
แล้วมาปรากฎอยู่ระหว่างเทพทั้ง 2 เสาไฟนี้ มีความร้อนมาก ทำให้เทพทั้ง2
หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็แปลกใจในความใหญ่โตนั้น เทพทั้ง 2 จึงพนันกันว่า
ถ้า ใครค้นหาจุดสิ้น
สุดได้ก่อนถือว่าเป็นผู้ชนะ และผู้แพ้จะยอมกราบไหว้บูชาพระพรหมจึงแปลงร่างเป็นหงส์
บินขึ้นไปหาส่วนยอดด้าน บน พระวิษณุแปลงร่างเป็นสุกรขุดดินลงไปหาปลายที่ด้านล่าง
ด้านพระพรหมในร่างของหงส์ เมื่อบินขึ้นไปก็หาจุดสิ้นสุดมิได้ แต่ได้ พบดอกเกตุขึ้นอยู่ที่
ส่วนหนึ่งของเสาไฟ จึงได้กลับลงไปพร้อมดอกเกตุนั้น ฝ่ายพระวิษณุเมื่อไม่พบอะไรก็กลับ
ขึ้นไป และพบพระพรหมนำดอกเกตุลงมาจากข้างบน ก็เข้าใจว่าพระพรหมพบส่วนยอด
แล้ว ซึ่งพระพรหมโกหกว่าพบจริง โดยมีดอกเกตุเป็นพยาน พระวิษณุก็ยอมแพ้และกราบ
ไหว้บูชาพระพรหม ตามสัญญา
เมื่อเรื่องกลายมาเป็นเช่นนี้ พระศิวะจึงได้คืนร่างมาดังเดิม และชำระความให้แก่เทพทั้ง
2 โดยกล่าวชมว่า พระวิษณุเป็นเทพที่มีความซื่อสัตย์ จึงยกให้พระวิษณุเป็นเทพเสมอพระ
องค์ สามารถที่จะมีโบสถ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นของตนเองได้ ส่วนพระพรหมซึ่ง
เป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ พระศิวะได้ทำโทษ โดยการตัดเศียรทั้ง 5 แต่พระวิษณุได้ขอร้องไว้
จึง
ตัดไปเพียง 1 เศียรเหลืออยู่ 4 เศียร และไม่อนุญาตให้ขึ้นมาเป็นเทพเทียบเท่าพระองค์
และไม่ให้มีโบสถ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นของตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ
พระศิวะ และเป็นผู้สร้างมนุษยชาติจึงอนุญาตให้มีศาลหรือเทวสถานอยู่นอกโบสถ์และ
ให้พระพรหมเป็นประธานของพิธีบวงสรวง
ทั้งมวลส่วนดอกเกตุที่มีส่วนร่วมนั้น พระศิวะได้ห้ามนำมาใช้ในการบูชากราบไหว้
วันที่
พระศิวะคืนร่างจากเสา ไฟ ชาวฮินดูเรียกว่าวันศิวะราตรี และจะทำพิธีบูชาในลิงคสถาน