ในตำรามหาภารตะได้กล่าวถึงครุฑและนาคไว้ว่า ในขณะที่พระพรหมกำลังสร้างโลกอยู่
นั้น พระทักษะปชาบดีได้ยกลูกสาวทั้ง 13 คน ให้เป็นภรรยาฤๅษีกัสปะ และเกิดบุตร
หลานจำนวนมาก โดยนางกัทรุเป็นมารดาของนาคและงู 1,000 ตัว นางวินตาให้กำเนิด
ไข่ 2 ใบ ซึ่งต้องใช้เวลาฟักนานมาก นางวินตาจึงทุบไข่ใบหนึ่งให้แตกเป็นตัวออกมา
บุตร นางวินตาเมื่อออกมาจากไข่แล้วก็กลายเป็นชาย ครึ่งคนครึ่งนก แต่มีสภาพที่ไม่สมบูรณ์
เพราะออกจากไข่เร็วเกินไป จึงบอกแก่นางวินตาว่า ควรปล่อยให้ไข่อีกใบออกเป็นตัวออก
มาเอง จะเป็นครึ่งชายครึ่งนกที่สมบูรณ์มีบุญญาธิการและพละกำลังมากและจะเป็นผู้ช่วย
ให้นางวินตาพ้นทุกข์ เมื่อกล่าวจบก็บินจากไป และไปเป็นสารภีให้พระสุริยเทพ
ต่อมานางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันว่า ม้าอุจชัยควรที่วิ่งไปมาอยู่บนสวรรค์มีหางเป็น
สีอะไร ถ้าใครแพ้ ก็ต้องเป็นข้ารับใช้ให้อีกฝ่ายตลอดไป นางวินตาเลือกตอบว่าสีขาว
นาง
กัทรุตอบว่าสีดำ ซึ่งนางกัทรุก็รู้อยู่ว่าหางม้าเป็นสีขาว นางกลัวแพ้จึงขอให้ลูกๆ
ซึ่งเป็นงู
และนาค 1,000 ตัวมาช่วยโดยแทรกเข้าไปที่ขนหางของม้าให้เป็นสีดำ เมื่อม้าวิ่งมาถึง
ทั้ง
2 จึงเห็นว่าหางม้าเป็นสีดำ นางวินตาจึงแพ้และกลายเป็นข้ารับใช้ให้นางกัทรุ
ในขณะนั้น ไข่ใบที่ 2 ของนางวินตา ได้แตกตัวออกมาเป็นครึ่งชายครึ่งนก มีความสมบูรณ์
แข็งแรง และเจริญเติบโตรวดเร็วมาก สามารถบินข้ามมหาสมุทรได้ในเวลาอันสั้นเมื่อออก
จากไข่แล้ว ก็บินไปตามหานางวินตาจนพบ นางวินตาจึงเล่าเรื่องที่ถูกนางภัทรุโกงจนต้อง
มาเป็นทาสรับใช้ บุตรนางวินตารู้เรื่องก็โกรธ แต่นางวินตาได้ห้ามไว้ไม่ให้ไปทำอะไร
ฝ่าย
นางกัทรุ เพราะต้องการรักษาสัตย์ บุตรนางวินตาก็ยอมและอยู่กับนางวินตา
คอยรับใช้นาง
กัทรุและลูก ๆ
ต่อมานางกัทรุและลูก ๆ ต้องการไปเที่ยวในมหาสมุทร จึงได้พากันขี่หลังบุตรนางวินตา
บุตรนางวินตายังมีความโกรธแค้นอยู่จึงบินเข้าไปใกล้พระอาทิตย์ ลูกๆ ของนางกัทรุทน
ร้อนไม่ไหว จึงได้พากันกระโดดลงไปยังมหาสมุทร นางกัทรุจึงขอให้พระอินทร์ช่วย
พระ อินทร์จึงบันดาลเมฆมาบังแสงอาทิตย์ให้ลูกๆ นางกัทรุจึงปลอดภัย ในที่สุดบุตรนางวิน
ตาได้เข้าไปเจรจาขอแลกอิสรภาพจากนางกัทรุ นางจึงได้ขอแลกกับน้ำอำมฤต บุครนาง
วินตาจึงบินไปหาน้ำอำมฤต ในระหว่างทาง ได้พบฤๅษีกัสปะผู้เป็นบิดา ซึ่งได้แนะนำให้
บุตรนางวินตากินเต่ายักษ์และช้างที่กำลังสู้กันเพื่อเพิ่มพลัง บุตรนางวินตาจึงได้จับสัตว์
ทั้ง 2 กิน แล้วบินต่อไป ถึงต้นไทรต้นหนึ่งก็แวะลงไปเกาะ ต้นไทรนี้มีฤๅษี
4 ตนกำลัง
บำเพ็ญตบะอยู่ เมื่อบินลงมาเกาะทำให้หนักมากกิ่งไทรจึงหัก บุตรนางวินตาจึงจับกิ่งไม้
นั้นไว้เพื่อไม่ให้ฤๅษีทั้ง 4 ตนตกลงไป ฤๅษีทั้ง 4 จึงเรียกบุตรนางวินตาว่า
ครุฑ แปลว่า
ผู้แบกหรือผู้ยกของหนักได้ บุตรนางวินตาจึงได้ชื่อว่าพญาครุฑ ตั้งแต่นั้นมา
แล้วพญา
ครุฑก็เดินทางต่อไปเพื่อไปเอาน้ำอำมฤต ซึ่งพระอินทร์เป็นผู้รักษาไว้ เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงพระ
อินทร์ จึงสั่งเพิ่มกำลังให้เข้มแข็ง โดยชั้นนอกให้เทวดาสวรรค์รักษาไว้ให้หม้อน้ำอำมฤต
อยู่ตรงกลางกงจักร มีงู 2 ตัวหมุนกงจักรและมีไฟล้อมรอบ เมื่อพญาครุฑมาถึง
ก็ใช้ปีก
กระพือลมพัดทหารกระเด็นไป แล้วจึงไปอมน้ำในมหาสมุทรมาพ่นดับไฟรอบกงจักร
และกินงูที่หมุนกงจักรนั้นแล้วจึงนำน้ำอำมฤตกลับมาไถ่ตัวมารดา พระอินทร์ก็เข้าขัด
ขวางจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่พระอินทร์สู้ไม่ได้ ร้อนถึงพระวิษณุต้องลงมาช่วย
แต่ทั้ง พระวิษณุและพระยาครุฑต่างก็ไม่มีใครแพ้ใครชนะ ทั้ง 2 จึงหยุดรบ และทำสัญญาเป็น
ไมตรีต่อกัน โดยพระยาครุฑสัญญาที่จะเป็นพาหนะของพระวิษณุตลอดไป ฝ่ายพระวิษ
ณุก็ให้พรพระยาครุฑในการเป็นอมตะ ไม่มีใครมาทำอันตรายได้ เมื่อพระยาครุฑนำน้ำ
อำมฤติไปไถ่ตัวมารดาแล้ว จึงได้จับงูและพระยานาคกินเป็นอาหารตั้งแต่นั้นมา
แต่เนื่อง
จากทั้งพญานาคและพญาครุฑต่างก็เป็นผู้รับใช้พระวิษณุด้วยกัน พระวิษณุจึงขอร้องพญา
ครุฑว่าอย่าทำอันตรายพญานาคเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์