เพื่อรักษาสุขภาพและป้องกันโรคของทหาร ตลอดจนช่วยให้การสุขาภิบาลของหน่วยทหารในกองทัพดีขึ้น และเพื่อเป็นการเพิ่มเติมและขยายความในข้อบังคับกองทัพบกที่ 2/1357/2490 ว่าด้วยการจัดระเบียบการภายในกรมกองทหาร มาตรา 4 ข้อ 57 การรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพร่างกาย การสุขาภิบาลและอนามัยให้เป็นการแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงเป็นการสมควรที่จะให้หน่วยทหาร ได้ทราบและปฏิบัติการสุขาภิบาลในที่ตั้งปกติไว้ดังต่อไปนี้
รับคำสั่ง ผบ.ทบ.
(ลงชื่อ) พล.ต. ถ. อุปถัมภานนท์
ถนอม อุปถัมภานนท์
พญ. ทบ.
กลับสู่หน้าแรก |
กลับสู่หน้าแรก |
กลับสู่หน้าแรก |
กลับสู่หน้าแรก |
กลับสู่หน้าแรก |
กลับสู่หน้าแรก |
เห็นควรอนุมัติตามที่ กพ.ทบ.เสนอในข้อ 5 (ลงชื่อ) พล.ท. ชัยวุฒิ ศรีมาศ ผช.เสธ.ทบ.ฝกพ. 20 มิ.ย.34 |
(ลงชื่อ) พล.ต. ปรีชา อุเทนสุต ( ปรีชา อุเทนสุต ) จก.กพ.ทบ. |
รอง เสธ.ทบ.(2) |
รอง เสธ.ทบ.(1) ทำการแทน 21 มิ.ย.34 |
(ลงชื่อ) พล.อ. สุจินดา คราประยูร ผบ.ทบ. 25 มิ.ย. 34 |
ผช.ผบ.ทบ.(1) 24 มิ.ย.34 |
กลับสู่หน้าแรก |
เนื่องจากในช่วงฤดูร้อนของทุกปีพบว่ามีโรคหลายชนิดที่พบบ่อยกว่าฤดูอื่น กรมแพทย์ทหารบกมีความห่วงใยทหารและครอบครัว ด้วยเกรงว่าจะเกิดการเจ็บป่วยขึ้น จึงขอแนะนำให้ทราบถึงโรคที่พบบ่อยในฤดูร้อน รวมทั้งอาการสำคัญการป้องกัน และการรักษาเบื้องต้นมาให้ทราบ ดังนี้ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยต่างๆ ในกองทัพบกได้ใช้เป็นแนวทางในการให้คำแนะนำแก่กำลังพลและครอบครัวต่อไป (ลงชื่อ) พลโท คำรบ สายสุวรรณ
ประกาศกรมแพทย์ทหารบก
เรื่อง คำแนะนำการป้องกันโรคที่พบบ่อยในฤดูร้อน
สาเหตุ เกิดจากเชื้อโรคหลายชนิดต่างกันแล้วแต่โรค
การติดต่อ เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคเข้าไปเช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม เป็นต้น ผู้ป่วยโรคกลุ่มนี้จะแพร่เชื้อทางอุจจาระ
อาการ โรคติดต่อระบบทางเดินอาหารที่ควรทราบมีอาการดังนี้
การป้องกัน ควรปฏิบัติดังนี้
2. การป่วยเนื่องจากความร้อน
สาเหตุ เมื่อร่างกายได้รับความร้อน จะมีการปรับตัวโดยกลไกควบคุมความร้อนซึ่งมีศูนย์กลางในสมอง เพื่อให้มีการระบายความร้อนด้วยวิธีต่างๆ ส่วนใหญ่ระบายออกทางผิวหนังโดยการพาความร้อนการแผ่รังสีความร้อน และการระเหยของเหงื่อ หากร่างกายได้รับความร้อนเกินขีดจำกัด จะเกิดการป่วยเนื่องจากความร้อนขึ้น ถ้าไม่รีบรักษาอาการจะรุนแรงขึ้นจนเกิดความล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายและเสียชีวิตได้
อาการ แบ่งตามความรุนแรงจากน้อยไปหามากเป็น 3 ประเภท ดังนี้.-
3. โรคพิษสุนัขบ้า
ระยะแรก ปวดศีรษะ วิงเวียนหน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ซึมลง วุ่นวาย พูดไม่ชัด เดินผิดปกติ เช่น ทหารเดินออกนอกแถว
ระยะหลัง ไข้สูง 38.4 องศาเซลเซียส หายใจเร็ว ชีพจรเบาเร็ว ผิวหนังร้อนและแห้ง ไม่มีเหงื่อ ซึมลง ไม่รู้สึกตัว ชัก การหายใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ผู้ป่วยจะถึงแก่กรรมหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
การปฐมพยาบาล ให้ความเย็นแก่ผู้ป่วยโดยเร็ว โดยนำเข้าที่ร่ม ถอดเสื้อผ้า จุ่มตัวลงในน้ำเย็นหรือราดน้ำเย็นลงบนตัวผู้ป่วย แล้วพัดให้น้ำระเหย เช็ดตัวด้วยน้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์ ถอดรองเท้า และยกขาผู้ป่วยขึ้น ถ้ารู้สึกตัวให้ดื่มน้ำเย็นเติมเกลือช้าๆ โดยใช้เกลือแดง 1/44 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร หากเป็นตะคริวจากความร้อน ให้ใช้มือนวดบริเวณที่ปวด ถ้าอาการไม่ดีขึ้น มีอาการเพลียแพ้ร้อนหรือลมแพ้ร้อนให้รีบนำส่งหน่วยรักษาพยาบาลโดยเร็ว โดยให้ความเย็นแก่ผู้ป่วยไปตลอดทาง ห้ามให้ยาแอสไพรินเพราะจะกดกลไกการแข็งตัวของเลือด
การป้องกัน ผู้ที่ฝึกหรือออกกำลังกายขณะอาการร้อน ควรหลีกเลี่ยงจากปัจจัยทีส่งเสริมให้เกิดการป่วยจากความร้อน โดยปฏิบัติดังนี้.-
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies Virus) ซึ่งอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข , แมว , หนู , กระรอก เป็นต้น โดยไวรัสนี้จะทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเป็นโรคนี้แล้วต้องตายทุกคนไม่มีวิธีรักษาให้หายได้
การติดต่อ คนไข้ได้รับเชื้อโรคโดยถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด หรือ เลียบริเวณที่ผิวหนังมีบาดแผล เชื้อโรคนี้ซึ่งอยู่ในน้ำลายสัตว์จะเข้าสู่ร่างกายได้
อาการในคน จะเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อ ประมาณ 1 สัปดาห์ ถึง 1 ปี เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ เจ็บคอ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ระยะต่อไปจะมีอาการทางระบบประสาท คือ ตื่นเต้นง่ายไวต่อการกระตุ้น กระสับกระส่าย กลืนลำบาก บ้วนน้ำลายตลอดเวลา แต่ยังมีสติดี ต่อไปอาจมีอาการชักเป็นอัมพาต หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด ภายใน 2 - 5 วันหลังจากเริ่มมีอาการ
อาการในสัตว์ สัตว์ที่เป็นโรคนี้มักมีอาการคลุ้มคลั่ง บางตัวอาจซึม ขอบนอนในที่ชื้นแฉะ และมืดไม่ชอบน้ำและแสงสว่าง ตัวสั่น เห่า และกัดคนและสัตว์อื่นที่ผ่านหน้ามัน สุดท้ายจะเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อคาง ทำให้น้ำลายไหลยืด หางตก เห่าไม่มีเสียง กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ และตายในที่สุด นับเวลาตั้งแต่มีอาการคลุ้มคลั้งจนตาย ประมาณ 4 - 15 วัน
การป้องกัน เมื่อถูกสัตว์กัด ให้ปฏิบัติดังนี้.
1. การปฏิบัติต่อบาดแผล
2. การปฏิบัติต่อสัตว์ที่กัด
3. ไปพบแพทย์ เพื่อพิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนและซีรั่มป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ ในปัจจุบันแพทย์จะสั่งฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนับบ้าให้ทันที เมื่อถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดและหยุดฉีดเมื่อพิสูจน์ว่าสัตว์นั้นไม่บ้า เพราะหากรอผลการพิสูจน์อาจป้องกันโรคไม่ทัน
การควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า มีแนวทางปฏิบัติดังนี้.-
( คำรบ สายสุวรรณ )
เจ้ากรมแพทย์ทหารบกกลับสู่หน้าแรก กลับสู่หน้าแรก กลับสู่หน้าแรก