กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว โดยปราศจากชื่อและรูปทรงใดๆ มีเพียง ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย-Chaos(ความว่าง, เทพแห่งการทำลาย)
เป็นอิสระจากความเกิด และความดับสูญ จากทั้งกาละเทศะ จากรูปแบบ และเงื่อนไขใดๆ ซึ่งทำให้ทุกสิ่งสับสนอลหม่าน
จากความว่างอันเป็นนิรันดร์ Chaos ได้ตกตะกอนให้กำเนิด หลุมดำ-Erebus(เทพแห่งความมืด) ซึ่งหมายถึงเหวลึกที่เป็นที่อยู่ของความตาย และ
กลางคืน-Nyx(เทพีราตรี) ซึ่งทั้งสองก็ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เกิดขึ้นเลย
จำเนียรกาลผ่านไปไม่นาน ก็พลันปรากฏสิ่งดีงามลอยขึ้นมาจาก Chaos นั่นก็คือ Eros(ความรัก)
และความรักก็เปล่งประกายแสงสว่าง-Aether(อีเธอร์,เทพแห่งแสงสว่าง)ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้เกิดกลางวัน-Hemera (เทพีกลางวัน) และเนรมิต ผืนแผ่นดินกับทะเล(Pontus) ให้ปรากฏขึ้นมา
และทันใดนั้น Gaea,Gaia,Ge(โลก,ผืนแผ่นดิน){เป็นรากศัพท์ของคำว่า Geography วิชาภูมิศาสตร์} ก็ลืมตาตื่นจากการหลับไหล และChaos ก็สูญสลาย ส่วนที่เหลือก่อกำเนิดเป็นที่ว่างกว้างใหญ่ลอยอยู่เหนือ Gaia เรียกว่า Ouranos(สวรรค์) {เป็นที่มาของชื่อดาวมฤตยู Uranus}เจ้าแห่งท้องฟ้า
Gaea และ Ouranos ให้กำเนิดลูกออกมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพวกอสูรกายน่าเกลียด น่ากลัว สองตัวบาท
พวกหนึ่งนั้นมี 3 ตน ร่างกายใหญ่โตกว่าภูเขา มีมือ100 มือ และมีหัว 50 หัว มีชื่อว่า
Cottus, Briareus, Gyges
และได้ให้กำเนิด ยักษ์ตาเดียว-Cyclop(ไซคลอปส์) 3 ตน ชื่อว่า
Brontes(ฟ้าลั่น), Steropes(ฟ้าแลบ), Arges(แสงสว่างวาบ) และพวกสุดท้ายคือเทพไตตัน-Titans 12 องค์ แม้จะมีร่างกายไม่ประหลาดเท่าไรแต่ว่าก็ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก และมีกำลังมหาศาล ได้แก่
เหล่าเทพ Oceanus,Coeus,Crius,Hyperion,Lapetus,Cronus
และเทพี Theia,Rhea,Themis,Thethys,Nemosyme,Phoebe Ouranos นั้นรังเกียจลูก ๆที่น่าเกลียดเหล่านี้มาก ก็จับพวกที่มีหัวเยอะไปขังไว้ในคุกที่ลึกที่สุดของโลกTartarus (เหวลึกใต้บาดาล) และจองจำไว้ ส่วนอีกสองพวกที่เหลือปล่อยให้เดินไปมาในโลกได้โดยไม่ให้ความใยดี Gaea นั้นทรงพิโรธมากที่สวรรค์ทำกับลูก ๆดังนั้น พระองค์ได้ออกไปปลุกปั่นลูก ๆให้ลุกขึ้นสู้ แต่ว่ามีเทพไตตันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กล้าหาญพอคือ โครโนส (เทพแห่งกาลเวลา) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Saturn {เป็นที่มาของชื่อดาวเสาร์ Saturn} Gaea จึงปลดปล่อย และมอบเคียว ที่ทำจากวัสดุที่เรียกว่า Adamant ซึ่งเชื่อว่าแข็งแรงที่สุด ให้เป็นอาวุธ(ดาวเสาร์จึงมีวงแหวน)
แล้วส่งกลับขึ้นสวรรค์ โครนัสจึงถืออาวุธเข้าจู่โจมยูเรนัสโดยไม่ให้รู้ตัว โดยไปดักรอบิดาของตนเองอยู่แล้วก็จ้วงแทง เลือดของOuranos ที่ไหลออกมาได้มีอสูรน่าเกลียดผุดขึ้นมาด้วย 3 ตัวคือ Erinyes หน้าที่ของเอรินเยสคือการลงทัณฑ์คนชั่วทั้งหลาย แล้วจับยูเรนัสมัดไว้
(บางตำราว่า ตามแผนของจี โครโนสจะต้องรอจนกว่ายูเรนัสจะมาสมสู่กับจี เมื่อ ยูเรนัส มาโครโนส ซึ่งอยู่ในท้อง (คาดว่าหมายถึงมดลูกนะครับ) ก็จะต้องใช้มีดตัดอวัยวะเพศของยูเรนัส แล้วพาพี่น้องหนีกันออกมา แน่นอนครับ ว่าสำเร็จตามแผน เมื่อออกมาแล้ว โครโนส ก็นำอวัยวะของพ่อไปทิ้งทะเล เมื่อตกโดนทะเล ก็มีฟองเกิดขึ้นมากมาย และในท่ามกลางฟองนั้นก็มีเทพเจ้าอีกคนถือกำเนิดขึ้นมา คือ Aphrodite นั้นเอง (จริงๆ แล้ว ในภาษากรีก คำว่า Aphrodite แปลว่า เกิดจากฟอง) และด้วยเหตุนี้ Aphrodite จึงเป็นเทพีแห่งความรัก และ ตัญหา {เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษ aphrodisiac ที่แปลว่า ยาปลุกอารมณ์ทางเพศ}
ยูเรนัสโกรธ จึงสาปแช่งให้โครนัสถูกแย่งชิงอำนาจโดยลูกของตัวเอง
เมื่อโครนัสขึ้นเป็นใหญ่ ได้อภิเษก Rhea เป็นชายา และได้มอบหมายตำแหน่งต่างๆให้เหล่าพี่น้องไทแทนครอบครอง เช่น
Oceanus {เป็นรากศัพท์ของคำว่า Ocean มหาสมุทร}และ Thetis ปกครองมหาสมุทรและแม่น้ำ
Hyperion ครองวิถีโคจรของตะวัน มีชายา คือ Theia มีบุตรธิดา 3 องค์คือ Helios (ตะวัน){เป็นที่มาของธาตุลำดับที่ 2 Helium ค้นพบโดย Sir Norman Lockyer จากแถบสีเหลืองในสเปคตรัมของสุริยุปราคาเต็มดวงของดวงอาทิตย์}, Eos (รุ่งอรุณ มีชายาคือ Tithonus) และ Selene(จันทรา)
Phoebe ครองวิถีโคจรของจันทรา เป็นสวามีของ Coeus มารดาของ Leto มีหลานคือ Apollo, Artemis และAsteria
Nemosyme เป็นเทพแห่งความทรงจำ{เป็นรากศัพท์ของคำในภาษาอังกฤษ Mnemonic ที่แปลว่าอุปกรณ์หรือวิธีช่วยจำ}
Themis เป็นเทพแห่งความยุติธรรม เมื่อโครโนสได้ปกครองโลก อสุรกายต่าง ๆถูกขับออกไปจากโลก เหลือไว้เพียงแต่เอรินเยส ซึ่งก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน (เหมือนใครหว่า)
ต่อมาเวลาผ่านไปไม่นาน รีอา ก็ท้อง แต่ โครนัสนึกถึงคำสาปของยูเรนัส
เมื่อลูกของตนคลอดออกมาจึงจับกลืนลงท้องเสียและกินลูกของตนทั้งหมด 5 คนที่คลอดออกมาตามลำดับ ซึ่งโครโนสก็กลืนลงท้องไปหมดเพราะว่ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยว่าลูกจะมาฆ่าตัวเอง พอถึงคนที่ 6 คือ Zeus (เทพแห่งสวรรค์ ท้องฟ้า ) หรือชื่อในภาษาลาตินว่า Jupiter {เป็นที่มาของชื่อดาวพฤหัส Jupiter} รีอาก็เอาไปซ่อนและก็เอาก้อนหินห่อผ้าไปให้โครโนสแทน โครโนสเมื่อเห็นห่อผ้าก็ไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กลืนลงท้องไปเสร็จสรรพ
แล้วรีอาได้เอาทารก Zeus ออกมาจากที่ซ่อนแล้วไปฝากให้นางอัปสร Nereids ธิดาของเทพ Nereus
และให้พวก Curetes สาวกของตนไปเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนซุส
นางอัปสรได้พาทารกซุสไปซ่อนในถ้ำบนยอดเขา Ida และมอบหมายให้นาง Amalthea บุตรสาวของ Melissus เจ้าครองเกาะครีตเลี้ยง
นาง Amalthea ได้เลี้ยงซุสด้วยนมแพะ และเนื้อ จาก เขาควายวิเศษที่ผลิตอาหารได้ไม่มีวันหมด Cornucopia (Horn of plenty ที่เป็นที่มาของคำว่า cornucopia ที่หมายถึงภาชนะสานรูปกรวย สำหรับใส่ดอกไม้ ผลไม้ หรือธัญพืช เพึ่อเป็นเครึ่องประดับ ตกแต่ง ในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะวัน Thanksgiving ) ในขณะที่ซุสยังคงเป็นทารกส่งเสียงร้องไห้ตามประสาเด็กแบเบาะ
พวก Curetes ที่เป็นอาจารย์ก็ร้องรำทำเพลงส่งเสียงเอะอะกลบเสียงร้องของทารกซุส
จนกระทั่งซุสได้เติบโตขึ้นมา
อยู่มาวันหนึ่ง โครนัสรู้ว่ามีบุตรของตนรอดชีวิตอยู่จึงคิดกำจัด แต่ซุสก็ฉวยโอกาสจู่โจมก่อนทันที
พ่อลูกต่างต่อสู้จนกระทั่งโครนัสแพ้ ซุสจึงขึ้นเป็นใหญ่แทนและคิดช่วยเหลือพี่น้องของตนออกมาจากท้องของโครนัสพ่อของตน
จึงปรึกษาเจ้าแม่รีอา เจ้าแม่รีอาได้นำน้ำสำรอกที่นาง metis ธิดาของ Oceanusให้มาเพื่อให้โครนัสดื่มสำรอกลูกๆออกมาจนหมด
เมื่อโครนัสดื่มได้สำรอกลูกของตนเองออกมาได้แก่ Poseidon, Hades, Hestia, Demeter, Hera นอกจากนี้โครโนสยังสำรอกก้อนหินออกมาด้วย บนวิหารเดลฟีเมื่อก่อนคริตศวรรษที่ 160 ยังมีบันทึกนักเดินทางพบว่านักบวชที่นั่นรักษาหินก้อนหนึ่งประดุจชีวิต ขัดถูกมันทุกวันด้วยน้ำมันหอม เพราะเชื่อว่านี่คือตัวแทนที่ถูกกลืนลงท้องไปแทนซุส
ซุส ได้มอบหมายให้พี่น้องของตนดำรงตำแหน่งเทพเจ้าผู้ดูแลสิ่งต่างๆ ในโลก
Hestia(Vesta) เป็นเทพีแห่งเตาไฟ ทำหน้าที่พิทักษ์ชีวิตมนุษย์และบ้านเรือน
Demeter(Ceres) เป็นเทพีแห่งการเกษตรและเพาะปลูก เป็นเทพีที่อ่อนหวานใจดี จนใครๆก็รัก มีลูกสาวคือ Persephone เทพีแห่งฤดูใบไม้ร่วง
และ Zeus ได้เลือก Hera หรือในชื่อลาตินว่า Juno {เป็นที่มาของชื่อเดือนJune มิถุนายน} เป็นคู่ครองของตน
เมื่อซุสได้เป็นใหญ่ เทพไทแทนบางองค์ ที่ฉลาดก็ยอมอยู่ใต้อำนาจของซุส เช่น Nemosyme, Themis, Oceanus, Hyperion
แต่เทพไทแทนบางองค์(ลุงป้าน้าอาของซุส)ก็ไม่ยอม จึงเกิดศึกใหญ่ขึ้น
Asteria
Hebe (ฮีบี) เทพีแห่งความหนุ่มสาว ธิดาองค์โตของซุสกับเฮรา ภายหลังเธอสมรสกับเฮอร์คิวลิส (Hercules)
Ilithyia (อิลลิเทียยา) เทพีแห่งการให้กำเนิด ธิดาองค์รองของซุสกับเฮรา
Hephaestus หรือในชื่อลาตินว่า Valcanus {เป็นที่มาของคำว่า ภูเขาไฟ Valcano } เทพแห่งไฟและการตีเหล็ก เป็นช่างตีเหล็กผู้ทำอาวุธให้เทพเจ้าและสร้างวิหารต่างๆให้เทพเจ้าบนเขาโอลิมปัส อาศัยอยู่ใต้ภูเขาไฟเอธนา มีหน้าตาอัปลักษณ์และขาพิการ เป็นผู้สร้างนางแพนโดรา มี Aphrodite เป็นชายา และมีบุตรคือ Cupid
Eros(Cupid) เทพแห่งความรัก(กามเทพ) บุตรแห่ง Aphrodite แต่งงานกับนาง Psyche
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง (เมื่อรักกัน ก็ต้องเชื่อใจกัน แกล้งทำตาบอด หูหนวก เป็นใบ้บ้าง ก็ไม่เสียหลาย)
Athena(Minerva) เทพีแห่งสงคราม, ปัญญาและคุณธรรม เป็นเทพีประจำกรุงเอเธนส์ สวมชุดเกราะและมีโล่ห์ Aegis ที่ทำด้วยหนังแพะและมีหัวเมดูซ่าอยู่ตรงกลาง รักษาพรหมจรรย์ ไม่แต่งงานกับใคร มีอารมณ์รุนแรง แต่ฉลาด มีสัญลักษณ์คือ ต้นมะกอกน้ำ(Olive) และนกฮูก ธิดาของซุสกับ Metis (ธิดาของ Oceanus)
ขณะที่นางเมตีส กำลังตั้งครรภ์ เสด็จย่า Ge ก็ทำนายว่า เมตีส จะมีโอรสและธิดา อย่างละองค์ องค์แรกเป็นเทพธิดา องค์ที่ 2 เป็นเทพบุตร โดยเทพบุตรองค์ที่ 2 จะมาโค่นบังลังค์ของ ซุส เหมือนที่ซุสโค่นบังลังค์ของโครโนสมาแล้ว ซุสก็ออกตามหาเมตีส ที่รู้แกว แอบหนีไปซ่อนตัวเสียก่อน เมื่อซุสค้นหานางเมตีสจนพบ ก็กลืนนางเมตีสเข้าท้องหมดทั้งตัว ต่อมาไม่นาน ซุสก็เกิดอาการปวดศรีษะอย่างแรง กินยาแก้ปวดขนานไหนๆก็ไม่หาย ร้องครวญครางเสียงดังไปทั้งเขาโอลิมปัส เทพเฮอร์เมสไดยินเสียงจึงรีบไปสอบถามอาการโดยด่วน และรีบไปตามเทพ Hephaestus เทพแห่งการตีเหล็กมาทันที เนื่องจากอาการรุนแรงเกินกว่าจะรักษาด้วยยาใดๆ เทพเฮปเฟสตุส ก็เอาเลื่อยมาเลื่อยเปิดกระโหลกศรีษะเทพซุสออก ทันใดนั้น เทพธิดาเอธีน่า ก็กระโดดออกมาจากศรีษะของเทพซุส
นิทานเรื่องนี้ สอนว่า อย่ายัดอะไรก็ตามเข้าปากโดยไม่พินิจพิจารณาก่อน อันตรายมาจากปากของคุณเอง
Persephone เทพีแห่งบาดาลและฤดูใบไม้ร่วง บุตรสาวของซุสกับ ดีมีเตอร์
Persephone เป็นเทพธิดาสาวสวยแสนน่ารัก มีรูปโฉมงดงามเลื่องลือไปถึงเมืองบาดาล จนกระทั่งฮาเดสใช้ให้บริวารไปวาดรูปหล่อนมาให้ดู เมื่อฮาเดสเห็นรูปก็หลงรักในทันใด จึงรีบรุดออกจากเมืองบาดาลเพื่อตามหาหัวใจที่หลุดลอย(ว่าเข้าไปนั่น) ในขณะนั้นเอง เธอ กับ Oceanids กำลังเก็บดอกไม้ในทุ่ง Enna ทันใดนั้นแผ่นดินก็แยกออก และฮาเดสก็กระโดดขึ้นมาจากรอยแยกนั้นและลักพาตัวหล่อนไป โดยซุสหรือใครก็ตามไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อลูกสาวของตนหายตัวไปจากสวรรค์โดยไร้ร่องรอย ดีมิเตอร์แม่ผู้หัวใจแหลกสลายก็ออกตามหาลูกสาวของตนบนโลกมนุษย์ แต่หาเท่าใดก็หาไม่พบ จนกระทั่ง Helios ผู้แลเห็นทุกสิ่งได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ดีมิเตอร์ฟัง ดีมิเตอร์ได้ยินว่าฮาเดสมาลักพาตัวลูกสาวของเธอไป ก็โกรธมาก เลยหนีไปซ่อนตัวไม่ยอมดูแลสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติให้เติบโตเหมือนเดิม จนในที่สุดซุสก็ส่ง เฮอร์เมสลงไปหาฮาเดสในเมืองบาดาล เพื่อพูดจาให้ฮาเดสยอมปล่อย เพอเซโฟเน่กลับไปหาแม่ของเธอ เฮอร์ก็พูดจาโน้มน้าวชักแม่น้ำทั้งห้า(เล่นสำนวนรามเกียรติ์เลยแฮะ)จนฮาเดสยินยอมอย่างไม่เต็มใจพร้อมมีข้อแม้ข้อหนึ่งคือ(ว่าแล้วมั๊ยล่ะ ต้องมีเงื่อนไขแหงๆ) ต้องให้เพอเซโฟเน่ทานผลทับทิมวิเศษเสี่ยงทาย(มีอำนาจที่ทำให้ผู้กินรักและผูกพันธ์กับผู้ปลูก) เพอเซโฟเน่ได้เลือกกินเมล็ดทับทิมไป 4 เมล็ด ดังนั้น ทุกๆปี เพอเซโฟเน่จะกลับสู่โลกมนุษย์ 8 เดือนเพื่ออยู่กับแม่ของหล่อน และและไปอยู่ในนรก 4 เดือนเพื่ออยู่กับสามีของหล่อน เมื่อเพอเซโฟเน่อยู่กับฮาเดสที่ใต้บาดาล ดีมิเตอร์ก็เอาแต่เศร้าโศก ไม่ทำหน้าที่ดูแลพืชพันธ์ให้เจริญเติบโตเหมือนเคย นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฤดูหนาว
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า บางครั้งฤดูกาลทั้งหลายเกิดจากความสดชื่นแจ่มใส และความเศร้าโศก ภายในจิตใจของเราเอง
Muse เทพธิดา 9 องค์ บุตรสาวของซุสกับเนโมซินี เป็นครูผู้สร้างศิลปะ {เป็นที่มาของคำว่า Musium พิพิธภัณฑ์}ประกอบด้วย Clio(ประวัติศาสตร์), Urania(ดาราศาสตร์), Melpomene(โศกนาฏกรรม), Thalia(สุขนาฏกรรม), Terpsichore(ระบำ), Calliope(มหากาพย์), Erato(กวีนิพนธ์เกี่ยวกับความรัก), Polyhymnia(เพลงสรรเสริญเทพเจ้า), Euterpe(กวีนิพนธ์ที่ใช้ดนตรีประกอบ)
เมื่อถึงนรก Orpheus ก็อ้อนวอนขอฮาเดสตามที่ตั้งใจเอาไว้ แน่นอนครับ ว่าขอธรรมดาต้องไม่ได้ผลแน่ Orpheus จึงขอด้วยการร้องเพลง ซึ่งคาดว่าคงจะไพเราะมาก ถึงขนาดฮาเดส ผู้มีจิตใจแข่งแกร่งยังต้องสงสาร ยอมให้ Orpheus พา Eurydice กลับไปได้ แต่มีข้อแม้เพียงข้อเดียว คือ Orpheus จะต้องเดินนำ Eurydice ออกไปจากนรก และ เดินไปจนถึงบ้านบนโลกมนุษย์ โดยไม่หันกลับมามอง Eurydice แม้แต่ครั้งเดียว เมื่อรับคำแล้วทั้งสองก็ออกเดิน Orpheus ต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่หันกลับมามอง ภรรยาของตน ซึ่งเดิมตามมาข้างหลังเงียบ ๆ แล้วความพยายามที่ทำมาทั้งหมดก็หมดความหมาย เมื่อทั้งสองเดินไปใกล้ถึงทางออกจากนรก Orpheus หันกลับไปมอง Eurydice โดยไม่ทันคิด เพราะความเป็นห่วง ความตายจะไม่ยกโทษให้ใครเป็นครั้งที่สอง สาเหตุเพราะ Orpheus เกิดลืมตัวชั่ววูบ ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับฮาเดส Eurydice จึงต้องถูกดึงตัวกลับไปสู่โลกแห่งความตาย เช่นเดิม แม้ความรัก ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะความตายได้ ความเศร้าของ Orpheus ถูกกลั่นออกมาเป็นบทเพลงริมแม่น้ำ Styx (สติกซ์) ที่วิญญาณทุกดวงได้ยิน ขณะข้ามแม่น้ำ เมื่อเดินทางไปนรก เศร้าและไพเราะในเวลาเดียวกันจนต้นไม้เกิด และเติบโตขึ้นมาที่ริมแม่น้ำแห่งความตาย เพียงเพื่อที่จะได้ฟังเพลงที่บรรเลงโดย ความเสียใจของ Orpheus
Horae(The seasons) เทพธิดา 3 องค์ บุตรสาวของซุสกับธีมิส ทำหน้าที่เป็นประธานในงานฉลองต่างๆ เช่น ในพิธีกีฬาโอลิมปิค ประกอบด้วย Eunomia(กฏข้อบังคับ,Lawfulness), Dike(ความยุติธรรม,Justice), Eirene(สันติภาพ,Peace)
Graces เทพธิดาแห่งความสง่างาม บริวารของเทพธิดาแห่งความงาม Aphrodite เป็นบุตรสาวของซุส กับ Eurynome พวกเธอจะร่ายรำกับเพลงของเทพอพอลโลเพื่อให้ความสำราญแก่เหล่าเทพทั้งหลาย พวกเธออ่อนเยาว์, สวยงาม, สงบเสงี่ยม และมีความสง่างามอย่างที่สุด ประกอบด้วยเทพธิดา 3 องค์ คือ Aglaea (ความงดงามอย่างวิเศษ), Euphrosyne (ความสนุกสนานรื่นเริง) และ Thalia (ความร่าเริง) บางครั้งก็เรียกพวกเธอว่า Charites
Dionysus(Bacchus, Dendrites{หมายความว่าต้นไม้ ใช้เป็นชื่อของเส้นใยประสาท}) เทพเมรัยและความอุดมสมบูรณ์ เทพประจำเมือง Thebes บุตรของซุสกับ เจ้าหญิงแห่งธีบส์ Semele มีสัญลักษณ์คือ องุ่น
Moerae(Fates) เทพี 3 องค์ผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ Clotho ผู้ปั่นด้ายแห่งชีวิต , Lacheris ผู้กำหนดโชคชะตา ,Atropos ผู้ไม่มีความปราณีคอยตัดด้ายแห่งชีวิต
มาร์ยาส เทพเจ้ากรีก ครึ่งคนครึ่งสัตว์ ชอบเป่าขลุ่ย ท้าทายเทพอพอลโลเป่าขลุ่ย แต่แพ้เลยเชือดคอตัวเองตาย
Iris เทพธิดาสื่อสารแห่งทวยเทพ, เทพีแห่งฤดูกาลผู้เฝ้าประตูโอลิมปัส ปรากฏกายในรูปของหญิงสาวมีปีก ถือไม้คฑาของผู้นำสาร และเหยือกน้ำ ทำหน้าที่ส่งข่าวสารของเทพเจ้า(โดยเฉพาะข่าวสารจากเทพีเฮรา)มาสู่มวลมนุษย์ เป็นตัวแทนของสายรุ้ง เป็นธิดาของ Thaumas และนางไม้ Electra
Janus เทพทวารของโรมัน
Pan เทพแห่งธรรมชาติ มีขาเป็นแพะ ชอบเป่าปี่
Morpheus เทพแห่งความฝัน{ชื่อของเขากลายเป็นชื่อของยาระงับปวดมอร์ฟีนที่กลายมาเป็นยาเสพติดร้ายแรง}
Hymen เทพแห่งการสมรส
Hygiene เทพแห่งอนามัยและสุขศึกษา
Nike หญิงสาวที่เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ลูกสาว Pallas และ Styx มีพี่น้องคือ Cratos, Bia และ Zelus สามารถวิ่งและบินด้วยความเร็วสุดยอด เป็นคู่แข่งตลอดกาลของเทพธิดา Arthena มักปรากฏในรูปของหญิงสาวมีปีก สวมเสื้อคลุมที่บางเบาพริ้วเป็นคลื่น ถือพวงมาลัยหรือคฑา
Oracle วิหารพยากรณ์ ที่มีชื่อเสียงคือวิหาร Delphi ของเทพเจ้า Apollo ที่ตั้งอยู่บนรอยแยกในภูเขา Parnassus
Asia เป็นนางไม้กรีก ลูกสาวของเทพOceanus และเทพี Tethys บางตำนานกล่าวว่า เธอเป็นชายาของเทพ Iapetus แต่บางตำนานก็เป็นชายาของ Prometheus
{ชื่อของเธอกลายเป็นที่มาของทวีปเอเซียในปัจจุบัน Asia}
Africus ชื่อของลมที่พัดมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในภาษาโรมัน
เทพกรีกดื่ม Ambrosia(น้ำอมฤต)เป็นภักษาหาร
วิญญาณคนตายจะถูกเฮอร์เมสพาไปยมโลก โดยผ่านไปที่ขอบโลก ข้ามมหาสมุทรหรือทะลุถ้ำใต้ทะเลสาบที่ลึกมาก ซึ่งจะนำไปถึงErebus (นรกชั้นนอก)ซึ่งต้องผ่านแม่น้ำแห่งความวิปโยค(Acheron) ที่ไหลไปสู่แม่น้ำแห่งความกำสรวล(Cocytus) ตรงที่แม่น้ำบรรจบกัน มีชายแก่พายเรือจ้างที่ชื่อ Charon คอยรับวิญญาณที่ผ่านพิธีฝังและมีเงินปากผี ไปส่งที่หน้าประตูนรกอันแข็งแกร่ง ที่หน้าประตู จะมีสุนัข 3 หัวมีหางเป็นมังกร(Cerberus) เฝ้าอยู่จะยอมให้วิญญาณเข้าแต่ไม่ยอมให้ออก วิญญาณที่ผ่านเข้าไปจะไปรับคำพิพากษาของ 3 เทพสุภาคือ แรคดะแมนธัส, ไมนอส และ อีอะคัส วิญญาณที่ทำแต่ความดีจะส่งไปยังแดนสุขาวดี ที่ทุ่ง อีลิเชียน ส่วนวิญญาณที่ทำแต่ความชั่ว จะถูกส่งไปจองจำใน ทาร์ทะลัส และถูกเทวีทัณฑกร 3 องค์(Erinyes,Furies)คอยลงทัณฑ์ มีลักษณะดุร้ายน่ากลัว มีงูพันรอบเศียร กำเนิดจากโลหิตของยูเรนัส เมื่อครั้งถูกโครโนสทำร้าย ได้แก่ Tisiphone, Megaera, Alecto นอกจากนี้รอบๆเมืองบาดาลยังมีแม่น้ำไฟ Phlegethon,แม่น้ำแห่งคำสาบานของเทพทั้งปวง Styx, แม่น้ำแห่งการลืมเลือน Lethe ที่ใช้ลบความจำในชาติที่แล้วของวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่