ตำนานอินเดีย

เทพ ๓๓ องค์ของฮินดู ประกอบด้วย:- - วสุเทพ ๘ องค์ - รุทรเทพ (หรือ มารุตคณะ) ๑๑ องค์ - อาทิตยเทพ ๑๒ องค์ - ที่เหลืออีก ๒ องค์นั้น บางตำนานว่าได้แก่ พระอินทร์ ๑ และ พระปชาบดี ๑, บางตำนานว่าได้แก่ พระเทฺยา ๑ และ พระปฐพี ๑, บางตำนานว่าได้แก่ พระอัศวินฝาแฝด ๒ วสุเทพ ๘ องค์ ได้แก่ ๑. พระธรา (แปลว่า แผ่นดิน) ๒. พระอนล (แปลว่า ไฟ) ๓. พระอปะ (แปลว่า น้ำ) ๔. พระอนิล (แปลว่า ลม) ๕. พระธรุวะ (แปลว่า ดาวเหนือ) ๖. พระโสม (แปลว่า ดวงจันทร์) ๗. พระประภาส (แปลว่า แสงสว่าง) ๘. พระปรัตยูษ (แปลว่า แสงอรุณ) รุทรเทพ ๑๑ องค์ ได้แก่ ๑. พระมฤควยาธ (แปลว่า นายพรานล่าเนื้อ) ๒. พระสรรปะ (แปลว่า งู) ๓. พระนิรฤติ (แปลว่า โชคร้าย) ๔. พระอไชกบาท (แปลว่า คนเลี้ยงสัตว์) ๕. พระอหิรพุธันยะ (แปลว่า งูทะเล) ๖. พระปินาคิน (แปลว่า คนยิงธนู) ๗. พระธหัน (แปลว่า การเผาไหม้) ๘. พระอีศวร (แปลว่า ผู้เป็นเจ้า) ๙. พระกปาลิน (แปลว่า ผู้สวมกระโหลก) ๑๐. พระสถาณุ (แปลว่า เสาหิน) ๑๑. พระภคะ (แปลว่า โชค) อาทิตยเทพ ๑๒ องค์ ได้แก่ ๑. พระมิตร (แปลว่า เพื่อน) ๒. พระวรุณ (แปลว่า โชคชะตา) ๓. พระอรยมัน (แปลว่า ยศฐาบรรดาศักดิ์) ๔. พระทักษะ (แปลว่า ความชำนาญ) ๕. พระภคะ (แปลว่า โชคลาภ) ๖. พระอังศะ (แปลว่า พรสวรรค์) ๗. พระทวัษฏฤ (พยางค์สุดท้ายอ่านว่า -ตฺริ) (แปลว่า ความมีฝีมือทางช่าง) ๘. พระสวิตฤ (พยางค์สุดท้ายอ่านว่า -ตฺริ) (แปลว่า วาจาสิทธิ์) ๙. พระปูษัน (แปลว่า ความเจริญรุ่งเรือง) ๑๐. พระศักระ (สะกดอย่างบาลีว่า สักกะ หมายถึง พระอินทร์) (แปลว่า ความกล้าหาญ) ๑๑. พระวิวัสวัต (แปลว่า กฎหมาย) ๑๒. พระวิษณุ (แปลว่า ผู้ขจรขจายไปทั่ว) บางตำนานก็ใช้ พระปรชันยะ แทน พระทักษะ บางตำนานก็ใช้ พระธาตฤ แทน พระทักษะ บางตำนานก็ใช้ พระวิธาตฤ แทน พระอังศะ บางตำนานก็ใช้ พระอินทร์ แทน พระศักระ บางตำนานก็ใช้ พระสุริยะ หรือ พระรวี (หมายถึง ดวงอาทิตย์) แทน พระสวิตฤ บางตำนานก็ใช้ พระมนู แทน พระวิวัสวัต หมายเหตุ : เทพทั้ง ๓๓ องค์ของฮินดูนี้เป็นที่มาของเทวดา ๓๓ องค์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในคติชาวพุทธ (คำว่า "ดาวดึงส์" แปลว่า ๓๓, ดินแดนอันเป็นที่อยู่ของเทวดา ๓๓ องค์)


พระอินทร์(สายฟ้า) /พระอาทิตย์(ตะวัน)/ พระอัคคี(ไฟ)


พระอรุณ - เป็นบุตรของพระกัศยปเทพฤๅษีกับนางวินตา [อ่านว่า วิ-นะ-ตา] และเป็นพี่ชายของพญาครุฑ - สืบเชื้อสายมาจากพระมหาวิษณุตามลำดับดังต่อไปนี้: พระมหาวิษณุ --> พระพรหมา --> พระมรีจิ (หนึ่งในพระประชาบดี) --> พระกัศยปะ --> พระอรุณ (ลำดับเช่นนี้มาจากมหากาพย์มหาภารตะ แต่มหากาพย์รามายณะบอกว่าพระกัศยปะเป็นบุตรของพระพรหมา พระกัศยปะจึงมีศักดิ์เป็นน้องของพระมรีจิ) - พระอรุณทำหน้าที่เป็นสารถีขับราชรถให้พระอาทิตย์ (ทำหน้าที่เฉพาะตอนกลางวัน กลางคืนพักผ่อน) คืนหนึ่งพระอรุณแปลงกายเป็นเทพธิดาสาวสวย ขึ้นไปดูระบำโป๊บนสวรรค์ของพระอินทร์ ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะเทพธิดาหรือนางฟ้าสตรีเท่านั้นเข้าไปดูได้ (ยกเว้นเจ้าของงานคือพระอินทร์ซึ่งเป็นเทวดาผู้ชาย) พระอรุณแปลงกายเป็นเทพธิดาใช้ชื่อว่า "อารุณิเทวี" พอพระอินทร์เห็นพระอารุณิเทวีเข้า ก็เกิดหลงใหลขึ้นมา จึงเกี้ยวพาราสี และคืนนั้นก็'ได้เสีย'กันจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งองค์ แต่เนื่องจากพระอารุณิเทวี(พระอรุณ)จะต้องกลับไปทำหน้าที่เป็นสารถีขับราชรถให้พระอาทิตย์ในตอนรุ่งสาง จึงฝากให้นางอหัลยาซึ่งเป็นภรรยาฤๅษีเคาตมะ (ซึ่งไทยเรียก ฤๅษีโคตมะ หรือ ฤๅษีโคดม)* เลี้ยงดูบุตรผู้นี้แทน แต่พระอรุณกลับมา'เข้าเวร'ช้า พระอาทิตย์จึงถามถึงสาเหตุที่มาช้า พระอรุณจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พอฟังเสร็จพระอาทิตย์เกิดอยากเห็นพระอรุณตอนที่แปลงกายเป็นเทพธิดาขึ้นมาบ้าง พระอรุณจึงแปลงกายเป็นเทพธิดาให้พระอาทิตย์ดูอีกครั้งหนึ่ง พระอาทิตย์ก็เกิดหลงใหลพระอารุณิเทวี(พระอรุณแปลงกายเป็นเทพธิดา)ขึ้นมา จึง'ได้เสีย'กัน และเกิดบุตรด้วยกันหนึ่งองค์ ก็ฝากบุตรองค์นี้ให้นางอหัลยาเลี้ยงแทนอีก ฝ่ายฤๅษีเคาตมะไม่ชอบบุตรของพระอารุณิเทวี(พระอรุณ)สององค์นี้ จึงสาปให้กลายเป็นลิง ลักษณะเด่นของลิงสองตัวนี้คือตัวพี่มีหางยาว ตัวน้องมีคอสวย ลิงซึ่งเป็นลูกของพระอรุณแปลงเพศ(ที่มีพระอินทร์กับพระอาทิตย์เป็นบิดา)ทั้งสองนี้มิใช่ใครที่ไหน... ลิงตัวพี่ก็คือ "พาลี" (แปลว่า ผู้มีหางยาว) และลิงตัวน้องก็คือ "สุครีพ" (แปลว่า ผู้มีคองาม) ทหารเอกของพระรามในมหากาพย์รามายณะนั่นเอง - ชายาของพระอรุณคือ "นางเศยนี" [อ่านว่า สะ-เย-นี] (เป็นคำสันสกฤต แปลว่า เหยี่ยวตัวเมีย) เป็นมารดาของ "สัมปาติ" (นกสัมปาตี) และ "ชฏายุ" (นกสดายุ) ในเรื่องรามเกียรติ์นั่นเอง


พระวรุณ (หรือที่ไทยเรียกว่า พระพิรุณ) เป็นเทวดาแห่งน้ำทั้งปวง เป็นบุตรของพระกัศยปเทพฤๅษีกับนางอทิติ และเป็นน้องชายของพระอินทร์และพระอาทิตย์อื่นๆอีก ๑๐ องค์ (รวมเป็น "อาทิตยเทพ" ๑๒ องค์) พระวรุณนั้นมีชายาหลายองค์หรือหลายนาง ที่เด่นๆมีอยู่ ๒ นาง คือ นางเการี กับ นางวรุณานี นอกนั้นก็ได้แก่ นางจารัษณี นางเชษฐา (นางเชษฐาเป็นลูกสาวของพระศุกร์) ฯลฯ บุตรของพระวรุณได้แก่ - สุเษณเทพบุตร - วันทีเทพบุตร - บุษกรเทพบุตร - พล(ะ)เทพบุตร - อธรรมก(ะ)เทพบุตร - นางสุราเทวี หรือ นางวารุณีเทวี (เทพีแห่งเหล้า)** - วสิษฐฤๅษี (พระวสิษฐฤๅษีเกิดจากน้ำกามของพระวรุณ ซึ่งหลั่งเมื่อตอนที่พระวรุณเห็นนางอุรวศี--นางอัปสราที่สวยที่สุดบนสวรรค์) - ฤๅษีวาลมีกิ (พระฤๅษีวาลมีกิ เกิดจากน้ำกามของพระวรุณซึ่งหลั่งรดบนจอมปลวก -- จอมปลวกนั้นภาษาสันสกฤตเรียกว่า "วัลมีกะ" ผู้ที่เกิดจากจอมปลวกจึงได้ชื่อว่า "วาลมีกิ") - พระทักษสาวรรณิ (พระมนูแห่งมนวันดรที่ ๙) ฯลฯ ** นางสุราเทวีหรือนางวารุณีเทวี(เทพีแห่งเหล้า)นั้นบางตำนานก็บอกว่าเป็นลูกสาวของพระวรุณที่เกิดจากนางเชษฐา บางตำนานก็บอกว่าพระวรุณดลให้บังเกิดขึ้นตอนกวนเกษียรสมุทรพร้อมกับน้ำอมฤต (ซึ่งอันหลังนี้พระจันทร์เป็นผู้ดลให้บังเกิดขึ้น) เทพธิดาองค์หนึ่ง(ใน ๔ องค์)ที่เกิดขึ้นตอนกวนเกษียรสมุทรคือนางสุรา (เหล้า) ถือเป็นลูกของพระวรุณ เพราะพระวรุณดลให้บังเกิดขึ้น นางสุราจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่านางวารุณี (คำว่า "วารุณี" แปลตามรูปศัพท์ว่า "ลูกสาวของพระวรุณ" โดยปริยายแล้วหมายถึง "เหล้า" นั่นเอง) พระวรุณเป็นเจ้าแห่งน้ำทั้งปวง รวมทั้งเหล้าซึ่งเป็น'น้ำ'อย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นพระวรุณจึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาของนางสุราเทวีหรือนางวารุณีเทวีด้วยเหตุที่กล่าวมานี้


พระอินทร์(สายฟ้า) /พระวรุณ(ฝน)/ พระพฤหัส(ความรู้) พระพรหม(เจ้าสวรรค์) /พระนารายณ์(เจ้าสมุทร)/ พระศิวะ(เจ้าบาดาล)เทพภูเขา

พระพรหมผู้สร้าง(เทพแห่งความบริสุทธิ์) มีหงส์เป็นพาหนะ มี 4 หน้า 4 มือ ถือ คัมภีร์พระเวท,ช้อนกับคฑา,คณโฑ,สร้อยประคำ สถิต ณ สวรรค์ชั้นพรหม - ชายา คือ พระนางสรัสวตี (ไทยเรียก พระนางสุรัสวดี,ภารตี) เทพีแห่งศิลปวิทยา - ไม่มีบุตรหรือธิดาที่ถือกำเนิดโดยตรงจากพระนางสุรัสวดี - มีบุตรที่เกิดจากการเสกดังต่อไปนี้... พระอังคีรส (บิดาของพระอัคนีและพระพฤหัสบดี) พระอตริ (บิดาของพระจันทร์และฤๅษีทุรวาส) พระกระตุ (บิดาของนางอรุนธตี--ภรรยาของฤๅษีวสิษฐ์--และเหล่าฤๅษีแคระที่เรียกว่า "พาลขิลย์" จำนวน ๖๐๐๐๐ ตน***) พระปุลัสตยะ (บิดาของพระวิศรวัส ปู่ของท้าวกุเวรและท้าวราวณะ****) พระปุลหะ (บิดาของพระกรรทัม ปู่ของพระกบิลดาบส) พระทักษะ (บิดาของนางอทิติ นางทิติ นางวินตา นางกัทรู ฯลฯ) พระวิกรีตะ พระสังศรยะ พระสถาณุ (บิดาของ "รุทรเทพ" ๑๑ องค์) พระประเจตัส พระวิวัสวาน (บิดาของพระยม พระนางยมุนา พระอัศวิน ฯลฯ) พระกัศยปะ (บิดาของ "อาทิตยเทพ" ๑๒ องค์ พระอรุณ ครุฑ นาค ฯลฯ) พระมรีจิ (บางตำนานว่าเป็นบิดาของพระกัศยปะ) พระภฤคุ (บางตำนานว่าเป็นบิดาของพระลักษมี) พระวสิษฐ์ พระเหติ พระประเหติ พระธรรม (บิดาของ "วสุเทพ" ๘ องค์) พระอธรรม พระสวยัมภูวะ (พระมนูแห่งมนวันดรที่ ๑) ฯลฯ หมายเหตุ - บางตำนานบอกว่าพระสุรัสวดีเป็นบุตรีของพระพรหมที่พระพรหมเสกขึ้นมาเอง แล้วเกิดหลงใหลขึ้นมาเลยนำพระสุรัสวดีมาเป็นชายา - บางตำนานบอกว่าพระกามเทพเป็นบุตรที่พระพรหมเสกขึ้นมา บางตำนานก็บอกว่าพระกามเทพเป็นบุตรของพระธรรมซึ่งเป็นบุตรพระพรหมอีกทีหนึ่ง - - - - - *** มีตำนานเล่าว่าเหล่าฤๅษีแคระ "พาลขิลย์" ๖๐๐๐๐ ตนนี้เป็นบุตรของพระกระตุเทพฤๅษีกับนางสันตติ มีขนาดของร่างกายใหญ่เพียงครึ่งหนึ่งของนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น แต่มีแสงเปล่งออกมาจากลำตัวสว่างเท่าแสงพระอาทิตย์เลยทีเดียว จึงทำหน้าที่ช่วยพระอาทิตย์ในการส่องสว่าง ในแต่ละเดือนจะมีพระอาทิตย์ ๑ องค์ เทพฤๅษี ๑ องค์ นางอัปสร ๑ ตน คนธรรพ์ ๑ ตน นาค ๑ ตน ยักษ์ ๑ ตน รากษส ๑ ตน (รวมเป็น ๗) นั่งราชรถมาเยือนโลกเพื่อให้แสงสว่าง อย่างเดือนนี้เป็นเดือน ๗ ทางจันทรคติซึ่งเรียกว่า "เชษฐมาส" ก็จะเป็นเวรของพระอาทิตย์ชื่อพระมิตราทิตย์ (พระมิตร) เทพฤๅษีชื่อพระอตริ นางอัปสรชื่อเมนะกา คนธรรพ์ชื่อหาหา นาคชื่อตักษก ยักษ์ชื่อรถสวัน รากษสชื่อเปารุเษย์ ทำหน้าที่ประจำราชรถ ในราชรถนี้จะมีฤๅษีพาลขิลย์ทั้ง ๖๐๐๐๐ ตนนั่งมาด้วยโดยจะนั่งล้อมพระอาทิตย์ (รายชื่อผู้ประจำราชรถทั้ง ๑๒ เดือน รวมเป็น ๑๒ x ๗ = ๘๔ ชื่อ ดิฉันเคยถอดจากอักษรสันสกฤตรูปโรมันไว้แล้ว จะนำมาเสนอให้ในโอกาสต่อๆไปนะคะ) อนึ่ง ฤๅษีแคระ "พาลขิลย์" นี่แหละ ที่เป็นผู้ยังให้พญาครุฑถือกำเนิดขึ้นในครรภ์(ไข่)ของนางวินตา เล่าคร่าวๆก็คือเพราะพระอินทร์ท่านไปสบประมาทหัวเราะเยาะเหล่าฤๅษีพาลขิลย์ไว้ว่าตัวกะจิดริดกะจ้อยร่อย มีตั้ง ๖๐๐๐๐ แต่ทำงานสู้ท่านคนเดียวไม่ได้ เหล่าฤๅษีพาลขิลย์เลยบำเพ็ญตบะขอพรให้บังเกิดมี "พระอินทร์" อีกองค์หนึ่งเป็นคู่แข่งกับพระอินทร์องค์นี้ ตอนนั้นนางวินตากำลังบำเพ็ญตบะขอพรจากพระผู้เป็นเจ้าอยากได้ลูกอยู่พอดี พระผู้เป็นเจ้าก็เลยประทานลูกที่เก่งกว่าพระอินทร์มาให้นางวินตา ก็คือพญาครุฑนั่นเอง พญาครุฑนั้นเคยชนะพระอินทร์ตอนที่ไปขโมยน้ำอมฤตจากสวรรค์ เป็นอันว่าการบำเพ็ญตบะของเหล่าฤๅษีพาลขิลย์ครั้งนั้นก็สำเร็จสัมฤทธิผลดังปรารถนา **** ท้าวราวณะ (ไทยเขียนเป็น "ราพณ์") ก็คือ ทศกัณฐ์ นั่นเอง ท้าวราวณะมีศักดิ์เป็นพี่ของท้าวกุเวร (มีพ่อคนเดียวกัน แต่คนละแม่) ท้าวกุเวรมีลูกสะใภ้สาวสวยนางหนึ่งนามว่า "รัมภา" นางรัมภาจึงมีศักดิ์เป็นหลานสะใภ้ของท้าวราวณะ แต่ก็ถูกท้าวราวณะข่มขืนทั้งๆที่นางรัมภาทั้งอ้อนวอนทั้งเตือนสติว่าท้าวราวณะเป็นลุง การข่มขืนหลานสะใภ้นั้นเป็นบาปยิ่ง แต่ท้าวราวณะก็ไม่ฟัง นางรัมภาซึ่งถูกท้าวราวณะข่มขืนก็สาปแช่งว่า ต่อไปขอให้ท้าวราวณะจงถึงแก่ชีพิตักษัยด้วยน้ำมือของสามีของหญิงที่ถูกท้าวราวณะละเมิดล่วงเกิน(ทางเพศ) จากเรื่องรามเกียรติ์นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าท้าวราวณะฉุดนางสีดาไป แล้วถูกพระรามสวามีของนางสีดาฆ่าในที่สุด การตายของท้าวราวณะนี้จึงเป็นจริงดังคำสาปแช่งของนางรัมภา หมายเหตุ : ตำแหน่ง "นางงามจักรวาล" เป็นของนางอุรวศี... ส่วนผู้ที่ได้ตำแหน่งรองฯมี ๓ นาง (เหมือนเวทีประกวด) ได้แก่ นางเมนะกา นางรัมภา นางติโลตตมา


พระนารายณ์(พระวิษณุ)ผู้รักษา มีพญาครุฑ เป็นพาหนะ มี 4 มือ ถือ ตรี คฑา จักร สังข์ สถิตบนหลังพญานาคในเกษียรสมุทร(ไวกูรณ์) มี พระลักษมี เป็นชายา ชาวฮินดูนับถือต้นกะเพราเป็นตัวแทนพระนารายณ์ สามารถเดินข้ามโลกเพียง 3 ก้าว ไม่มีบุตรหรือบุตรีเลย เพราะปกติจะนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะอวตารไปปราบทุกข์เข็ญในโลกมนุษย์ พระนารายณ์สามารถอวตารมาปราบทุกข์เข็ญในโลกมนุษย์ได้ มี 10 ปาง คือ

  1. มัตสยาวตาร เป็นปลาเพื่อ ช่วยมนุษย์คราวน้ำท่วมโลก ปราบยักษ์ที่ชื่อ หยครีวะ(หัยครีพ) ผู้เป็นต้นเหตุให้มนุษย์มีความเห็นผิด
  2. กูรมาวตาร เป็นเต่าในเกษียรสาคร เอาหลังดุนภูเขามันทาระ เมื่อเทวดากวนเกษียรสมุทร เพื่อให้เกิดน้ำอมฤต
  3. วราหาวตาร เป็นหมูป่า เพื่อปราบหิรัณยากษะ ผู้จับโลกกดลงไปใต้ทะเล หมูป่าใช้เขี้ยวดุนให้โลกลอยตัวขึ้นจากทะเล
  4. นรสิงหาวตาร เป็นคนครึ่งสิงห์ เพื่อปราบยักษ์ ที่ชื่อ หิรัณยกศิปุ ผู้ได้รับพรจากพระพรหมว่าไม่มีใครฆ่าตายได้ จนก่อความเดือดร้อนไปทั่วโลก
  5. วามนาวตาร เป็นคนค่อม เพื่อปราบยักษ์ที่ชื่อ พลิ ไม่ให้ครอบครองโลกทั้ง 3 และไล่ให้ไปอยู่ใต้บาดาล
  6. ปรศุรามาวตาร เป็นรามถือขวาน บุตรพราหมณ์ ชื่อ ยมทัคนี ผู้สืบสกุลจาก ภฤคุ เพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ครอบครองอาณาจักรเหนือวรรณพราหมณ์
  7. รามาวตาร เป็นรามจันทร์(พระราม ในรามายณะ) เพื่อปราบราวณะ(ทศกัณฐ์)
  8. กฤษณาวตาร เป็นพระกฤษณะ สารถีขับรถศึกให้อรชุน ในมหาภารตะ
  9. กัลกยาวตาร เป็นกัลกิ บุรุษขี่ม้าขาว ถือดาบมีแสงแปลบปลาบเหมือนดาวหาง เพื่อปราบคนชั่วและสถาปนาธรรมขึ้นใหม่ในโลกนี้

พระศิวะผู้ทำลาย มีโคอุสุภราชเป็นพาหนะ มี 4 มือ ถือสามง่าม สถิต ณ เขาไกรลาส ในป่าหิมพานส์ มี พระนางปารวตี(พระอุมาเทวี) เป็นชายา มี คอดำ ผู้มีตาสามดวง ยามใดที่ตาที่สามขององค์พระศิวะเปิดขึ้นจะมีไฟบรรลัยกัลป์มาล้างโลก ทรงจันทร์เป็นปิ่น มีพระคงคาอยู่ในมุ่นผม มีงูเป็นสังวาลย์ นุ่งห่มหนังเสือ พระสตี ซึ่งเป็นลูกสาวของพระทักษะประชาบดี พระทักษะประชาบดีนั้น ถือเป็นบุตรของพระพรหม และเป็นสาวกขององค์พระนารายณ์ แล้วด้วยความถือดีนี้เลยทำให้ไม่เคารพพระศิวะ และพาลไปคิดว่าพระศิวะไม่เคารพตนที่เป็นพ่อตา เพราะพระศิวะไม่เคยมาหาถึงที่บ้าน ไม่มีของขวัญ แล้วพระศิวะยังเคยหักหน้าพระทักษะฯ หลายครั้ง พระทักษะฯ คิดแล้วแค้นใจเลยจัดงานปาร์ตี้ เชิญเหล่าเทพทั้งหลายมาทั้งหมด แต่ไม่ยอมเชิญลูกสาวกับสามี คือพระศิวะมาด้วย พระทักษะฯ นั้นมีลูกเขยอีกหลายคน เป็นเทวดาชั้นธรรมดาเท่านั้น แต่ก็จัดงานใหญ่ โตแล้วมีการพูดจาดูถูกพระศิวะ ประมาณอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั่นแหละ บอกว่าพระศิวะเป็นแค่ เทพแก่ ๆ ไม่มีเครื่องประดับจน เพราะว่าทรงแต่หนังเสือ แล้วก็มีงูพันคอ อาวุธก็ไม่ใช่ ตรี คฑา หรือจักร แต่เป็นแค่สามง่ามธรรมดาไม่เห็นมีฤทธิอะไร อำนาจก็เป็นแค่นายผี พระศิวะหรือพระภูเตศวรนั้นถือ เป็นผู้ดูแล พวกภูตผี ปีศาจด้วย ถึงได้ให้พรดะไปหมดเวลาพวกนี้ นั่งภาวนาขออะไร พระสตีนั้นเข้ามาในงานแล้วก็ทนไม่ได้ที่พ่อของตัวว่าสามีเช่นนี้ แต่แก้ตัวไม่ได้ไม่เข้าใจว่าทรงไม่มีอิทธิฤทธิ์หรือ อย่างไร เลยบอกว่าขอล้างอายให้พระสวามีด้วยการเอาตัวเองเข้าชำระ แล้วก็โดดเข้าใส่กองเพลิง ไหม้หายไปเลย พระศิวะกำลังนั่งบำเพ็ญเพียรอย่างสงบก็สะดุ้งพระองค์ทันที แล้วรีบจับยามดูก็ตกใจเมียรัก ตายซะแล้ว พระองค์ทรงพิโรธสุดขีดกลายเพศเป็นพระไภศวะ (พระศิวะปางดุร้าย) พระเกศาแดงเป็นไฟกรด มีเขี้ยวงอกออกมาสองข้างแล้วบุกเข้าไปที่งานของพระทักษะแล้วก็เข่นฆ่าเทพทั้งหลายที่ขัดขวาง เทพทั้งหลายเผ่นหนีกันหมด พระทักษะนั้นโดนตัดคอแล้วจับเอาหัว ขว้างทิ้งหายไปยังสุดขอบจักรวาล พระอิศวรหลังจากทำลายพิธีเสร็จสิ้น ก็กลับภาคเป็นองค์พระมหาเทพดังเดิม แต่ว่าไม่ได้กลับไปยัง วิมานคือเขาไกรลาส แต่กลับเสด็จไปเรื่อย ๆ ด้วยความเศร้าที่สูญเสีย เมียที่รัก ทรงร่อนเร่ไปทั่ว ทำให้เกิดภาวะปั่นป่วนในโลกเพราะพระมหาเทพไม่อยู่ พวก ภูต ผีปีศาจก็ออกอาละวาดและมีฤทธิ์เดชไปทั่ว เพราะไม่มีคนคอยกำราบ เหล่าเทวดา นำโดยพระอินทร์ ผู้ซึ่งมักจะทำอะไรไม่ค่อยได้รีบไปเฝ้าพระพรหมฯ ก่อน พระพรหมบอกว่าเรื่องนี้เป็นพรหมลิขิต(ตลอด) แต่ว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ วิญญาณพระสตีจะไปเกิดใหม่เป็นลูกสาวของท้าวหิมาลัย ชื่ออุมา แล้วจะพบรัก กับพระอิศวรแล้วกลายเป็นพระโลกมาตา แล้วสันติสุขจะกลับคืนสู่โลก ตอนนี้ก็ให้ทุกคนอดทนไปก่อนนะ อ้อแล้วลูกข้าทักษะฯ น่ะ เอามันมาชุบชีวิตด้วย พระอินทร์บอกว่าไม่มีหัวแล้วพระเจ้าข้า หาหัวแพะมาใส่ให้มันไป มันโง่นักที่ไปหาเรื่องพระมหาเทพ ก็ให้มันมีหัวเป็นแพะนั่นแหละ ตรัสเสร็จพระธาดาพรหมก็โบกมือไล่พระอินทร์บอกว่า ไปได้แล้วจงรอพรหมลิขิตเถิด แล้ว ต่อมาท้าวหิมาลัยและภรรยาก็ให้กำเนิดธิดาน้อยน่ารัก นามว่าอุมา นางสาวอุมาพอเจริญวัย ก็ไม่ยอมมองชายหนุ่มที่ไหน ด้วยนางคิดว่านางนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว แต่นางก็ยังไม่ยอมรักใครจนคืนหนึ่งหลับฝันไป ก็มีเทพมาเข้าฝันชี้นำว่า เนื้อคู่ของนางสาวอุมานั้นไม่ใช่ใครจะต้องเป็นพระมหาเทพแน่ ๆ นางตื่นขึ้นมาก็ตรอมใจ ว่าจะไปหาพระมหาเทพได้ที่ไหน นางตรอมใจอยู่นาน จนท้าวหิมาลัยกับภรรยาสงสารลูกสาว จึงไปหาพระอินทร์ พระอินทร์เห็นเป็นโอกาสแล้วตามที่พระพรหมเคยบอกไว้จึงรับปากว่าจะช่วย ลูกสาวท้าวหิมาลัย แล้วก็พูดจาหาเสียงอยู่พักใหญ่ จริง ๆ จะช่วยตัวเองเพราะว่าถ้าพระศิวะไม่แต่งกับอุมา ตัวเองก็แย่แน่เพราะสู้พวกมารไม่ได้ แต่ตอนนี้ต้องเอาบุญคุณจากท้าวหิมาลัยนี่ก่อน แล้วพระอินทร์ก็ให้ไปตามพระกามเทพ กับนางรตีแล้วก็พระวสันตฤดูมา แล้วแจ้งให้ไปจัดการให้อุมาสมรักกับพระมหาเทพให้ได้ พระกามเทพรับคำสั่งแล้วก็เดินทางไปทันที พระวสันตฤดูก็บรรดาลให้เกิดฤดูใบไม้ผลิทันที บรรยากาศรอบข้างสดใส พระมหาเทพนั่งบำเพ๊ญเพียรอยุ่รู้สึกพระองค์ว่า มีกลิ่นดอกไม้เสียงแมลงมาร้องสดใสก็รำพึงกับตนเองว่าฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว พระกามเทพได้โอกาสก็แผลงศร ดอกไม้เข้าไปที่พระอุระของพระมหาเทพทันที ทรงสะดุ้งพระองค์ลืมตาขึ้นมา ก็เห็นนางสาวอุมา พระองค์แรกเห็นก็ทรงหลงรักทันที ด้วยความผูกพันเดิมแล้วก็อำนาจแห่งศรกามเทพ พระองค์ขณะจะเอ่ยปากทักพระอุมา ก็เหลือบไปได้ยินเสียงหัวเราะของพระกามเทพ ที่ภูมิใจว่าแม้แต่พระมหาเทพก็ยังทนอำนาจศรดอกไม้ของตัวไม่ได้ พระศิวะทรงกริ้วโมโหหนอยจะเคี้ยวหญ้าอ่อนซะหน่อย เสือกมาแอบดู ด้วยความโมโห และเจ็บใจที่เสียรู้กามเทพ จึงทรงเปิดเนตรที่สามขึ้น พระอิศวรมีสามตา ดวงตาที่สาม จะหลับอยู่เสมอเพราะถ้าลืมขึ้นมาคือไฟล้างโลก ไฟจากเนตรที่สามของพระศิวะจึงเผาร่างของพระกามเทพเป็นจุลไป ดังนั้นถึงแม้เทพจะเป็นผู้ไม่ตาย แต่พระกามเทพก็จะไม่มีร่างอีกต่อไป มีแต่ดวงจิตล่องลอยไปเรื่อย ๆ พระมหาเทพพอเผาร่างพระกามเทพเสร็จแล้ว ก็ด้วยความเสียฟอร์ม ก็เลยผละจากนางสาวอุมา ไปทันที ทำให้นางเอกของเราเศร้าใจต่อไป นางคิดหาวิธีอยู่นาน ก็นึกได้ว่าพระมหาเทพชอบให้พร และจะมาโปรดผู้บำเพ็ญเพียร ดังนั้นนางจึงไปนั่งบำเพ็ญเพียรถวายพระมหาเทพอย่างอดทนการนั่งบำเพ็ญเพียร นี่รู้สึกจะต้องทำทุกขกริยาด้วย อดข้าวอดน้ำอยู่นาน จนวันหนึ่งมี นักบวชเฒ่านิกายไศวะคนหนึ่งผ่านมาขอบริจาคอาหาร นางก็รีบทำบุญให้ไปทันที เพราะเห็นเป็นนักบวชนิกายไศวะ นักบวชนั้นก็ถามนางว่านั่งบำเพ็ญเพียรไปเพื่ออะไร นางก็ตอบว่าเพื่อให้พระมหาเทพยอมรับรักนาง นักบวชนั้นก็บอกว่า โธ่จะไปหลงอะไรกับพระมหาเทพผู้แก่ชรา แล้วก็ไม่มีสมบัติอะไรจะหล่อ ก็ไม่หล่อ ไปกับข้าดีกว่า ข้าจะพาเจ้าไปหากษัตริย์หนุ่ม ๆ หล่อ รวย มีปราสาทเป็นสิบหลังให้เจ้าอาศัยอยู่มีข้าทาสบริวาร นางสาวอุมาโกรธมากต่อว่านักบวชเฒ่านั่นและไล่ ไปทันทีบอกว่า เสียแรงเป็นพระนิกายไศวะแต่กลับดูถูกพระมหาเทพเราไม่น่าให้ข้าวแก่ท่านเลย จงไปให้ไพ้น(คราวนี้นางไม่น้อยใจจนฆ่าตัวตายแล้ว เข้มแข็งขึ้นเยอะครับ) ทันใดนั้นนักบวชเฒ่าก็เปลี่ยนร่างเป็นองค์พระมหาเทพ ให้พระอุมาเห็น แล้วก็บอกว่าดูก่อนอุมาเราได้ ประจักษ์ในใจรักของเจ้าแล้ว บัดนี้เราจะมารับเจ้าไปเป็นภรรยาแห่งเรา ครับเรื่องก็แฮปปี้เอนดิ้งจนได้ งานวิวาห์ของพระศิวะและพระอุมานั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก พระพรหมและพระนารายณ์เสด็จมาประทานพรให้พระอุมาเทวีเป็นพระโลกมาตา แล้วพระศิวะกับพระอุมาก็ไปประทับยังวิมานเขาไกรลาศ แล้วทั้งสองพระองค์ก็มีทารกคือพระสกันทกุมาร ซึ่งได้เป็นเทพแห่งสงครามและเพียงประสูติได้เจ็ดวัน ก็ไปฆ่าอสูรตัวหนึ่งตาย โดยอสูรตัวนี้กำเริบไว้มาก เพราะพระอิศวรนั่นแหละไปประทานพรว่าจะไม่มีใครฆ่าได้นอกจากทารก อายุเจ็ดวัน พระอิศวรจึงต้องใช้โอรสตัวเองไปปราบ แล้วโลกก็กลับคืนสู่สันติสุขอีกครั้ง พระศิวะ มี บุตร 2 องค์คือ พระสกันทกุมาร กับ พระพิฆเนศ ที่ต้องมีหัวเป็นช้างเพราะ เมื่อจะทำพิธีโสกัณต์ พระอิศวร ให้เทพบริวารไปอัญเชิญพระนารายณ์ ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่า ปกติจะนอนหลับ จึงต้องปลุกให้ตื่น เมื่อพระนารายณ์พบว่า ไม่ได้ถูกปลุกให้ไปทำกิจอันเป็นประโยชน์ หรือปราบยุคเข็ญ เช่นทุกครั้ง ก็ออกอาการหงุดหงิด บริภาษว่าเจ้าเด็กไม่มีหัวนี่ยุ่งจริง เศียรของพระพิฆเนศจึงมีอันหายไปด้วยวาจาสิทธิของพระนารายณ์ จนต้องพยายามหาหัวมาต่อ ก็ปรากฎว่าหาหัวอะไรก็ไม่ได้ ไปพบแต่ช้างนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก จึงตัดหัวช้างมาต่อให้ และเป็นหนึ่งในที่มาของความเชื่อ ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก


ตำนานพุทธ

สวรรค์มี ๖ ชั้น เรียกว่า "ฉกามาวจรภพ" (ฉ + กาม + อวจร + ภพ) หรือ "ฉกามาพจรภพ" (แปลตรงตัวว่า แดนภพที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม ๖ ชั้น) ได้แก่สวรรค์ชั้น:- ๑. จาตุมหาราชิก - มีท้าวจตุโลกบาลเป็นผู้ปกครอง ๒. ดาวดึงส์ - มีท้าวสักกเทวราช(พระอินทร์)เป็นผู้ปกครอง ๓. ยามะ - มีท้าวสุยามเทพบุตรเป็นผู้ปกครอง ๔. ดุสิต - มีท้าวสันดุสิตเทวราชเป็นผู้ปกครอง (พระมารดาของพระพุทธเจ้าก็สถิตย์ ณ สวรรค์ชั้นนี้) ๕. นิมมานรดี - มีท้าวสุนิมมิตเทวราชเป็นผู้ปกครอง ๖. ปรนิมมิตวสววัตตี - มีท้าวปรนิมมิตวสวัตดีเป็นผู้ปกครอง ชั้นล่างสุดคือ "จาตุมหาราชิก" มีมหาราช ๔ พระองค์ (เรียกว่าท้าวจตุโลกบาล) เป็นผู้ปกครองครองดูแลรักษาในทิศทั้ง ๔ ได้แก่ ๑. ท้าวธตรฐ (เป็นจอมภูตหรือจอมคนธรรพ์) ดูแลรักษาด้านทิศตะวันออก ๒. ท้าววิรูปักษ์ (เป็นจอมนาค) ดูแลรักษาด้านทิศตะวันตก ๓. ท้าวกุเวร (เป็นจอมยักษ์) ดูแลรักษาด้านทิศเหนือ ๔. ท้าววิรุฬหก (เป็นจอมเทวดาหรือจอมกุมภัณฑ์) ดูแลรักษาด้านทิศใต้


1