ตำนานสแกนดิเนเวีย(ไวกิ้ง)

( กำเนิดโลก ) ( โลกทั้ง 9 ) ( เทพเจ้าทั้งหลาย )
( วันพิพากษา ) ( Saga ) ( Berserks )

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ก่อนโลกจะถือกำเนิด จักรวาลประกอบด้วย นรกน้ำแข็ง Niflheim ซึ่งเป็นดินแดนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ที่ว่างเปล่า ปราศจากชีวิตใดๆ และ ดินแดนแห่งไฟ Muspell ต่อมา Niflheim ได้ผุดน้ำขึ้นมาเป็นน้ำพุ Hvergelmir ก่อกำเนิดเป็นแม่น้ำ 11 สาย ซึ่งน้ำจากแม่น้ำ Elivagar และแม่น้ำอื่นๆ ได้รินไหลเข้าสู่ Niflheim และไหลเลยไปจนถึงที่ว่างตอนเหนือของ Ginnungagap น้ำได้แข็งตัวและก่อรูปเป็นผืนน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ ลมร้อนจาก Muspell ที่อยู่ใกล้เคียงได้ละลายน้ำแข็งบางส่วน ก่อกำเนิดเป็นดินแดนแห่งทะเลน้ำแข็ง, น้ำและหิมะ

นอกจากนี้ ลมร้อนจาก Muspell ยังได้ละลายแท่งน้ำแข็งก้อนใหญ่ จนกลายเป็นยักษ์น้ำแข็ง Ymir (บรรพบุรุษของยักษ์น้ำแข็ง)

เมื่อยักษ์ Ymir เกิดขึ้นมา ก็ไม่รู้จะทำอะไร เดินไปเดินมาระหว่าง Ginnungagap และ Niflheim จนเหนื่อย เลยหลับไป

ขณะที่ยักษ์ Ymir กำลังหลับ ร่างของมันก็ละลาย จนก่อกำเนิดเด็กชายจากขาข้างหนึ่ง และเหงื่อจากรักแร้ทั้งสองข้าง ก็หยดตัวกลายเป็นมนุษย์ชายและหญิง

ขณะที่มันกำลังละลาย น้ำจากร่างกายของมันก็หยดตัวกลายเป็น วัวเทพเจ้า Audumla และมี แม่น้ำแห่งนม 4 สาย ไหลออกจากเต้าของมัน{อาจเป็นที่มาของชื่อ Milkyway ทางช้างเผือก} ให้ ยักษ์ Ymir ได้อาศัยดื่มกิน

ในโลกยุคเริ่มแรก ไม่มีอะไรเลย แม่วัว Audhumla หิวมาก ไม่มีหญ้ากิน ก็ไปเลียก้อนน้ำแข็ง และกินเกลือจากน้ำแข็ง ใน Ginnagagap เพื่อประทังความหิว

มันเลียกินน้ำแข็งไปจนถึงตอนเย็น ก็ปรากฏเส้นผมของมนุษย์จากก้อนน้ำแข็ง ในวันที่ 2 ก็ปรากฏหัวทั้งหัว และในวันที่ 3 Buri เทพเจ้าองค์แรก ก็ปรากฏขึ้นจากก้อนน้ำแข็งก้อนนั้น

Buri ได้ให้กำเนิดบุตรชาย ชื่อ Bor ซึ่งมี ลูกชาย 3 คน คือ Odin, Ve และ Vili

Odin และพวกพี่น้องของเขา เกลียดยักษ์ Ymir และลูกหลานของยักษ์ จึงได้เข่นฆ่าทำลาย ทะเลเลือดจากบาดแผลของ Ymir ไหลออกมาพัดพายักษ์ทั้งหลาย จนยักษ์ 2 ตัวจมน้ำตาย พี่น้องของ Odin ได้สร้างโลก จากร่างกายของยักษ์ Ymir โดยใช้เลือดเนื้อของยักษ์เพื่อเติม Ginnungagap

เขาสร้างทะเลสาปและมหาสมุทร ด้วยเลือดของยักษ์ ใช้กระดูกที่ยังไม่แตกหักสร้างภูเขา ส่วนฟันและชิ้นส่วนกระดูกที่แตกหักนำมาทำก้อนหินต่างๆ สร้างต้นไม้จากเส้นผม สร้างเมฆจากมันสมอง

ท้ายที่สุด Odin และพี่น้องของเขาก็ช่วยกันยกกระโหลกของยักษ์มาสร้างท้องฟ้า และนำดวงตาของยักษ์มาสร้าง Midgard(โลกมนุษย์) หนอนแมลงในเลือดเนื้อของยักษ์ ก็ได้รับสติปัญญา และรูปร่างของมนุษย์ ได้กลายร่างเป็น คนแคระ 4 คน ชื่อ Nordi, Sudri, Austri และ Westri อาศัยอยู่ในถ้ำใต้ภูเขาบริเวณมุมทั้งสี่ของท้องฟ้า ทำหน้าที่เฝ้าทิศทั้ง 4{ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคำเรียกชื่อทิศทั้ง 4 คือ North, South, East, West} ต่อมา โอดินได้แต่งตั้งสารถีขับรถลากพระอาทิตย์นาม Sol {ชื่อของเขากลายเป็นที่มาของวันอาทิตย์ Sunday} โดยมีพระอาทิตย์เป็นหมูป่าตัวใหญ่ และสารถีขับรถลากพระจันทร์ นาม Mani {ชื่อของเธอกลายเป็นที่มาของวันจันทร์ Monday}

ต่อมา โอดินได้ปลูกพฤกษาเอกภพ Yggdrasil("อาชาแห่งสิ่งที่น่ากลัว") ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ เป็นต้นไม้ยักษ์ที่สัมพันธ์กับทุกชีวิตในเอกภพ มีรากแก้ว 3 ราก รากหนึ่งฝังลงไปในสวรรค์ Asgard, รากหนึ่งฝังลงในดินแดนยักษ์ Jotunheim และอีกรากหนึ่งฝังลงในนรก Niflheim ที่ปลายรากมีมังกรพิษ Nidhogg(World Serpent) และงูอื่นๆ คอยกัดกินรากไม้จนกว่าจะถึงวัน Raknarok ยักษ์ไฟ Surt จะเผาต้นไม้นี้จนสูญสิ้น {อาจเป็นที่มาของต้นคริสต์มาส}

บนต้นไม้ มีกวาง 4 ตัว(เป็นตัวแทนของสายลมทั้ง 4) วิ่งไปมาบนกิ่งก้าน และกินยอดอ่อนเป็นอาหาร และมีสัตว์อื่นๆ เช่นกระรอก Ratatosk ("ฟันด่วน") เจ้าแห่งการซุบซิบนินทาผู้โด่งดัง, และไก่ทอง Vidofnir ("งูพฤกษา") เกาะบนยอดไม้ คอยขันเตือนเทพเจ้า เมื่อมียักษ์มาโจมตี

ที่โคนต้นมี 3 น้ำพุศักดิ์สิทธ์ คือ

  1. น้ำพุแห่งปัญญา (Mimisbrunnr) ที่คุ้มครองดูแลรักษา โดย Mimir
  2. น้ำพุแห่งชะตากรรม (Urdarbrunnr) อยู่บนสวรรค์ Asgard ที่คุ้มครองดูแลรักษา โดย Norns
  3. น้ำพุหม้อต้มน้ำเสียงสนั่น (Hvergelmir) น้ำพุที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำทั้งหลาย เช่น แม่น้ำ Elivagar, แม่น้ำ Gjoll

Mimir เป็นเทพ Aesir ที่ฉลาดที่สุด และเป็น 1 ใน 2 เทพที่ถูกส่งไปเป็นตัวประกันกับ Vanir เหล่าเทพ Vanir ได้พบว่าพวกเขาถูกเหล่าเทพ Aesir หลอกลวง จึงตัดหัวเทพ Mimir ส่งกลับไปให้เหล่าเทพ Aesir เมื่อ โอดินได้รับหัวของเทพ มาจึงผสมสมุนไพรทำยาวิเศษ และร่ายเวทมนต์ไปที่หัวนั้น ทำให้หัวกลับมามีชีวิตและพูดได้ เพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำเกี่ยวกับความลับของเวทมนต์ต่างๆ


Norns เทพีแห่งกาลเวลา ผู้รักษากฏแห่งจักรวาลและควบคุมชะตากรรมของเทพและมนุษย์ เป็นกึ่งเทพ ประกอบด้วย 3 สาวพี่น้อง คือ Urd เทพแห่งอดีต("ชะตากรรม"), Verdandi เทพแห่งปัจจุบัน("สิ่งจำเป็น") และ Skuld เทพแห่งอนาคต("ชีวิต") ทั้งสามได้ช่วยกัน ดูแลรักษา พฤกษาเอกภพ Yggdrasil โดยสาดโคลนให้เป็นปุ๋ย และรดน้ำ จากน้ำพุแห่งชะตากรรม ซึ่งมีอำนาจวิเศษในการหยุดหรือชะลอการแก่เฒ่า เน่าเปื่อยผุพังของสิ่งต่างๆ


โลกทั้ง 9 ของชาวไวกิ้ง
  1. นรกน้ำแข็ง Niflheim("ดินแดนแห่งหมอก") คือดินแดนทางเหนือที่เต็มไปด้วยหมอก น้ำแข็ง และความมืด มี Helheim(ดินแดนแห่งความตาย) เป็นส่วนที่กว้างใหญ่และหนาวเย็นที่สุด

    Niflheim เป็นชั้นที่ต่ำสุดของจักรวาล อยู่ใต้รากที่ 3 ของYggdrasil ใกล้ๆกับน้ำพุ Hvergelmir และอยู่ใกล้ๆกับ Nastrond ฝั่งแห่งซากศพ เป็นที่อยู่อาศัยของ Nidhogg ที่คอยกินซากศพและกัดแทะรากของ Yggdrasil

    หลังจากวัน Ragnarok ที่นี่จะเป็นนรกที่กักขังฆาตรกรที่ถูกตัดสิน ผู้โกหกผิดคำสาบาน และผู้เป็นชู้ผิดลูกเมียคนอื่นๆ(อาจเป็นที่มาของวันพิพากษา doom day)


  2. แดนนรก Helheim ("บ้านของ Hel") มันถูกปกครองโดย Hel เทพีแห่งความตาย ลูกสาวของเทพ Loki และยักษ์ Angrboda มันเป็นดินแดนมืดมิด ที่หนาวเย็น และปกคลุมด้วยหมอกหนาทึก เป็นที่อยู่อาศัยของคนตาย ตั้งอยู่ในดินแดน Niflheim ในชั้นที่ต่ำที่สุดของจักรวาล ไม่มีใครสามารถหนีออกจาก hel ได้เพราะว่ามีแม่น้ำ Gjoll เป็นแม่น้ำที่ไม่มีใครสามารถข้ามได้ ไหลมาจากน้ำพุ Hvergelmir และไหลล้อมรอบHelheim ผู้คนที่แก่ตาย, ป่วยตาย หรือถูกฆ่าจากการวิวาท จะถูกพาไปที่ Helheim ขณะที่ ผู้คนที่พลีชีพอย่างกล้าหาญในสนามรบจะถูกนำไปวิหารนักรบวัลฮัลลา

    ทางเข้าสู่ Helheim จะถูกเฝ้าโดยหมาปีศาจ Garm และModgud นอกจากนี้ยังมียักษ์ Hraesvelg ("ผู้กลืนกินซากศพ") ที่แปลงกายเป็นนกอินทรี เกาะอยู่ที่ขอบโลกคอยมองลงไปที่ Helheim

    {Helheim เป็นที่มาของคำว่า นรก hell}


  3. Muspell, Muspellheim ("บ้านของความโดดเดี่ยว") คือดินแดนแห่งไฟ ทางตอนใต้ เป็นโลก 1 ใน 9 โลก ถูกปกครองโดยยักษ์ไฟ Surt ที่มีชายาชื่อ Sinmore

    Ginnungagap ("ดูเหมือนว่างเปล่า") คือช่องว่างแรกเริ่ม ที่กั้นระหว่าง Niflheim และ Muspell


  4. โลกตั้งอยู่บนเกาะเรียกว่า Midgard และมี สวรรค์ Asgard อยู่ภายใน โดยมีสะพานสายรุ้ง Bifrost เชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นหนทางเดียวที่ยักษ์สามารถแอบเข้าสู่สวรรค์ได้ แต่มีเทพ Heimdall เป็นผู้ป้องกันรักษาสะพานนี้ สะพานไบฟรอสต์ถูกสร้างจากฝีมือช่างอันวิจิตรพิสดารของเทพ Asbru และกำกับเวทมนต์ 3 สี เพื่อรักษาให้สะพานมีความแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ สะพานไบฟรอสต์ทอดยาวไปถึงสุดขอบจักรวาลและพังทลายลงที่สุดขอบจักรวาล
  5. แดนสวรรค์ Asgard เป็นบ้านเกิดของเหล่าเทพ Aesir(เชื้อสายแห่งเทพนักรบ) ตั้งอยู่บนระดับที่สูงสุดของจักรวาล ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงใหญ่ ที่สร้างโดย Blast (Hrimthurs) เพื่อแลกกับ มือของ Freya และพระอาทิตย์และดวงจันทร์ โอดินเห็นด้วยกับสัญญาแต่มีข้อแม้ว่าต้องสร้างกำแพงเสร็จภายใน 6 เดือน Hrimthurs จึงใช้ม้าวิเศษ Svadilfari ของเขา ช่วยสร้างกำแพง โอดินและเหล่าเทพทั้งหลายโดยเฉพาะเฟร์ยาตกใจมาก แต่ในวันที่กำแพงเกือบจะสร้างเสร็จ โลกิ ได้แปลงร่างเป็น ม้าสาว เพื่อหลอกล่อม้าหนุ่ม Svadilfari ให้ทิ้งงานไป จนงานไม่เสร็จตามกำหนด และสัญญาก็ถูกยกเลิกไป

    ในดินแดนตอนกลาง ของ Asgard เป็นที่ราบ Idavoll ( Ida) ที่ซึ่งเป็นที่ประชุมปรึกษาหารือของเหล่าเทพ Aesir โดยเหล่าเทพจะประชุมในวิหาร Gladsheim และเหล่าเทพีจะประชุมในวิหาร Vingolf นอกจากนี้เหล่าเทพยังประชุมทุกๆวันที่ น้ำพุแห่งชะตากรรม ที่อยู่เหนือรากของ Yggdrasil ที่อยู่บน Asgard

    วิหารแห่งนักรบ Valhalla ที่โอดินดูแลปกครองอยู่ วิหารแห่งนี้ มี 540 ประตู ใช้หอกเป็นจันทัน ใช้โล่ห์เป็นหลังคา และใช้แผ่นเกราะตรงหน้าอกเป็นม้านั่ง นอกจากนี้ยังมีหมาป่าเป็นผู้รักษาประตูทางทิศตะวันตก และนกอินทรีคอยบินโฉบเฉี่ยวไปมา และมีเทพี Valkyries ผู้ส่งสารของโอดิน และเทพแห่งสงคราม จะเป็นผู้นำวิญญาณนักรบผู้กล้าที่พลีชีพในสงครามมาที่วัลฮัลลา เฝ้าอยู่ที่นี่ เหล่าผู้กล้า Einherjar จะฝึกฝนการสู้รบอยู่ภายในวัลฮัลลาเพื่อเตรียมตัวเพื่อร่วมสงครามในวัน Ragnarok เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น นักรบ 800 คนจะเดินสวนสนามออกไปทางประตูแต่ละประตู


  6. Vanaheim ("บ้านของเทพ Vanir") เป็นดินแดนแห่งเทพ Vanir ตั้งอยู่ใน Asgard
  7. Alfheim ("บ้านของภูติ") ตั้งอยู่บนระดับที่สูงสุดของจักรวาล อยู่ระดับเดียวกับ Asgard และ Vanaheim Alfheim มีปราสาทของเทพ Freyr และเป็นบ้านเกิดของ ภูติขาว
  8. เมืองแห่งภูติ Svartalfheim("ทางเข้าถ้ำ")เป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของภูติขาวและภูติดำ อยู่ในถ้ำบนภูเขาและใต้ดินบริเวณมุมทั้งสี่ของท้องฟ้า ภูติทั้งหลายกำเนิดจากเทพเจ้าได้ประทานสติปัญญา และรูปร่างของมนุษย์ ให้แก่ หนอนแมลงในเลือดเนื้อของยักษ์ Ymir เวลาของดินแดนนี้ จะเร็วกว่าโลกมนุษย์ โดย เวลา 1 เดือน, 1 วัน และ ชั่วแวบเดียว จะเท่ากับ 100 ปี, 10 ปี และ 5 ปี
  9. ดินแดนยักษ์ที่ชั่วร้าย Jotunheim ตั้งอยู่ภายนอก Midgard ที่มียักษ์ชั่วร้าย(พลังแห่งความโกลาหล)คอยจะลักพาตัว Freya เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ไป เพื่อที่โลกจะได้วุ่นวาย พืชพันธุ์จะไม่เติบโตงอกงาม และผู้หญิงจะไม่มีลูก แต่ก็มี Thor คอยต่อสู้กับยักษ์ ไม่ให้ลักพาตัว Freya ไปได้ โดยใช้ค้อนวิเศษ ที่มีพลังสายฟ้า และเมื่อขว้างไปสามารถร่อนกลับมาหาเจ้าของได้
    อยู่มาคืนหนึ่ง ยักษ์ได้แอบมาขโมยค้อนวิเศษของ ธอร์ ไปซ่อน ธอร์ตื่นขึ้นมาพบว่าค้อนหายไป ธอร์โกรธจนมือสั่นและหนวดเคราตั้ง และชักชวน Loki ไปขอยืมปีกของ Freya เพื่อให้ Loki ใส่บินไปสืบหาค้อนที่ Jotunheim
    เมื่อ Loki บินไปถึง Jotunheim ก็ได้พบกับ ทริม ราชาแห่งยักษ์ ซึ่งมั่นใจในแผนการของตนมากจนอดคุยโม้ไม่ได้ว่า ได้เอาค้อนวิเศษไปซ่อนในใต้ดินลึกมาก และธอร์จะไม่มีวันได้คืน นอกจากจะส่ง Freya มาเป็นเจ้าสาวของมัน
    โลกิ จึงบินกลับ Asgard บอกเงื่อนไขต่อรองของยักษ์ และบอกให้ เฟรย์จา เตรียมชุดเจ้าสาวเพื่อแต่งงานกับยักษ์
    เฟรย์จาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และกล่าวว่า หากเธอทำตามเงื่อนไขต่อรอง ผู้คนจะนินทาว่า เธออยากมีสามีเต็มแก่ถึงยอมแต่งงานกับยักษ์
    ทันใดนั้น เทพ Heimdall ได้เสนอความคิดให้ ธอร์ปลอมตัวเป็นเจ้าสาวแทน แม้ธอร์จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ เพราะหากให้เฟรย์จาไป ก็จะไม่มีเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ผู้ดูแลสรรพชีวิตอีกต่อไป ชีวิตของเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายก็จะถึงจุดจบ
    ธอร์จึงยอมแปลงร่างเป็นเฟรย์จาในชุดเจ้าสาว โดยมีโลกิแปลงร่างปลอมตัวเป็นเพื่อนเจ้าสาว แล้วเดินทางไป โจตุนเฮม
    เมื่อทั้งสองเดินทางไปถึง พวกยักษ์ก็เตรียมพิธีวิวาห์ ระหว่างที่กินเลี้ยง ธอร์เผลอตัว สวาปามวัวเข้าไปทั้งตัว แซลมอน 8 ตัว และเบียร์ 3 ถัง จนทริมสงสัย แต่โลกิในคราบเพื่อนเจ้าสาวก็แก้ตัวแทนว่า เฟรย์จาตั้งตารอคอยที่จะมาโจตุนเฮมจนไม่ได้กินอะไรมา 7 วันแล้ว
    และเมื่อทริมเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ก็ตกใจกับดวงตาที่ลุกไปไฟเพราะความโกรธของธอร์ แต่โลกิแก้สถานการณ์ โดยอธิบายว่า เจ้าสาวตื่นเต้นกับพิธีแต่งงานจนนอนไม่หลับมา 7 วัน ทริมก็หลงเชื่อกับคำแก้ตัว จึงสั่งให้ลูกน้องนำค้อนวิเศษมาแล้ววางไว้บนตักเจ้าสาว พอได้ค้อนวิเศษ ธอร์ก็คำรามอย่างดีใจ แล้วสังหารทริม และลูกน้องยักษ์ทั้งหมดด้วยค้อนวิเศษ และธอร์กับโลกิจึงเดินทางกลับแอสการ์ด

Tie,Tyr,Tew {ชื่อของเขากลายเป็นที่มาของวันอังคาร Tuesday} เทพแห่งสงคราม รองจากโอดิน โดยไทร์ได้หลีกทางให้โอดีนดำรงตำแหน่งเทพแห่งสงคราม เทพแห่งความยุติธรรม มีความกล้าหาญ กล้าเสี่ยง เป็นเทพแขนเดียว เพราะยอมเสียแขนขวาให้หมาป่ายักษ์ Fenrir Tyr ถูกถือว่าเป็นบุตรชายของโอดิน (หรืออาจจะเป็นบุตรของยักษ์ Hymir) เขาเป็นเทพที่กล้าหาญที่สุดผู้ดลใจให้นักรบทั้งหลายเกิดความกล้าหาญในสนามรบ อาวุธประจำตัวของเขา คือ หอก ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม

Odin {Othinn, Wodan, Wotan-ชื่อของเขากลายเป็นที่มาของวันพุธ Wednesday} เป็นเทพสูงสุด มีชื่อเสียงมากในหมู่เทพ Aesir เป็นบุตรของ Bor และ Bestla เป็นชายแก่ตาเดียวที่แววตามีประกายเหมือนดวงอาทิตย์ ถือไม้เท้า มีปัญญาเลิศ เสียตา 1 ข้างแลกกับการดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งปัญญา (Mimisbrunnr) เพื่อจะแลกกับความรู้ทั้งมวลและการมองเห็นอนาคต ได้รับการเรียกขานว่า Alfadir, (หมายถึง พ่อของทุกคน เทพเจ้าทุกองค์) สมรสกับ Frigg มีบุตร คือ Balder, Hod และ Hermod และยังมีลูกกับเทพี Jord ให้กำเนิด เทพเจ้า Thor นอกจากนี้ยังมีเมียเป็นนางยักษ์ชื่อ Grid ซึ่งให้กำเนิด Vidar

โอดินเป็นเทพแห่งสงคราม,ชัยชนะ และความตาย และยังเป็นเทพแห่งบทกวีและความฉลาดอีกด้วย จากการที่ เขาห้อยอยู่บนพฤกษาเอกภพ Yggdrasil ด้วยหอกของเขาเป็นเวลา 9 วัน เพื่อเรียนสุดยอดบทกวี 9 บท และเวทมนต์ 18 เวทมนต์ ทำให้เขาสามารถเฉลยคำถามทุกคำถามของนักปราชญ์ทั้งหลาย วิหารของเขาในสวรรค์ชื่อ Valaskjalf ("หิ้งแห่งการเข่นฆ่า") ที่มีบัลลังค์ทอง Hlidskjalf ตั้งอยู่ โดยโอดินจะสอดส่องดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้ง 9 โลก โดยมีกา 2 ตัวชื่อ Huginn และ Muninn เกาะบนบังลังคืเคียงข้างเขา ทำหน้าที่เป็นผู้คาบข่าวต่างๆมาให้เขา นอกจากนี้เขายังไปอยู่ที่วิหารนักรบ Valhalla เพื่อคอยดูแลวิญญาณนักรบทั้งหลาย ของวิเศษที่เขามีคือ หอกวิเศษ Gungnir ที่ไม่เคยพลาดเป้า , แหวน Draupnir ซึ่งจะสร้างแหวนใหม่ 8 วง ทุกๆ คืนที่ 9 และ ม้า Sleipnir มี 8 ขา(อาจจะเป็นสูง 8 ฟุต ไม่แน่ใจ ) นอกจากนี้เขามักจะเดินทางไปกับหมาป่า Freki และ Geri ซึ่งเขาจะเอาอาหารของเขาให้พวกมันกิน ส่วนโอดินไม่กินอะไรนอกจากดื่มไวน์ โอดินถูกหมาป่า Fenrir ฆ่าในวันแร็กน่าร็อค

Thor {ชื่อของเขากลายเป็นที่มาของวันพฤหัส Thursday} เทพแห่งสงคราม กสิกรรมและฟากฟ้า ใช้ค้อนสายฟ้าเป็นอาวุธที่สามารถบันดาลให้ฝนตก และเมื่อขว้างไปสามารถร่อนกลับมาหาเจ้าของได้ เป็นบุตรของโอดิน กับ เทพีแห่งผืนแผ่นดิน Jord เทพีแห่งโลกในยุคเริ่มแรก มี Hazel เป็นสัญลักษณ์

Njord เทพแห่งสายลม ทะเล และไฟ เป็นเทพนำโชคสำหรับชาวประมงและนายพราน มีน้องสาวและชายาคือ นางยักษ์ Skadi ทั้งคู่ให้กำเนิด เทพี Freya และ Freyr แต่เดิม Njord เป็นหนึ่งในพวก Vanir แต่ได้เป็นพันธมิตรยอมทำสันติภาพกับพวก Aesir โดยเขาและลูกของเขายอมเป็นตัวประกัน เหล่าเทพ Aesir ได้แต่งตั้งให้ Njord และ Freyr เป็นนักบวชชั้นสูงผู้ดูแลการบวงสรวงสักการะทั้งหลาย ส่วนเทพี Freya ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนักบวชหญิง และคอยสอนเวทมนต์ของเทพ Aesir และความรู้พื้นฐานให้แก่เทพ Vanir

Freya {ชื่อของเธอกลายเป็นที่มาของวันศุกร์ Friday} ชายาแห่งโอดิน เทพีแห่งพืชผลและความรื่นเริง เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ มีหมูป่า เป็นสัญลักษณ์ Freya เป็นเทพีแห่งความรักและอุดมสมบูรณ์ เคยเป็นเทพ Vanir มาก่อน เป็นเทพเจ้าที่มีจิตใจดีและงดงามมากกว่าเทพใดๆ และยังเป็นเทพอุปถัมภ์พืชผลและการเกิด เป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกทางเพศที่เป็นปัจจัยแห่งความรัก เธอชอบเสียงเพลง, น้ำพุ, ดอกไม้ และชอบเหล่าภูติขาวเป็นพิเศษ เธอเป็นเทพธิดาลูกสาวของ Njord ละพี่น้องของ Freyr ต่อมาเธอแต่งงานกับเทพ Od ผู้ลึกลับ (บางทีอาจเป็นโอดินแปลงกายมา) ที่หายตัวไปหลังจากแต่งงาน เมื่อสวามีของเธอหายตัวไป, เธอก็ร้องไห้จนน้ำตาของเธอกลายเป็นทอง เธอสวมสร้อยคอวิเศษของ Brisings ที่ได้มาจากการนอนกับคนแคระทั้งสี่, เสื้อคลุมขนนก ที่สามารถแปลงกายของผู้สวมใส่ให้เป็นเหยี่ยวได้, รถม้าที่ใช้แมวใหญ่ 2 ตัวลาก เธอยังเป็นเจ้าของหมูป่าสงคราม Hildesvini มีสาวใช้ชื่อ Fulla เฟรยาอาศัยในวังแสนสวยที่ชื่อ Folkvang ("สนามของเพลงพื้นบ้าน") ที่มีเพลงรักขับกล่อมอยู่เสมอๆ และวิหารของเธอคือ Sessrumnir เธอจะเป็นผู้แบ่งนักรบผู้กล้าเพศหญิงที่ตายในสนามรบกับโอดิน ให้ไปอาศัยในวิหารของเธอ ส่วนผู้ชายจะไปวัลฮัลลา

Loki {หรืออีกชื่อคือ Satere ชื่อของเขากลายเป็นที่มาของวันเสาร์ Saturday} เทพแห่งไฟ Aesir ชอบก่อเรื่องยุ่งวุ่นวาย วันหนึ่ง โลกิ โอดิน และเทพอีกองค์หนึ่งชื่อว่า โฮเนียร์ (Honir) กำลังย่างเนื้อเพื่อกินเป็นอาหารมื้อเย็น ได้มันกอินทรีย์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโฉบลงมาจิกเอาก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ที่ดีที่สุดติดอุ้งเล็บไป โลกิได้ใช้ไม้ปลายแหลมแทงติดตัวอินทรีย์ นกอินทรีย์ใหญ่โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าทั้งที่มีไม้ปลายแหลมปักติดรวมทั้งโลกิที่เกาะติดไปกับไม้นั้นด้วย ที่จริงแล้วนกอินทรีย์ใหญ่ตัวนั้นเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่มีชื่อว่า ธีอาซี่ (Thiazi) แปลงตัวมา ยักษ์ธีอาซี่ไม่ยอมปล่อยโลกิจนกระทั่งโลกิสัญญาว่าจะนำเทพธิดา อีดูน(Idun) พร้อมด้วยตระกร้าที่มีแอบเปิ้ลทองคำมาให้ ยักษ์ธีอาซี่จึงได้ยอมปล่อยตัวโลกิให้เป็นอิสระ และผลแอบเปิ้ลทองคำ ที่เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์กินแล้วทำให้เป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล ไม่รู้จักแก่เฒ่า โลกิซึ่งเป็นคนรูปหล่อมีเสน่ห์ได้ชักกชวนเทพธิดาอีดูนให้ไปเดินเล่นด้วยกัน โลกิพาเทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานสายรุ้ง ซึ่งเป็นเขตแดนแยกระหว่างดินแดนของเหล่าเทพเจ้าและแผ่นดินถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ ทันทีที่เทพธิดาอีดูนเดินข้ามสะพานพ้นออกมาจากเขตแดนสวรรค์ที่เรียกว่าแอสการ์ด นกอินทรีย์ได้โฉบลงจับตัวพาไปยังถิ่นที่อยู่ของมันซึ่งเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อขาดเทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษ เหล่าเทพเจ้าในแอสการ์ดก็เริ่มแก่เฒ่า ผมที่เริ่มมีสีแดงของธอร์ก็ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว และเมื่อธอร์ขว้างขวานออกไปปราบยักษ์ก็ขว้างออกไปได้ไม่ไกลและไม่ค่อยถูกยักษ์เหมือนเดิม เทพโอดินก็เริ่มหูอื้อฟังอะไรไม่ชัดเจนดังเดิม เฟรย่าเทพแห่งความรักและความงามที่มีผมสีทองสุกปลั่งก็เริ่มมีแสงสีเงินแซมขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเลวร้ายขึ้นเป็นลำดับ ความหนาวเย็นและน้ำแข็งที่ปกคลุมพื้นโลกทางเหนือได้เริ่มขยายตัวออกแผ่กระจายไปทั่วโลก "สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะเจ้าและเจ้าจะต้องแก้ไขให้ดีขึ้น" โอดินกล่าวกับโลกิ ด้วยเหตุนี้ โลกิจึงได้แปลงร่างเป็นนกเหยี่ยวขนาดเล็ก บินออกจากแอสการ์ดตรงไปยังถิ่นที่อยู่ของยักษ์เพื่อจะสืบดูเหตุการณ์ว่าจะสามารถจัดการได้อย่างไร เมื่อโลกิได้เดินทางไปถึงปราสาทของยักษ์ธีอาซี่ พอดีกับที่เจ้ายักษ์ธีอาซี่ไม่อยู่ โลกิในร่างของเหยี่ยวตัวน้อยจึงได้บินผ่านหน้าต่างเข้าไปยังปราสาท พบเทพธิดาอีดูนกำลังร้องไห้อยู่ในห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง ในปราสาทแห่งนั้น โลกิในร่างของเหยี่ยวน้อยได้จัดการแปลงร่างของเทพธิดาอีดูนให้เป็นเมล็ดถั่วแล้วจึงใช้ปากคาบพาบินออกมาทางหน้าต่าง แต่ทว่าก่อนที่โลกิจะพาเทพธิดาอีดูนกลับมาถึงแอสการ์ด ยักษ์ธีอาซี่ได้กลับไปถึงปราสาทและพบว่าเทพธิดาอีดูนได้หายไปแล้ว ยักษ์ธีอาซี่ได้แปลงร่างเป็นนกอินทรีย์ยักษ์บินตามเหยี่ยวโลกิไปอย่างโลวกีด้วยความโกรธ เทพเจ้าทั้งหลายบนแอสการ์ดรู้เหตุการณ์และ มองเห็นนกทั้งสองตัวบินไล่กันมาแต่ไกลเจ้านกอินทรีย์ยักษ์บินเข้าหาเหยี่ยวน้อยอย่างรวดเร็วและก่อนที่อินทรีย์ยักษ์จะถึงตัวเหยี่ยวน้อย เหล่าเทพเจ้าได้นำกิ่งไม้และใบไม้จำนวนมากมากองขวางไว้ตามกำแพงของแอสการ์ด เมื่อเหยี่ยวโลกิบินผ่านจึงได้ช่วยกันจุดไฟขวางกั้นนกอินทรีย์ยักษ์ไว้ไม่ให้บินผ่านไป นกอินทรีย์ยักษ์บินตามมาด้วยความเร็วไม่อาจหยุดได้ทันท่วงทีจึงได้รับบาดเจ็บเพราะโดยไฟบินถลาผ่านเขตแดนกั้นตกลงในเขตแดนของแอสการ์ดและถูกเทพเจ้าฆ่าตาย เทพธิดาอีดูนและผลแอบเปิ้ลวิเศษจึงกลับคืนสู่แอสการ์ดอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาลูกสาวของธีอาซี่เมื่อรู้ว่าพ่อตายจึงได้เดินทางไปแอสการ์ดเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้ความยุติธรรมและเป็นที่พอใจต่อบุตรสาวของธีอาซี่ เทพโอดินจึงนำธีอาซี่ไปไว้ในท้องฟ้า เพื่อให้คนบนโลกได้มองเห็น ธีอาซี่จึงได้กลายเป็นดวงดาวหนึ่งในท้องฟ้าก็คือ ดาวซีริอัส (SIRIUS) ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในท้องฟ้านั่นเอง มีชายาคือ นางยักษ์ Angrboda ผู้ส่งข่าวความตาย(ความเศร้าโศก) ภรรยาของ Loki คลอดสัตว์ประหลาดออกมา 3 ตัวคือ
หมาป่ายักษ์  Fenrir, งูสวรรค์ Jormungand, และ เทพีแห่งความตาย Hel
เมื่อเทพทั้งหลายได้ตระหนักว่า ลูกของนางจะก่อปัญหาเหมือนอย่างพ่อและแม่ จึงได้วางแผนลักพาตัวลูกของนางไป

ฟริกก์ Frigg เป็นชายาของโอดิน เป็นเทพอุปถัมภ์การแต่งงาน, การครัว, ความรักและความอุดมสมบูรณ์ ฟริกก์มีชื่อเสียงว่ารู้จุดหมายในชีวิตและจุดจบของคนทุกคนแต่ไม่มีล่วงรู้มัน หล่อนเป็นแม่ของเทพ Balder วิหารของเธอใน Asgard ชื่อ Fensalir ("วิหารแห่งน้ำ") ผู้ส่งสารของฟริกก์คือ Gna ผู้ซึ่งขี่ม้า Hofvarpnir ข้ามท้องฟ้าไปมาเสมอ

เฮมดัล(Heimdall) เทพแห่งแสงสว่าง ตัวแทนของแสงอรุณ และสายรุ้ง เป็นยามให้เหล่าเทพคอยเตือนเมื่อมียักษ์รุกราน มองเห็นทั้งกลางวันกลางคืน มีหูเฉียบไว คู่ปรับของ Loki โอดินวิตกถึงการสู้รบกับยักษ์ จึงส่งเทพ เฮมดัล มายังโลกมนุษย์ พร้อมกับแตรเขาสัตว์ Giall เพื่อค้นหานักรบผู้กล้า มาช่วยในการรบ เมื่อเฮมดัลลงมาถึงได้ทดสอบมนุษยืด้วยสงคราม จนพบผู้กล้าคนแรก คือ Herre ซึ่งบุตรของเขาได้กลายเป็นปฐมกษัตริย์แห่งเดนมาร์ก
บาลเดอร์(Balder) เทพแห่งแสงสว่าง,ความสุข,ความบริสุทธิ์,ความงาม และเทพแห่งความปรองดอง บุตร Odin กับ Frigg มีรูปงามและฉลาด เทพเจ้าและผู้คนทั้งหลายต่างรักใคร่เขา และยกย่องว่าเป็นเทพที่ดีที่สุด เพราะเขาเป็นเทพที่รูปงาม, ปากหวาน, ฉลาด และมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังอำนาจน้อย ชายาของเขาชื่อ แนนนา(Nanna) ธิดาของเทพเนป(Nep)
บุตรของเขาคือ เทพฟอร์เซติ(Forseti) เทพแห่งความยุติธรรม วิหารของบาลเดอร์ชื่อ Breidablik ("สถานที่กว้างขวางที่งดงาม").

วันหนึ่งเทพบาลเดอร์ฝันถึงความตายของเขา เขาจึงวิตกกังวลว่าเขาจะตาย จน ฟริกก์(Frigg) แม่ของเขาพลอยกังวลไปด้วย จึงไปอ้อนวอนต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้รวมถึงพลังต่างๆในธรรมชาติ ให้สาบานว่าจะไม่ทำร้ายบาลเดอร์ลูกชายของเธอ และทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกลงตามคำขอของเธอ หลังจากนั้นเทพเจ้าทั้งหลายต่างสนุกสนานกับพิสูจน์ว่าบาลเดอร์อยู่ยงคงกระพันชาตรี จึงพากันขว้างมีดและยิงธนูใส่เขา แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้เลย
แต่เทพโลกิ จอมก่อกวน ซึ่งอิจฉาเทพบาลเดอร์อยู่แต่เดิม เมื่อเขาเห็นดังนั้น ก็เปลี่ยนท่าที จากที่ชอบทำตัววุ่นวายก่อกวนใครไปทั่ว มาเป็น น่ารักสงบเสี่ยม และเข้าไปออดอ้อนพูดคุยกับเทพีฟริกก์ จนเทพีฟริกก์ตายใจ เทพโลกิจึงถามหาจุดอ่อนของบาลเดอร์ ว่า เธอได้เดินทางไปขอร้องสิ่งใดบ้าง เทพีฟริกก์ก็เล่าไปเรื่อย ตามประสาแม่ช่างเม้าส์ และได้เผลอเล่าไปว่า มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่ได้ไปขอร้องให้สาบานว่าไม่ทำร้ายลูกชายเธอ คือ ต้นกาฝากเล็กๆ ทางดินแดนตะวันตก ที่ชื่อ มิสเซิลโท(mistletoe) เพราะเธอคิอว่า มันกระจอกเกินกว่าจะมาทำอันตรายลูกเธอได้
เมื่อได้ยินจุดอ่อนของเทพบาลเดอร์แล้ว โลกิก็ออกเดินทางไปดินแดนตะวันตกเพื่อค้นหามิสเซิลโทจนพบและนำกลับมา เทพโลกิได้หลอกให้ฮอด(Hod)พี่น้องฝาแผดที่ตาบอดของบาลเดอร์ ขว้างหลาวที่ทำจากกิ่งมิสเซิลโทไปที่เทพบาลเดอร์เพื่อล้อเล่นสนุกๆตามแบบเทพอื่นๆ โดยไม่มีใครคาดคิดถึงแผนการนี้ ฮอดได้ขว้างหลาวตามทิศทางที่โลกิบอกและพุ่งเสียบทะลุหัวใจ จนเทพบาลเดอร์ตาย
ขณะที่เทพทั้งหลายเศร้าโศกเสียใจกับการตายของเทพบาลเดอร์ โอดินได้บัญชาให้ เฮอมอด ลูกของเขา ไปหา เทพีแห่งความตาย เฮล ในนรก เพื่ออ้อนวอนขอให้เทพบาลเดอร์ฟื้นชีวิตจากความตาย ซึ่งเทพีก็เฮลยินยอมปล่อยให้เทพบาลเดอร์ฟื้นคืนชีพ แต่มีข้อแม้เพียงข้อเดียว คือ ทุกๆคนบนโลกร้องไห้ให้เทพบาลเดอร์พร้อมกัน แล้วโอดินก็ทำพิธีชุบชีวิตเทพบาลเดอร์โดยขอความร่วมมือให้ทุกๆคนบนโลกร้องไห้พร้อมกัน แต่เทพโลกิก็ปลอมตัวเป็น Thokk และไม่ยอมร้องไห้อยู่คนเดียว พิธีชุบชีวิตจึงล่ม หลังจากนั้น เทพทั้งหลายก็แต่งกายร่างของเทพบาลเดอร์ด้วยเสื้อผ้าสีแดงเข้ม และวางข้างๆกับ แนนนา ชายาของเขา ที่เศร้าโศกเสียใจจนตาย บนกองฟืนเผาศพใน เรือริงฮอน(Ringhorn) ของเขา และนำม้าของเทพบาลเดอร์และทรัพสมบัติทั้งหมดของทั้งคู่วางไว้บนเรือ และแล้วไฟก็ถูกจุดขึ้นเพื่อเผาศพ และนางยักษ์ Hyrrokin ก็ผลักเรือที่มีไฟลุกโพลงลงในทะเล

ต่อมา เทพโลกิและฮอด ก็ถูกพิพากษาลงโทษให้ตาย ตามความผิดที่ได้ก่อขึ้น โดย วาลิ(Vali) บุตรของโอดิน และรินด์(Rind)
Valkyrie นางปีศาจ 9 ตน ผู้รับใช้ของ Odin ผู้คัดเลือกและนำวิญญาณของนักรบผู้กล้าไปสถิต ณ ปราสาทValhalla


จุดจบที่แสนเศร้า...(Fin Blue)

เมื่อถึงเหมันต์ แสงสว่างจะหายไป
พายุจะโหมกระหน่ำจาก สี่ทิศแปดทาง
ไม่มีคิมหันต์มาเยือนดินแดนนี้
ทั้งสามฤดู จะมีแต่เพียงเหมันต์ และในสามเหมันต์นี้
โลกจะถูกครอบคลุมด้วยไฟสงครามอันน่าสยดสยอง

เหล่าพี่น้องจะเกลียดชังกันฆ่ากันมิหยุดหย่อน
เหล่าลูกหลานจะฝ่าฝืนกฏของเผ่าพันธุ์
โลกจะดิ้นรนไปด้วยความเจ็บปวดของการล้างแค้น
การกระทำอันเลวร้ายจะหนักขึ้น
ต่อจากยุคธนู จะเป็นยุคดาบ แม้โล่ห์ก็ไม่อาจจะต้านทานได้
ต่อจากยุคพายุ จะเป็นยุคหมาป่า ทั้งหมดนี้ผู้มีจิตใจดีงามไม่อาจคงอยู่...


แร็กน่าร็อค(Ragnarok-"วันพิพากษาเทพเจ้า")หรือ Gotterdammerung คือ จุดจบแห่งจักรวาล

มันเริ่มต้นจากเหมันต์แห่งเหมันต์ Fimbulvetr ฤดูหนาวอันยาวนานติดต่อกัน 3 ฤดู โดยไม่มีฤดูร้อนคั่นกลาง

ความขัดแย้งและการอาฆาตพยาบาท จะกระจายไปทุกหนทุกแห่งเหมือนโรคร้าย ศีลธรรมจะหนีหายสาปสูญ

หมาป่า Skoll จะกลืนกินดวงตะวัน และพี่น้องของมัน หมาป่า Hati จะกัดกินดวงจันทรา จนโลกมืดมิดไปทุกหนแห่ง ดวงดาวทั้งหลายหายไปจากฟากฟ้า

ไก่ Fjalar จะขันปลุกเหล่ายักษ์ทั้งหลาย ขณะที่ไก่ทอง Gullinkambi จะขันปลุกเหล่าเทพเจ้า และไก่ตัวที่สาม จะขันปลุกคนตายจากการหลับไหลชั่วนิรันดร์ พสุธาจะสะเทือนเลื่อนลั่นสั่นไหวไปทั่ว โซ่ตรวนทั้งหลายจะแตกหัก และปลดปล่อยหมาป่ายักษ์ Fenrir

งูสวรรค์ Jormungand จะพลิกทะเลและพังทลาย ขณะที่มันกำลังเลื้อยไปมาบนแผ่นดิน มันจะปลดปล่อยพิษร้ายสู่ผืนแผ่นดินและฟากฟ้า คลื่นยักษ์ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของงู จะขับเคลื่อนเรือ Naglfar ที่มียักษ์ Hymir เป็นแม่ทัพ มุ่งไปสู่สนามรบ

เรือลำที่ 2 จากดินแดนแห่งความตาย ที่นำโดยโลกิ จะนำเหล่าผีร้ายจากนรกมาร่วมขบวน

นอกจากนี้ ยักษ์ Surt จะแบกดาบประกายตะวันที่มีอำนาจแผดเผาทำลายผืนดิน นำเหล่ายักษ์แห่งไฟทั้งหลายจากดินแดน Muspell ทางตอนใต้มาร่วมสงครามต่อสู้กับเทพเจ้า

ขณะนั้นเองเฮมดัลจะเป่าแตรเขาสัตว์ส่งเสียงเรียกเหล่าเทพเจ้าและผู้กล้าทั้งหลายมาร่วมกันต่อสู้กับยักษ์และปีศาจ จากทุกมุมโลก เหล่าเทพเจ้า, ยักษ์, คนแคระ, ปีศาจ และภูติ จะพากันมุ่งหน้าสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของ Vigrid ("ผู้สั่นสะเทือนการรบ") ที่ซึ่งการรบทั้งสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น

ในสงครามครั้งสุดท้ายโอดิน ได้ต่อสู้ Fenrir และธอร์โจมตีงูสวรรค์ Jormungand จน งูสวรรค์ ถูกธอร์ฆ่า แต่ธอร์ก็โดนพิษของงูยักษ์กัดจนตาย

ขณะที่ ยักษ์ Surt โจมตี Freyr ผู้ไร้ดาบจนตายภายในเวลาไม่นาน

เทพแขนเดียว Tyr ก็ต่อสู้กับหมาปีศาจ Garm อย่างดุเดือด จนทั้งคู่บาดเจ็บและตายในที่สุด ส่วน โลกิ และ เฮมดัล คู่ปรับเก่า ได้ต่อสู้กันเป็นครั้งสุดท้าย และตายพร้อมกัน

การต่อสู้ระหว่างโอดินและหมาป่า Fenrir กินเวลายาวนานมาก จนในที่สุด โอดินเหน็ดเหนื่อย หมาป่า Fenrir ได้โอกาสจึงโดดกัดและกลืนกินโอดินจนหมด เมื่อเห็นหมาป่ากัดกินพ่อของตน Vidar(ลูกของโอดิน) จึงโกรธแค้น กระโดดพุ่งเข้าไปสู้กับหมาป่าและฆ่ามันด้วยมือเปล่าโดยฉีกปากออกจากกัน

ขณะนั้นเอง ยักษ์ไฟ Surt ก็ขว้างไฟไปในทุกทิศทุกทาง เพื่อเผาพฤกษาเอกภพอิกก์ดราซิล จนโลกทั้งเก้าถูกเผาผลาญ มิตรและศัตรูต่างสูญสิ้น ผืนแผ่นดินก็จมลงสู่ทะเล

หลังจากสงครามสิ้นสุด โลกใหม่ที่งดงามและอุดมสมบูรณ์ได้ผุดขึ้นมาจากทะเล เทพเจ้าบางองค์บางองค์ที่รอดชีวิตจากสงคราม ได้แก่ เทพVidar, Vali บุตรของโอดิน และ Magni(ความแข็งแกร่ง), Modi(ความกล้า) บุตรของธอร์ ได้ปลดปล่อยเทพบาลเดอร์, เทพฮอด จากนรกภูมิ เพื่อทำหน้าที่ให้แสงสว่างแก่โลกยามกลางวันและกลางคืน
บาปอันเลวทรามและความทุกข์ยากทั้งหลายได้อันตรธานไปสิ้น เหล่าเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งหลาย ลูกหลานแห่ง Lif และ Lifthrasir ก็ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป

วันแร็กน่าร็อค ยังอาจหมายถึง จุดจบของอำนาจ หรือการทำลายล้างอำนาจเก่า(เทพเจ้า)


ซาก้า(Saga-เทพธิดาแห่งกาพย์กลอน) เป็นลูกสาวของโอดิน เธอจะไปนั่งดื่มสุราในถ้วยทองกับโอดินทุกๆวันในวิหาร Sokkuabekk ของเธอ เธอฉลาดและรอบรู้เธอจึงได้เป็นเทพีแห่งบทกวี ศิลปะ และประวัติศาสตร์ นอกจากนี้เธอยังเป็นเทพีที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ Frigg


ซิกมันด์(Sigmund) บุตรชายของ Volsung ผู้ซึ่งครอบครองดาบวิเศษ Gram โดยเขาเป็นคนเดียวที่สามารถดึงดาบ Gram ที่มหาเทพ โอดินได้นำมา ปักไว้บนขอนไม้ ก่อนที่ ซิกมันด์ตาย เขาได้ยกดาบวิเศษให้แก่ Sigurd ลูกชายที่ยังไม่เกิดของเขา


เบอร์เซิร์ก(Berserks)  คือนักรบที่คลุมกายด้วยหนังหมี เพื่อให้ผู้คนกลัวว่าเป็นสัตว์ป่า เขากระตุ้นตนเองให้เข้าสู่สนามรบอย่างบ้าคลั่ง กัดโล่ห์ของเขาและหอนอย่างโหยหวลเหมือนสัตว์ป่า เขายังเป็นนักรบที่สู้รบอย่างดุร้ายและไม่ยี่หระต่อความเจ็บปวดเมื่อยังมีความบ้าเหลืออยู่ เบอร์เซิร์กทำให้ศัตรูของเขาเกรงขามและสพึงกลัวด้วยวิธีการรบนอกแบบโดยใช้การโจมตีด้วยไหล่และต้นไม้ทั้งต้น ความเชื่อเกี่ยวกับเบอร์เซิร์กคล้ายๆกับเรื่องมนุษย์หมาป่า คือ ผู้คนทางเหนือเชื่อว่า เบอร์เซิร์กใช้เวทมนต์ที่สามารถแปลงกายตนเองเป็นหมีที่ดุร้ายได้ 1