กีตาร์เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องด้วยความสมบูรณ์ในการเล่นที่สามารถจะบันดาล เสียงที่ครบถ้วนในความรู้สึกของเพลง ทั้งยังสามารถใช้เล่นประกอบกับเครื่องดนตรีทุกชนิดทุกแนว และยังสะดวกในการพกพาไปได้ทุก ๆ ที่
กีตาร์นั้นมีมากมายหลายประเภท ในที่นี้จะกล่าวถึงกีตาร์โปร่ง (Acoustic Guitar) ซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย เพราะเสียงที่เป็นธรรมชาติ และยังเหมาะกับผู้ที่เริ่มฝึกหัดดนตรี เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า ไปพบกับความถ่องแท้และสัจธรรมที่งดงามบนเส้นลวด 6 สายในอนาคต
1. กีตาร์คลาสสิค (Classicial Guitar)
กีตาร์คลาสสิค ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของกีตาร์ในปัจจุบัน มีลักษณะดังนี้
- ส่วนหัว (Head) เป็นไม้มีรูเจาะเป็นช่องยาว 2 ช่อง ในช่องยาวนี้จะมีแกนสำหรับใส่สายกีตาร์ ส่วนใหญ่เป็นพลาสติคอย่างดี หรือวัสดุจำพวกกระดูกและงาช้าง มีปลายยื่นออกมาด้านหลังเป็นลูกบิด 6 อัน (หรือมากกว่า) เมื่อวางกีตาร์ในแนวนอน ลูกบิดจะตั้งฉากกับพื้น
- ส่วนคอ (Neck) กีตาร์คลาสสิคนั้นจะมีคอที่ใหญ่กว่ากีตาร์อื่น ๆ ไม้ส่วนคอจะตรงและมีขนาดเท่ากันตั้งแต่ส่วนบนสุดถึงล่างสุดของคอจำนวนเฟร็ต ถ้านับจากจุดต่อลำตัวจะมี 12 เฟร็ต บริเวณฟิงเกอร์บอร์ด (Fingerboard) มักจะไม่มีจุดบอกตำแหน่งเฟร็ต แต่อาจจะมีจุดบริเวณสันคอกีตาร์แทน
- ลำตัว (Body) เป็นส่วนที่ยึดติดกับคอกีตาร์ ตั้งแต่เฟร็ตที่ 12 เข้ามาในกล่องเสียง (Sound Box) มีลักษณะเรียบด้านหน้า มีรูกลมเป็นโพรงเสียงอยู่ต่อจากด้านล่างสุดของคอ ส่วนล่างของโพรงเสียงจะมีบริดจ์ (Bridge) ที่ยึดสายกีตาร์ไว้กับลำตัวด้านหน้า
* ข้อสังเกต กีตาร์คลาสสิคโดยมากจะใช้สายไนลอน สายเบส (4, 5, 6) จะเป็นสายที่พันด้วยเส้นโลหะเล็ก ๆ เช่น ทองแดง บรอนส์ ฯลฯ
กีตาร์คลาสสิคนั้นให้เสียงในโทนพริ้วไหว สำหรับผู้ที่มีความชำนาญในการเล่นแล้ว กีตาร์คลาสสิคจะสามารถบันดาลเสียงทุกเสียงที่ประกอบกันให้เป็นเพลงที่ไพเราะจับใจได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนอง (Melody) คอร์ด (Chord) และเบสส์ (Bass) ในการเล่นกีตาร์คลาสสิคนั้น ผู้เล่นต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และเทคนิคมากมาย ซึ่งในการฝึกหัดนั้นต้องใช้ทั้งเวลา และความพยายามอย่างสูง มันจึงกลายเป็นดาบ 2 คม ไปเลยในบางครั้ง คือ แทนที่จะช่วยให้ท่านได้พบกับความลึกซึ้ง และแตกฉานทางดนตรี มันก็กลับจะทำให้ท่านท้อแท้หรือมีอคติกับดนตรี (คลาสสิค) ไปเลยก็ได้ ซึ่งในจุด ๆ นี้ ก็จะกลายเป็นจุดวัดใจของท่านแล้วว่า.......
ถ้าพูดด้วยใจเป็นกลางแล้ว ทั้งเครื่องดนตรีและแนวดนตรี (เกือบ) ทุกประเภทนั้น มีความยอดเยี่ยมอยู่ในตัวมันเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับนักกีตาร์แล้ว ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในกีตาร์คลาสสิคนั้น จะได้เปรียบนักกีตาร์แนวอื่น ๆ มากพอสมควร ในการที่จะพัฒนาตนเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
2. กีตาร์โฟล์ค หรือกีตาร์อคูสติก (Flok Guitar or Acoustic Guitar)
ลักษณะของกีตาร์โฟล์ค
- ส่วนหัว มีลูกบิดที่แกนหมุน โดยมากทำจากโลหะ เมื่อวางกีตาร์แนวนอน ลูกบิดจะขนานไปกับพื้น (มีไม่มากนักที่ตั้งฉากกับพื้น)
- ส่วนคอ ค่อนข้างเล็ก (แคบ) ด้านหลังคอจะโค้งมน มีจุดสัญลักษณ์บอกตำแหน่งเฟร็ตที่ 3, 5, 7, 12 บนฟิงเกอร์บอร์ด นับเฟร็ตจากส่วนบนจนถึงบริเวณต่อลำตัวมี 14 เฟร็ต
- ลำตัว มีลักษณะค่อนข้างแบน มีบริดจ์ที่อาจสามารถปรับระดับสูงต่ำได้ติดอยู่ด้านล่างของกล่องเสียง สายที่ใช้จะเป็นสายเหล็กวางชิดกันกว่ากีตาร์คลาสสิค รูปร่างขนาดแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม และรสนิยมของผู้เล่น ส่วนมากนิยมใช้ขนาดใหญ่ (Dread Nought) เพราะให้เสียงที่กังวาลกว่า ปัจจุบันได้มีบริษัทผลิตกีตาร์ ผลิตกีตาร์ลักษณะคล้ายกีตาร์คลาสสิค แต่ใช้สายเหล็ก (หรือใช้สายไนลอนก็ได้) แต่จะมีแกนหมุนสายทำจากเหล็ก เราเรียกกีตาร์ชนิดนี้ว่า Round Hole Folk Guitar
เราสามารถพบกับเสียงของกีตาร์โฟล์คได้ในเพลงทุกแนว ไม่ว่าจะเป็น คันทรี บลูส์ พ๊อพร็อค หรือแม้แต่เฮฟวี่ ในปัจจุบันก็ยังใช้กีตาร์โฟล์คเข้าร่วมด้วยในบางครั้ง และด้วยความหลากหลายนี่เอง ประกอบกับความไม่ยากลำบากเท่าใดนักในการฝึกฝน (ถ้ามีความพยายาม) กีตาร์โฟล์คจึงเป็นเครื่องดนตรียอดนิยมของผู้ที่จะเริ่มต้นฝึกหัด และแสวงหาความรู้ความสามารถทางด้านดนตรีไว้ประดับตัว
ถึงตรงนี้แล้ว คุณก็คงจะเห็นข้อแตกต่างของกีตาร์โฟล์คกับคลาสสิค และสามารถที่จะหาซื้อกีตาร์ได้ถูกต้องในแนวที่ตนเองต้องการ แต่ต้องขอให้คุณได้เข้าใจว่า สิ่งที่กล่าวมานี้มันไม่เสมอไป เพราะในปัจจุบันมีนักดนตรีโฟล์คบางคน ได้นำกีตาร์คลาสสิคมาใช้ในการบรรเลงเพลงโฟล์ค (ทั้งนี้ไม่รวมถึงนักกีตาร์คลาสสิค) หรือไม่ก็ใช้กีตาร์ไฟฟ้ามาร่วมในการบรรเลง ฉะนั้นจึงไม่เป็นกฎตายตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณาญาณของคุณเองแล้วหล่ะค่ะ