หลัก"กาลามสูตร" หรือ เกสปุตติยสูตร เครื่องถ่ายถอนความงมงาย | "พุทธทาส"ถ่ายทอดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า |
ข้อแรกที่ว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุสักแต่ว่าคนเขาบอกต่อ ๆ กันมา นี่ก็หมายถึงสิ่งที่เขาสอน ๆ กันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงคนชั้นนี้ เราจะถือว่าถูกต้องตาไปด้วยนั้นยังไม่ได้ เราจะต้องใช้ปัญญาของเราพิจารณาด้วย
ข้อที่ 2 ที่ว่า อย่าเชื่อเพราะเขาทำตาม ๆ กันมา
ก็ด้วยการทำด้วยกายให้เป็นตัวอย่าง เช่น พ่อ แม่ตื่นนอนขึ้นก็เสกคาถาตาม การไหว้ทิศ
ไหว้พระอาทิตย์ หรือ ไหว้ของศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ
ก็เช่นเดียวกันพอลูกหลานเห็นบิดามารดาทำ ก็ทำตามไปด้วย พ่อแม่คนใดออกไป
นอกพระพุทธศาสนา เด็ก ๆ ก็ออกไปตามโดยไม่รู้สึกตัว
นี้ก็เป็นสอนเด็กของเราให้หันเหไปนอกพระพุทธศาสนา เด็ก ๆ
ก็ออกไปตามโดยไม่รู้สึกตัว ไปรับเอาลัทธิที่งมงายเป็นภัย
เป็นอันตรายแก่เด็กเองมากยิ่งขึ้นทุกที ๆ และพวกเด็กไม่มีเหตุผลของตนเอง
ว่าทำไปแล้วมันจะเกิดทุกข์เกิดโทษอย่างไร
เมื่อมีการสอนด้วยว่าจาหรือการกระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เด็กก็ตะครุบเอมทันที
เป็นอันว่าการใช้สติปัญญาพิจารณาโดยเหตุผล ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลย
ฉะนั้นการบอกต่อ ๆ กันมาหรือการทำตามกันมา
หรือเชื่อข่าวเล่าลือมากกว่าที่จะยึดเอาตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในตำราเสียอีก
คิดดูให้ดี ๆ เพียงแต่ว่ามีอยู่ในตำรา พระพุทธเจ้าท่านก็ยังห้ามไม่ให้ยึดถือทันที
แต่แล้วพวกเราก็ยังยึดถือสิ่งที่อยู่นอกตำราทันที
วิปัสสนากรรมฐานเรื่องอานาปานสติ มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในตัวพระไตรปิฎกเอง
โดยเฉพาะที่เป็นหัวข้อแท้ ๆ มีอยู่ในมัชฌิมนิกาย
การทำอานาปานสติอย่างไรตั้งแต่ต้นถึงที่สุด
ก็มีอยู่ยึดยาวสมบูรณ์ที่สุดถูกต้องที่สุด ตามหลักของพระพุทธศาสนา
แต่แล้วก็ไม่มีใครสนใจเลย สู้เอาตามที่เขาบอกต่อ ๆ กันมาด้วยปากไม่ได้
สู้เอาที่เขาทำตาม ๆ กันมาอย่างปรัมปราไม่ได้
หรือสู้แบบที่เขาเล่าลือแตกตื่นสรรเสริญกันฟุ้งไปหมดว่าที่นั่นวิเศษว่าที่นี่วิเศษไม่ได้อันนี้เองจึงเป็นเหตุให้เกิดวิปัสสนาอย่างงมงายกันขึ้น
เพราะโทษที่ไม่ถือตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงกำชับไว้
อาตมาไม่ได้ตั้งใจกระทบกระเทียบการะแนะกระแหนผู้ใดหรือหมู่ใด คณะใด
ประสงค์จะยกตัวอย่างเรื่องจริง ๆ มาปรับทุกข์กันมากกว่า
ว่าการตื่นข่าวลือหรือว่าความเชื่ออย่างงมงายตามที่บอกต่อ ๆ กันมาตาม
ข้อ 3 นี้นั้น
มันทำให้เกิดความงมงายขึ้นในวงการชั้นสูงของพระพุทธศาสนา
กล่าวคือวงการของวิปัสสนาอันเป็นขั้นที่จะบรรลุมรรคผล
นิพพาน
แต่แล้วก็ถูกความงมงายครอบงำทับไปหมดสูญสิ้นไปหมดเกิดวิปัสสนากรรมฐานชนิดที่นอกตำรับตำราขึ้นมาแทน
นี่แหละเป็นที่น่าลสดสังเวชใจและน่าห่งสักเพียงใดขอให้พวกเราลองใช้ปัญญาคิดกันดู
ข้อที่ 4 พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
พวกเธออย่าเชื่อถือโดยเหตุสักว่าสิ่งนี้มีอ้างอยู่ในตำรับตำรา
แต่การที่อาตมาชักชวนท่านทั้งหลาย
ให้ถืออานาปานสติกรรมฐานโดยอ้างว่ามีอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นที่แท้แล้วอาตมาไม่ต้องการให้ท่านทั้งหลายยึดถือเอาข้อปฏิบัติเหล่านี้
โดยเหตุแต่เพียงว่ามันมีอยู่ในตำรา แต่ได้ชี้ให้เห็นว่า
มันมีอย่างสมบูรณ์ในพระไตรปิฎก ซึ่งเราจะต้องพิจารณาศึกษาให้ละเอียด
ให้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนด้วยสติปัญญาของตัวเอง
ว่าถ้าเราทำไปอย่างนี้แล้ในระดับนี้จิตจะสงบเป็นสมาธิได้จริง
ในระดับนี้จิตจะยกเอาความสุขที่เกิดจากสมาธินั้น
มาเป็นอารมณ์ของการพิจารณาให้เห็นว่า ความสุขอย่างนี้มันไม่เที่ยง
ไม่น่ายึดถือ และในขั้นสุดท้ายก็จะต้องปล่อยทั้งหมด
นับว่าเป็นการพิจารณาโดยสติปัญญาของตนเอง
แล้วก็เห็นสมจริงตามข้อความที่ท่านกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก
มันเกิดผลขึ้นมาจริงอย่างนั้นเป็นลำดับ ๆ ไป
การแน่ใจอย่างนี้ไม่ใช่ความงมงายเพราะได้พิจารณา โดยเหตุผล
แล้วยังได้ปฏิบัติแต่ต้นจนตลอด และรู้จักสิ่งเหล่านั้นด้วยการที่ได้ผ่านไปจริง ๆ
กลายเป็นความรู้แจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาหยั่งรู้หยั่งเห็น
ส่วนความงมงายนั้นมันไม่ประกอบด้วยเหตุผลเสียเลย
มันจึงเป็นสิ่งที่ท่านสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง
ข้อที่ 5 - 6 - 7 เกี่ยวกับ การเดาเอาเอง คาดคะเนเอาเอง และตรึกตรองตามเหตุผลส่วนตัว หรือสิ่งแวดล้อมเฉพาะตัว สามข้อนี้เป็นความงมงายอย่างหนักจริงอยู่ที่คนพวกนี้เขาไม่เชื่อตำรา ไม่ตื่นข่าวเล่าลือที่บอกกันต่อ ๆ มาหรือทำสืบ ๆ กันมา แต่กลับเดาเอาเองใช้เหตุผลในเรื่องของตัวเอง อย่าได้ถือว่าการใช้สติปัญญาของตนเองแล้วจะไม่เป็นการงมงายเสมอไป มันอาจเป็นความงมงายที่ซ้อนความงมงาย คือตัวนึกว่าตัวมีปัญญาของตัวเองจนไม่เชื่อคำบอกของคนอื่น แต่ที่ถูกนั้นเราจะต้องอาศัยเหตุผลอย่างอื่น ๆ เข้ามาประกอบการนึกคิดของเราด้วย แม้สิ่งที่คนบอกเล่ากันก็เอามาประกอบเป็นเหตุผล ถ้าทำอย่างนี้การคาดคะเนจะผิดน้อยลงอย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าท่านว่ายังไม่พอ ท่านต้องลองให้ปฏิบัติดูจนเกิดผลปรากฏขึ้นมาจริง ๆ แล้วข้อที่ 5-6-7 นี้จึงจะปลอดภัย
ข้อที่ 8 ที่ว่า อย่าเชื่อเพราะมันตรงกับลัทธิของตน นั้น
หมายความว่าตามธรรมดาคนเราทุกคนย่อมมีทิฏฐิหรือความเชื่อความคิดความเห็น
ความเข้าใจอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นประจำตัวอยู่เสมอ นี่เรียกว่าลัทธิของตัว
เป็นลัทธิความเชื่อที่สร้างขึ้นเองยึดมั่นถือมั่นเองอย่างเหนียวแน่น
และยกขึ้นเป็นสัจธรรมของตัวเอง ตามธรรมชาติของคนทั้งหลายเขาจะไม่เชื่อสิ่งต่าง ๆ
นอกเหนือไปกว่าที่เขากำลังเข้าใจอยู่ในขณะนั้น ถ้าเขามีความรู้เท่าใด
เคยเชื่ออย่างไรและสันดานอย่างไร
เขาจะยึดเอาเพียงแค่นั้นว่าเป็นความจริงถูกต้องของเขา
จนกว่าเขาจะได้รับการศึกษาเพิ่มเติมขึ้นอีก หรือปฏิบัติเพิ่มเติมก้าวหน้าต่อไปอีก
ความจริงหรือความเชื่องของเขาจึงก้าวหน้าต่อไปได้
สัจธรรมของบางคนก็อยู่ในระดับต่ำมาก เช่น ความเชื่อของเด็ก ๆ หรือของคนเกเรอันธพาล
แต่เขาถือว่าของเขาถูก
ถึงหากบางทีเขาไม่กล้าค้านความเห็นของบุคคลอื่นเพราะจำนนต่อเหตุผล
เขาอาจจะยอมรับเอออวยไปด้วย ซึ่งก็เป็นแต่ปากเท่านั้น
ส่วนใจจริงของเขายังถือตามความเชื่อเดิมของตน
ลัทธิเดิมจึงเป็นสิ่งครอบงำคนนั้นอย่างเหนียวแน่นควบคุมหรือป้องกันคน ๆ
นั้นไม่ให้หลุดไปจากความงมงายได้ ขอเราทุกคนอย่าได้ตกอยู่ในลักษณะอย่างนี้ คงค่อย ๆ
ถอนตัวออกมาจากความเชื่อเดิม ๆ มาสู่สัจธรรมที่เป็นของจริงของแท้ของพระพุทธเจ้า
มิฉะนั้นแล้วคนนั้นจะต้องตกอยู่ในความเชื่อของตัวตลอดไป และจะถูกล่อลวงเมื่อไรก็ได้
ถ้าคนหลอกบวงเหล่านั้นเขามีอะไรมาให้ ชนิดจะเข้ากันได้กับความเชื่อเดิม ๆ ของตน
ความงมงายก็จะทำให้ผู้นั้นรับเอาทันทีอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ถูกล่อลวงไปโดยไม่รู้ตัวว่าถูกล่อลวงเพราะมันตรงกับความเชื่อของตนอยู่ดั้งเดิม
และผู้พูดก็อยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อได้เสียด้วย เช่น พวกนักบวช เป็นต้น
ข้อที่ 9 ที่ว่า อย่างเชื่อเพราะผู้พูดอยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อได้ นี้ ขอยกตัวอย่างเกี่ยวกับอาตมาเอง คือ มีคนชอบอ้างว่า "ถ้าไม่เชื่อก็ให้ถามท่านดูซิ" นี้แสดงว่าเขาจะให้คนอื่นเชื่ออาตมาเพราะอาตมาอยู่ในฐานะที่พอจะเชื่อได้ อย่างนี้แล้วถ้าอาตมาร่วมมือก็รู้สึกว่าเป็นการร่วมกันกบฏต่อพระพุทธศาสนา และล้มล้างระเบียบของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นยอมไม่ได้ เราต้องตักเตือนเขาให้พิจารณาดูด้วยสติปัญญาของตัวเอง ให้เข้าใจคำพูดหรือตัวหนังสือทุกประโยค แล้วให้เขาไปสอดส่องจนเกิดความเห็นแจ้งขึ้นมาเอง ฉะนั้น เราควรเลิกอ้างบุคคล เชื่อถือคำพูดของบุคคล เชื่อความคิดของใคร ๆ แต่เราจะรับฟังไว้ในฐานะว่าท่านพอจะเชื่อได้บ้าง แต่ท่านก็อาจจะเข้าใจเรื่องผิด ฟังผิด สำคัญผิด วินิจฉัยผิดไปได้เหมือนกัน เราจะรับคำของท่านไปพินิจพิจารณาดูเท่านั้น เราจะไม่ถือเอาคำพูดของท่านเป็นคำพิพากษาเด็ดขาด
ข้อ 10 อันเป็นข้อสุดท้ายว่า อย่าเชื่อเพราะเหตุที่เป็นครูบาอาจารย์ของเรา ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสอย่างนี้ คล้ายกับว่าจะไม่ให้เราเชื่อบิดามารดาครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาเฉพาะหน้าที่ทำความยุ่งยากมากอยู่แล้ว คือเด็ก ๆ ไม่ค่อยเชื่อบิดามารดาครูบาอาจารย์ แต่แล้วทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องวินิจฉัยกันให้มากสักหน่อย มิฉะนั้นแล้วจะเข้าใจความหมายข้อนี้ผิด คือเราต้องแบ่งคนตามขั้นตอนของจิตใจ เมื่อใครไม่อยู่ในวิสัยที่จะคิดนึกได้ด้วยตนเองผู้นั้นก็ต้องอยู่ในกรอบของระเบียบประเพณิไปก่อนนี่หมายความว่า เมื่อใครยังไม่มีเหตุผล ที่จะลบล้างขนบธรรมเนียมประเพณี ก็จำต้องเชื่อไปก่อนเหมือนเด็กจะต้องเชื่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ไว้ก่อน เมื่อโตขึ้นค่อยศึกษาค่อยวินิจฉัยวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านั้นในภายหลัง จนกระทั่งรู้ว่า ตัวเองผิดอย่างไร ถูกอย่างไรได้ด้วยตนเอง ยิ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์วินิจฉัยมากขึ้นเท่าใด คำแนะนำสั่งสอนก็พิสูจน์ตัวเองว่า ถูกหรือผิดมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นการที่เด็ก ๆ จะต้องเชื่อฟังบิดามารดาครูบาอาจารย์ในที่นี้จึงไม่ขัดกับ "กาลามสูตร" แต่ส่วนมากก็คือว่าเด็กไม่ยอมเชื่อ เพราะมันไม่ตรงกับความต้องการของตัวเองหรือด้วยความสำคัญผิด ฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจในข้อ 10 นี้ให้ดี ๆ มิฉะนั้นจะไปลบหลู่บิดามารดาครูบาอาจารย์เข้าก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนอะไรผิด แต่เราก็ไม่ได้เชื่อตามท่านทันที
ในบรรดาความงมงายทั้ง 10 ประการนี้ ขอให้พวกเราสำรวจตัวเองดูว่า มันมีอยู่ในตัวเราข้อใดบ้างและมากน้อยเพียงใด พระพุทธเจ้าท่านถือว่าความงมงายนี้เป็นเหตุอันหนึ่งซึ่งจะนำคนไปสู่ความพินาศตามความต้องการของพญามาร คือกิเลส ตัณหา ที่ทำให้เกิดความทุกข์ชนิดที่เรียกว่า ตกนรกทั้งเป็น การตกบ่อ บ่อที่มีหอกแหลนหลาวนั้นเป็นการเจ็บเพียงแต่กาย ไม่ได้ทำให้คนเสียมนุษยธรรมหรืออะไรดี ๆ ของมนุษย์เลย แต่ถ้าเราตกบ่อความงมงายเหล่านี้ มันจะสูญเสียความเป็นมนุษย์
เสียคุณธรรมที่ดีหมด จึงถือได้ว่าน่ากลัว น่าหวาดเสียว
ยิ่งกว่าความตายทางกาย ความตายทางจิตใจนี้คือตายหรือตกจมอยู่ในความมืดของ
ความโว่หลง แต่พวกเรากลับไม่นึกกลัวกันเลย
ไปกลัวความเจ็บความไข้และความตายทางกายกลัวอด กลัวไม่ได้อะไรมาบำรุงร่างกาย
จึงได้กล้าทำสิ่งต่าง ๆ ที่ผิดศีลธรรม
เมื่อผิดศีลธรรมแล้วก็ไม่ต้องสงสัย มันย่อมขัดขวางความบรรลุมรรคผลนิพพาน
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายคงได้พิจารณากันดูให้รู้จักสมบัติ
ชิ้นที่ 3
ของปุถุชนที่อุตส่าห์หอบหิ้วกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์โน้น
คือสมัยที่ยังเป็นคนครึ่งสัตว์มาจนกระทั่งทุกวันนี้โดยไม่เสื่อมสิ้นไปได้เพราะอำนาจของอะไร
เพราะอำนาจของสีลัพพตปรามาส นั่นเอง
ถ้าความเชื่อความงมงายนี้ยังไม่ถูกละออกจากตัวใครแล้ว คนนั้นก็ไม่มีหวังจะเข้าไปถึงเขตของพระอริยเจ้า ทั้ง
ๆที่ตนจะทำวิปัสสนาชนิด
ไหนมากเท่าใด
และประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร การปฏิบัติธรรมของผู้นั้นจะถูกลูบคลำให้เศร้าหมองไปด้วยความงมงายโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นควรถือว่า ความงมงาย
หรือที่เรียกว่า ความไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลนั้นเป็นปัญหาที่จะต้องสนในอย่างยิ่งไม่ควรปล่อยปละละเลย
ต่อไปอีก.
นำมาจากจาก http://geocities.datacellar.net/RainForest/5578/suanmok3.htm