ฐานสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 4 (5) ฉบับที่ 218 (283) วันที่ 27 มิ.ย. - 3 ก.ค. 2541
พักการชำระหนี้ทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อนจะสายเกินไป
คำถามที่ผมมักจะได้รับในระยะนี้อยู่เสมอก็คือ "คุณสบายดีอยู่หรือ" ผมมักจะตอบว่า "สบายดี แต่บ้านเมืองไม่สบาย" บ้านเมืองจะสบายไปได้อย่างไร เมื่อยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาล
คำตอบสำหรับปัญหาหนี้สิน
ว่า จะเอากันอย่างไร เราเป็นหนี้โดยภาคเอกชนกู้ยืมมาประมาณ 64,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เราเป็นหนี้โดยภาค รัฐบาลกู้ยืมมาประมาณ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมสองยอดแล้วเราเป็นหนี้ต่างประเทศประมาณ 94,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
คำตอบสำหรับปัญหาสภาพคล่องจะเอากันอย่างไร เรามีปัญหาสภาพคล่องหรือการที่เงินหมุนเวียนในธุรกิจ อุตสาหกรรม ปรากฏว่าขาดมืออย่างมากจนธุรกิจต่างๆ ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจว่า จะยืนยาวต่อไปได้หรือไม่
คำตอบสำหรับปัญหาอัตราดอก เบี้ยสูง เรามีปัญหาว่าขณะนี้อัตราดอก เบี้ยสูงมาก สูงจนไม่สามารถทำมาหา กินให้มีกำไรคุ้มดอกเบี้ยได้ มีแต่เข้าเนื้อทุกวัน เพราะอัตราดอกเบี้ยขึ้นสูง ถึง 20-30% มีธุรกิจอะไรทำกำไรได้ คุ้มดอกเบี้ยในระยะนี้ นอกจากธุรกิจนอกกฎหมาย
7 เดือนผ่านไปกับรัฐบาลนายกฯชวนกับปีเศษผ่านไปกับรัฐบาลนายกฯชวลิตไม่มีคำตอบให้
ปัจจุบันนี้ รัฐบาลออกข่าวทุกวันต้องทำตัวเป็นเด็กดีในสายตาไอ เอ็มเอฟ เพื่อจะได้ให้เรากู้เงินมาได้ จำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง มิใช่ให้ฟรีแต่คิดดอกเบี้ยจากเราในอัตราเท่าไรรัฐบาลไม่บอก พร้อมกับเงื่อนไขให้เราทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด
7 เดือนผ่านไปรัฐบาลยังคงแนวทางแก้ปัญหาตามแนวทางรัฐบาลพลเอกชวลิตคือ คงอัตราดอกเบี้ยสูง เพื่อจะได้เงินกู้จากต่างประเทศ เมื่อกู้เงินรายใหม่ได้ ก็จะมีเงินเข้ามาในประเทศเพื่อให้สภาพคล่องของระบบเงินในประเทศดีขึ้น
ฟังดูก็ง่ายๆ มีเหตุผล แต่ความ จริงปรากฏว่า มันไม่ได้ผลสภาพคล่อง กลับเลวลง ธุรกิจ อุตสาหกรรม ขาดแคลนเงินหมุนในกิจการ จนต้องทยอย ปิดกิจการ เมื่อกิจการต่างๆ ปิดมากขึ้นทุกวันๆ คนก็ว่างงาน คนก็ตกงาน แต่ต้องกินต้องใช้ทุกวัน ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้น เมื่อไม่มีเงินก็ต้องดิ้นรน เมื่อทางตันก็ก่ออาชญากรรม ขณะนี้คาดกันว่ายอดคนว่างงานจะสูงถึง 3 ล้านคน จากยอดคนไทย 60 ล้านคนทั่วประเทศ ดังนั้นขณะนี้เวลาหลับนอนนอกจากจะต้องคิดว่าพรุ่งนี้ไปทำงานจะเจอซองขาวหรือไม่ พรุ่งนี้จะหาเงินจากไหนมาเข้าธนาคาร พรุ่งนี้จะหาเงินจากไหนมาส่งดอกเบี้ย ยังจะต้องคิดเพิ่มเติมว่าหลับคืนนี้ข้าว ของจะถูกขโมยหรือไม่อีกด้วย คิดแค่นี้ก็นอนไม่หลับแล้ว เมื่อนอนไม่หลับ ความฝันก็ไม่มี สุขภาพย่อมทรุดโทรม จิตใจก็ว้าวุ่น สุดท้ายก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนจะหาทางออกกันอย่างไร
บางคนฆ่าตัวตาย บางคนขายตัว ขณะที่รัฐบาลที่รับผิดชอบลอยหน้า ลอยตาออกวิทยุทีวีทุกวัน
ผมย้ำเสมอเมื่อพูดถึงปัญหาวิกฤติบ้านเมืองว่า แนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ไม่ว่ารัฐบาลที่แล้ว หรือรัฐบาลนี้ไม่มีอะไรต่างกันเลย รัฐบาลที่แล้วทำอย่างไร รัฐบาลนี้ก็ยึดแนวทางนั้น โดยไม่เฉลียวใจว่ามันผิดทาง เพราะผลปรากฏว่าทุกอย่าง เลวลงเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้เมื่อ
พระอาทิตย์ขึ้นก็ถามกันว่าถึงคิวใครที่ต้องปิดกิจการของตน ถึงคิวใครจะต้องตกงาน แล้วจะเหลืออะไร
ดังนั้น จึงต้องพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้วว่าจะเอากันหรือยังสำหรับทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อน ทุกอย่างจะสายไป ก็คือแนวทางประกาศพักการชำระหนี้ และดอกเบี้ยต่าง ชาติชั่วคราว อย่างน้อยก็ 3-5 ปี
ถามว่าเมื่อประกาศพักการชำระหนี้จะได้ประโยชน์อย่างไร
คำตอบจะได้ว่า จากยอดหนี้94,000 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น แนวทาง ที่รัฐกำลังทำอยู่โดยการคงอัตราดอก เบี้ยสูง เพื่อล่อเงินต่างประเทศให้เข้ามาในประเทศ ผลปรากฏว่าเงินก็ยังคง ไหลออกทุกวันอย่างต่อเนื่อง เพราะต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ยทุกวัน ทุกเดือน ดังนั้นแนวทางของรัฐบาล
ที่ทำตนให้ว่านอนสอนง่ายกับฝรั่ง แต่ว่านอนสอนยากกับคนไทย ผลปรากฏว่า ได้แค่ภาพแต่ผลดีจริงไม่มี ดังนั้นความจริงก็คือนอกจากเงินไหลเข้าน้อยมากแล้ว เงินกลับไหลออกมากกว่า แต่การคงอัตราดอกเบี้ย
สูงเป็นเวลาเนิ่นนาน กลับทำให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ทยอยปิดกิจการทุกวัน เพราะสู้ดอกเบี้ยไม่ไหว หา เงินมาหมุนเวียนในกิจการก็ไม่ได้ ฝรั่งหน้าไหนจะโง่ให้กู้ง่ายๆ เพราะการให้กู้ประเด็นสำคัญก็คือจะได้คืนหรือไม่ การที่กิจการทยอยปิด ทยอยเจ๊งทุกวัน แต่คิดง่ายๆ ก็คือการคงอัตราดอกเบี้ยไว้สูง แท้จริงก็คือ การประจานตนเอง ถ้าทุกกิจการยืนได้ ดอกเบี้ยไม่สูง กลับหาเงินกู้ง่ายกว่าเพราะเจ้าของเงินมั่นใจได้ดอกเบี้ยแค่ เงินต้นคืน ดังนั้นเมื่อความจริงแล้ว เงินไหลออกไม่หยุดเพราะต้องใช้เงินต้นและดอกเบี้ย วิธีการที่จะสงวนเม็ด เงินไว้ในประเทศเพื่อขอเวลาให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน แล้วค่อยทยอยใช้หนี้ภายหลัง ก็คือแนวทางการประกาศพัก การชำระหนี้และดอกเบี้ยชั่วคราว ซึ่งเป็นมาตรการที่เราควบคุมได้ มิใช่แนวทางที่รัฐบาลใช้อยู่ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่ให้กู้หรือไม่ ซึ่งควบคุมมิได้เลย
ผลดีของการประกาศพักการชำระหนี้และดอกเบี้ยจะทำให้ปริมาณ เม็ดเงินภายในประเทศมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับแนวทางที่รัฐบาลทำอยู่ดังนี้
1. เงินสดเพิ่มขึ้นจากการชะลอหักการจ่ายดอกเบี้ยถ้าคิดเพียง (ประมาณ 6%) ประมาณ 5,640 ล้านเหรียญต่อปี หรือประมาณ 231,000 ล้านบาท
2. เงินสดเพิ่มขึ้นจากการ
ชะลอการจ่ายคืนเงินต้นประมาณ 10,000-15,000 ล้านเหรียญต่อปี หรือประมาณ 400,000-600,000 ล้านบาท รวมกันแล้วจะเป็นเงินเฉลี่ยประมาณ 17,640 ล้านเหรียญต่อปี หรือประมาณ 705,600 ล้านบาทต่อ
ปี เพียง 1 ปี จะได้มากกว่ากู้ไอเอ็มเอฟเสียอีกเพราะกู้จากไอเอ็มเอฟวง เงินกู้เพียง 17,200 ล้าน เหรียญเท่านั้น
จากตัวเลขที่ผมประมวลมาเสนอ จะเห็นได้ว่าการพักชำระหนี้และ ดอกเบี้ยทันที จะช่วยคงเม็ดเงินในระบบได้ไม่ให้ไหลออกแก้ปัญหาสภาพคล่องได้ทันที เพราะสามารถคงเม็ดเงินในระบบ ไว้ได้ประมาณ 15,000-20,000 ล้านเหรียญต่อปี หรือประมาณ 600,000-800,000 ล้านบาทต่อปี ยังไงก็ดีกว่าแนวทางที่รัฐบาลใช้อยู่แน่ เพราะแนวทางที่รัฐบาลใช้อยู่เป็นการ กู้งินดอกเบี้ยแพงมาใช้หนี้เดิมที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า ซึ่งทำทุกอย่างแล้วก็ยังหากู้เงินจากต่างประเทศมิได้ ตรงข้ามกลับต้องใช้หนี้และดอกเบี้ยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเวลาที่ผ่านไป ผ่านไป เม็ดเงินในระบบของประเทศยิ่งน้อยลงๆ เพราะเงินไหลออกมากกว่าไหลเข้าแล้วเศรษฐกิจจะได้รับการฟื้น ฟูหรืออย่างไร
เราทุกคนต้องหยุดคิด และเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขใหม่แล้วล่ะครับ ผมยังมองไม่เห็นทางไหนนอกจากการประกาศพักการชำระหนี้ ซึ่งเป็นแนวทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
เขียน โดย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
Copyright 1997-1998 Thansettakij Newspaper
for more information, contact
webmaster@than01.thannews.th.com