PsTNLP
Pisit' s Thai Natural Language Processing Laboratory
This lab is formed since 26-August-1998
e-mail pisitp@yahoo.com
Back to PsTNLP home page
ส่วนที่ 3
การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคม
ให้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคน
การกำหนดให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
นอกจากจะให้ความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของ
คนแล้ว ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงระบบ กลไก
และสภาพแวดล้อมของสังคมให้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนา
คน โดยการสร้างให้คนมีโอกาสเข้าถึงศักยภาพของตนเอง
และเป็นทั้งส่วนเสริมให้การพัฒนาศักยภาพของคน
ดำรงอยู่ตลอดไป
การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมของสังคมที่พึงปรารถนา
จะต้องส่งเสริมให้วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญ
ในการพัฒนาศักยภาพของคนและเป็นพลังในการพัฒนาประเทศในลักษณะบูรณาการ
การเสริมสร้างความ
อบอุ่นและความเข้มแข็งของชุมชน ครอบครัว
การพัฒนาบริการโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้
ครอบคลุมประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
การพัฒนาระบบความยุติธรรมและความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สิน ตลอดจนสร้างหลักประกันต่าง ๆ ทางสังคม
เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยถ้วนหน้า
บทที่ 1
วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์
ผลการพิจารณาสภาพแวดล้อมของสังคมในระยะที่ผ่านมา
และแนวโน้มในอนาคตควบคู่กับผลกระทบ
จากอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
จึงเห็นสมควรเสริมสร้างสภาพแวดล้อมของ
สังคมให้เข้มแข็งเพียงพอที่จะส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของคน
โดยมีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์
ที่สำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
1. วัตถุประสงค์
1.1 เพื่อพัฒนาศักยภาพของครอบครัวและชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้และให้เอื้อต่อการพัฒนาคน
รวมทั้งสร้างโอกาสให้คน ครอบครัว ชุมชน
มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเอง ตลอดจนมีส่วนดูแล
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น
1.2 เพื่อพัฒนากลไก
และระบบความมั่นคงทางสังคมอย่างครบวงจรเพื่อเป็นหลักประกันด้านต่าง
ๆ
แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง
1.3 เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในระบบการอำนวยความยุติธรรมและการคุ้มครองสิทธิต่าง
ๆ
ตลอดจนพัฒนาประสิทธิภาพของระบบความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม
อย่างทั่วถึง
1.4 เพื่อส่งเสริมให้วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศให้สมดุล
ยั่งยืน
รวมทั้งเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนและชุมชนในการรักษาและสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมทั้งในระดับ
ชาติและระดับท้องถิ่นเพื่อให้เป็นศูนย์รวมทางด้านจิตใจของประชาชน
2. เป้าหมาย
2.1 ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และคู่สมรส
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตครอบครัว การ
มีบทบาทเป็นพ่อแม่ที่ดีและมีคุณภาพ การแบ่งภาระรับผิดชอบในครอบครัว
รวมทั้งการอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่าง
อบอุ่นและใกล้ชิด
2.2 ขยายการจัดสวัสดิการสังคมและสวัสดิการแรงงานให้ครอบคลุมประชาชน
และแรงงานในกลุ่ม
ต่าง ๆ ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
2.3 ลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน
และลดจำนวนการเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการ
จราจร การขนส่งวัตถุเคมีอันตราย และอัคคีภัยในอาคารสูง
2.4 ขยายการดำเนินงานด้านการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิประชาชน
โดยเฉพาะสิทธิเด็กและสตรี
2.5 เพิ่มการผลิตและเผยแพร่สื่อสาระที่มีคุณภาพอย่างกว้างขวาง
รวมทั้งควบคุมสื่อที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อศีลธรรมและวัฒนธรรมอันดีงาม
2.6 เพิ่มเป้าหมายผู้ใช้บริการในสถาบันทางวัฒนธรรมที่มีอยู่
เช่น พิพิธภัณฑ์สถาน โบราณสถาน
หอสมุด ศูนย์วัฒนธรรม
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไม่ต่ำกว่าเท่าตัว
3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคม
การที่จะพัฒนาสภาพแวดล้อมของสังคมให้เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพคนและคุณภาพชีวิตของประชา
ชนทุกกลุ่มนั้น ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
3.1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน
โดยการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการ
สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ของครอบครัวและชุมชนการปรับบทบาทของรัฐโดยการสนับสนุนให้ครอบครัวและ
ชุมชนพัฒนาตนเอง
และการสร้างหลักประกันทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะสนับสนุนให้ครอบครัวและชุม
ชนเข้ามามีบทบาทในกระบวนการพัฒนามากขึ้น
3.2 การพัฒนาระบบความมั่นคงทางสังคม
โดยการขยายหลักประกันทางสังคมให้ครอบคลุมประชา
ชนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น การปรับปรุงระบบสวัสดิการแรงงาน
การคุ้มครองแรงงาน แรงงานสัมพันธ์ และ
ความปลอดภัยในการทำงานให้ได้มาตรฐานการพัฒนาระบบบริหารงานด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์
สินและกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม
จากการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3.3 การเสริมสร้างวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา
โดยการสนับสนุนเวทีวัฒนธรรมในรูปแบบหลากหลาย
การเพิ่มโอกาสและทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกรับวัฒนธรรมที่เหมาะสมต่อการดำเนินชีวิตของตน
เอง
รวมทั้งการรณรงค์ส่งเสริมให้ตระหนักถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม
ตลอด
จนการส่งเสริมบทบาทของสื่อมวลชน ภาคธุรกิจ
และการดำเนินงานในลักษณะการมีส่วนร่วมของหลายฝ่าย
บทที่ 2
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน
การเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน
รวมทั้งสร้างโอกาสให้คน ครอบครัวและชุมชน
มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรมีแนวทางการพัฒนาหลักดังนี้
1. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของคนในครอบครัวและชุมชน โดย
1.1 การปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนทั้งในและนอกระบบโรงเรียน
(1) ส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษาในทุกระดับมากขึ้น
โดยการกระจายอำนาจทาง
การศึกษาให้ชุมชนสามารถกำหนดรายละเอียดของหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพความพร้อมและความ
ต้องการของแต่ละท้องถิ่นภายใต้การกำหนดโครงสร้างและมาตรฐานทางคุณภาพของหน่วยงานภาครัฐอย่าง
เป็นระบบ
(2) ปรับปรุงหลักสูตร ตำรา และอุปกรณ์การเรียนการสอนต่าง ๆ
ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม
และวิถีชีวิตของชุมชน
ควบคู่กับการปลูกฝังให้เกิดความภาคภูมิใจและรักท้องถิ่นของตน
และการเสริมสร้าง
ความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมสากล เช่น ความรู้ในภาษาต่างประเทศ
ความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
(3) สอดแทรกความรู้เรื่องครอบครัวศึกษาและการเสริมสร้างทักษะชีวิตในหลักสูตรการเรียนการ
สอนทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
รวมทั้งการพัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจ
ในเรื่องนี้อย่างถูกต้องและสามารถถ่ายทอดความรู้ในวงกว้างได้
(4) ส่งเสริมการวิจัย พัฒนา และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลป
วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม
เพื่อสร้างศักยภาพความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน
(5) จัดเครือข่ายระดับชาติด้านวิชาการที่มีการทำงานเป็นอิสระโดยระดมความร่วมมือจากนักวิชา
การและสถาบันต่าง ๆ ในการประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล พัฒนาความรู้
และให้มีการเผยแพร่ผลงานเพื่อ
นำไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจังในการกำหนดนโยบายและการปฏิบัติ
(6) ส่งเสริมให้มีการนำเอาศักยภาพของผู้สูงอายุที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ด้านต่าง
ๆ
มาใช้ประโยชน์ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว
ชุมชนและสังคมส่วนรวม
1.2
การส่งเสริมการใช้สื่อสารมวลชนให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวและชุมชน
(1) สนับสนุนและกระตุ้นให้สื่อมวลชนเสนอสื่อที่สร้างสรรค์ชีวิตครอบครัวและชุมชน
เช่น บทบาท
ของการเป็นพ่อแม่ลูกที่ดี รวมถึงการแบ่งภาระรับผิดชอบในครัวเรือน
ความรู้ในการอบรมเลี้ยงดูเด็กให้มีพัฒ
นาการตามวัย เป็นต้น
(2) พัฒนาและเผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพ
ถูกต้องและทันสมัยในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ
โทรทัศน์ ฯลฯ ให้สามารถกระจายเข้าถึงชุมชนต่าง ๆ
อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง
(3) สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนให้รู้จักเลือกรับและกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่
เข้ามาในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้มีโลกทัศน์สากลควบคู่ไปกับการรักษาคุณค่าความเป็นไทย
โดยผ่านการศึกษา
ทั้งในและนอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยในรูปแบบต่าง ๆ
(4) ส่งเสริมสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการให้ความรู้เกี่ยวกับ
สิทธิหน้าที่พื้นฐานของตนและสังคมในการรับบริการสังคม กฎหมาย
ระเบียบข้อบังคับ และข่าวสารต่าง ๆ
ที่จะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและสังคม
1.3 การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ของชุมชนอย่างเป็นระบบ
(1) สนับสนุนการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างคนในชุมชนเดียวกันและ
ระหว่างองค์กรชุมชนด้วยกันในทุกรูปแบบ
โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือปราชญ์ชาวบ้าน
ที่มีอยู่ และมีการรับรองวิทยฐานะของการเรียนรู้ดังกล่าว
(2) ส่งเสริมการดำเนินงานในลักษณะวิทยาลัยประชาคมที่ทำหน้าที่จัดการศึกษาและฝึกอาชีพแก่ประ
ชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในชุมชนในรูปแบบที่หลากหลายตามความสนใจและความถนัดโดยไม่จำกัด
พื้นฐานความรู้
(3) ส่งเสริมให้องค์กรทางสังคมทุกฝ่าย เช่น
สถาบันครอบครัวสถาบันทางศาสนา สื่อมวลชน สถาบัน
การศึกษาทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ฯลฯ
เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ของชุมชน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งบทบาทของบ้าน วัด โรงเรียน
2. การส่งเสริมการรวมตัวของชุมชน โดย
2.1 การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชุมชนในทุกรูปแบบ
(1) ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรวมตัวของชุมชน
ทั้งในเรื่องสิทธิ หน้าที่ บทบาทของ
องค์กรชุมชน
รวมทั้งทักษะในการพัฒนาองค์กรให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การบริหาร
จัดการองค์กร
การสร้างจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของชุมชนและการบำรุงรักษาสาธารณสมบัติและศิลปวัฒนธรรม
ของชุมชน เป็นต้น
(2) สนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของชุมชน
โดยให้ความสำคัญกับการรวมตัวโดยสมัครใจในแต่ละ
พื้นที่มากกว่าการชี้นำจากภาครัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมของชุมชนและการรวม
ตัวของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เช่นคนพิการ ผู้ติดเชื้อเอดส์ ผู้สูงอายุ
ฯลฯ
(3) ส่งเสริมให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับอุดมศึกษาใช้ความรู้และ
ศักยภาพที่มีอยู่เพื่อพัฒนาท้องถิ่น เช่น การส่งเสริมธุรกิจชุมชน
และการส่งเสริมการเกษตรด้วยเทคโนโลยี
ที่เหมาะสม การฝึกอบรมผู้นำและอาสาสมัครเพื่อพัฒนาครอบครัวและชุมชน
เป็นต้น
(4) สนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
การจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชน
ที่รัฐสมทบเงินทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม
โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนมีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างมีอิสระ
และสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
2.2 ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายชุมชนอย่างกว้างขวาง
(1) สนับสนุนให้องค์กรชุมชนทั้งในพื้นที่ใกล้เคียง จังหวัด ภาค
และระหว่างภาค ประสานเครือข่าย
การพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้และร่วมมือกันทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
รวมทั้งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ตลอดจนจัดการปัญหาของชุมชนร่วมกัน เช่น ปัญหาจราจร ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เป็นต้น
(2) สร้างกลไกการประสานเครือข่ายการพัฒนาชุมชนระหว่างประชาชน
องค์กรชุมชน หน่วยงานภาค
รัฐและเอกชนทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลางอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งสร้างเครือข่ายข้อมูลระหว่างองค์กร
ต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างทั่วถึงและเป็นจริง
(3) สนับสนุนให้องค์กรชุมชนใช้กลไกทางสังคมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาท้องถิ่นและเสริมสร้าง
ความสามัคคีภายในชุมชน โดยให้มีการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น
การฟื้นฟูประเพณีวัฒนธรรมอันดีงาม
3. การสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจแก่ครอบครัวและชุมชน โดย
3.1 การพัฒนาทักษะและโอกาสทางเศรษฐกิจของครอบครัวและชุมชน
(1) ส่งเสริมการฝึกอบรมฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในพื้นที่
โดย
ให้โอกาสแรงงานหญิงชายอย่างเท่าเทียมกัน
และปรับปรุงระบบข้อมูลข่าวสารตลาดแรงงาน ตลาดผลผลิต
และข้อมูลอื่น ๆ เช่น
ข้อดีข้อเสียของอาชีพและการเดินทางไปทำงานต่างถิ่น กฎหมาย
สัญญานิติกรรม เป็น
ต้น
ให้มีความทันสมัยและกระจายไปถึงประชาชนในทุกพื้นที่อย่างกว้างขวาง
(2) สนับสนุนอุตสาหกรรมครัวเรือนและอุตสาหกรรมชุมชนที่มีความสอดคล้องกับความพร้อมและ
ความต้องการของแต่ละพื้นที่
รวมทั้งส่งเสริมการประกอบอาชีพที่มีความมั่นคง มีรายได้ที่แน่นอน
โดยไม่
ทำลายบทบาทและความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
3.2 การส่งเสริมให้ธุรกิจเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและ
ชีวิตครอบครัว
(1) รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ประกอบการธุรกิจภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนแนว
คิดการบริหารธุรกิจจากการมุ่งเน้นการสร้างกำไรในระยะสั้นเป็นหลักเพียงอย่างเดียวไปสู่การลงทุนเพื่อพัฒนา
สังคมควบคู่กันไป
(2) สร้างสิ่งจูงใจทางมาตรการการเงินและการคลังให้ธุรกิจเอกชนเข้ามาช่วยฝึกอบรมฝีมือแรงงาน
การผลิต การจำหน่าย และการจัดการตลาดอย่างเป็นระบบครบวงจร
โดยเน้นการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามา
มีส่วนร่วมจัดการในทุกขั้นตอนและสามารถพัฒนาให้เป็นธุรกิจที่ชุมชนเป็นเจ้าของเองได้ในที่สุด
(3) สนับสนุนและกระตุ้นให้สถาบันการเงินเอกชนจัดระบบสินเชื่อเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจของครอบ
ครัวและชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ
4. การสร้างหลักประกันความมั่นคงทางสังคมแก่ครอบครัวและชุมชน โดย
4.1 การจัดและพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพอย่างกว้างขวางและทั่วถึง
(1) พัฒนาระบบประสานงานการให้บริการแก่ครอบครัวในรูปแบบเบ็ดเสร็จ
ซึ่งตอบสนองความต้อง
การด้านต่าง ๆ ในแต่ละชุมชน เช่น การจัดบริการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ
การให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและการ
ให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิตการครองเรือน เป็นต้น
(2) จัดและปรับปรุงบริการพื้นฐานเพื่อสร้างหลักประกันให้แก่ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึง
บริการอย่างเท่าเทียมกันทั้งในเมืองและชนบท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดบริการเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัด
การบำบัดน้ำเสียและขยะ การแก้ปัญหาจราจร
และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(3) จัดสวัสดิการสงเคราะห์และบริการฟื้นฟู บำบัด
และพัฒนาแก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม เช่น
ครอบครัวที่มีคนพิการ ครอบครัวที่มีผู้ป่วยเรื้อรังและทุพพลภาพ
ครอบครัวมีแต่ผู้สูงอายุและเด็ก เป็นต้น
โดยให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน
4.2 การส่งเสริมบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการจัดบริการสังคม
(1) ส่งเสริมบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการจัดสวัสดิการชุมชนที่จะดูแลและเฝ้าระวังคนใน
ครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสี่ยงและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เช่น
ครอบครัวที่ยากจนและไม่สามารถเข้า
ถึงบริการของรัฐ ผู้ติดเชื้อเอดส์ ผู้สูงอายุและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
เป็นต้น
(2) สร้างกลไกและระบบที่เอื้อต่อการส่งเสริมบทบาทของชุมชนในการตรวจสอบเพื่อพัฒนาบริการ
สังคมให้ได้มาตรฐาน
(3) สนับสนุนให้ชุมชนเป็นแหล่งศูนย์กลางในการพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและ
ชุมชน เช่น การจัดสวนสาธารณะ สนามกีฬาและบริการนันทนาการในชุมชน
เพื่อให้สมาชิกมีกิจกรรมที่
ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นต้น
5. การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาครอบครัวและชุมชน
โดย
5.1 การปรับปรุงระบบราชการให้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของสถาบันครอบครัว
และชุมชน
(1) กระจายอำนาจการตัดสินใจและการบริหารงบประมาณจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น
เพื่อให้ชุมชน
เข้ามามีบทบาทในการวางแผนพัฒนาและบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ
ได้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ศักยภาพ
และความต้องการของแต่ละพื้นที่
โดยรัฐเข้าไปให้ความช่วยเหลือในกรณีที่ชุมชนยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ
(2) เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น
โดยปรับปรุงอัตราภาษีและค่าธรรมเนียมที่มุ่ง
เน้นการจัดสรรให้ท้องถิ่นนำไปใช้ในการพัฒนาชุมชนมากขึ้น
รวมทั้งพัฒนาแหล่งสินเชื่อเพื่อการพัฒนา
อื่น ๆ เช่น การจัดตั้งกองทุนพัฒนาเมือง กองทุนพัฒนาชนบท เป็นต้น
(3) กำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานพัฒนาครอบครัวและชุมชนอย่างเป็นองค์รวมร่วม
กันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยมีหน่วยงานวิชาการให้การสนับสนุนใน
เรื่องข้อมูลและความรู้ที่เป็นสหวิชาการทั้งในองค์ความรู้สากลและภูมิปัญญาท้องถิ่น
(4) พัฒนาเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มีความรู้ ความเข้าใจ
และทักษะในกระบวนการพัฒนาอย่างเป็นองค์
รวม และความเข้าใจในการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชน
รวมทั้งทักษะในการนำทรัพยากรท้องถิ่นที่มี
อยู่มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนามากขึ้น
(5) ศึกษาวิธีการจัดสรรงบประมาณให้เอื้ออำนวยต่อการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง
ๆ โดย
เฉพาะระหว่างองค์กรชุมชนกับองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น
รวมทั้งจัดทำโครงการนำร่องที่เน้นวิธีการจัด
สรรงบประมาณในลักษณะงบอุดหนุนทั่วไปแก่หน่วยงานที่มีความพร้อมและได้รับการปรับปรุงโครงสร้าง
เพื่อรองรับวิธีการดังกล่าว
(6) ปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับให้เอื้อต่อการเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ดำเนินงานตามบท
บาทและสิทธิในการตัดสินใจบริหารจัดการกิจกรรมของชุมชน เช่น
สิทธิในการตรวจสอบการจัดสรรที่ดิน
ทำกิน
รวมทั้งสนับสนุนให้มีการเปิดกว้างทางข้อมูลข่าวสารสาธารณะและสร้างวิถีประชาพิจารณ์อย่างเป็น
ระบบ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ใกล้ชิดขึ้น
(7) สร้างระบบการติดตามประเมินผลด้านการพัฒนาครอบครัวและชุมชนอย่างต่อเนื่อง
โดยที่องค์
กรชุมชนมีส่วนร่วม
เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ต่อการวางแผนและการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่ง
ขึ้น
5.2 ส่งเสริมให้องค์กรทางสังคมทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น
(1) กำหนดนโยบายด้านการลงทุนทางสังคมให้ชัดเจน
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงาน
ของภาคธุรกิจเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนต่าง ๆ
ให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มากขึ้น โดยใช้มาตรการทางด้านกฎหมาย ภาษีอากร
การส่งเสริมการลงทุนทางสังคม การจัดตั้งกองทุน
และอื่น ๆ
(2) พิจารณาลดหย่อนภาษีสินค้าที่มีส่วนสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต
เช่น ของเด็กเล่น อุปกรณ์การเรียน
อุปกรณ์กีฬาและสิ่งอื่น ๆ ที่จำเป็น เป็นต้น
(3) ประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรต่าง ๆ
อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งการประสานเครือข่ายที่เป็นทางการของรัฐเข้ากับเครือข่ายการพัฒนาของชาวบ้าน
(4) ส่งเสริมให้สื่อมวลชนทำหน้าที่รณรงค์เผยแพร่ค่านิยมที่เหมาะสมต่อสังคมในวงกว้างและต่อ
เนื่อง เช่น บทบาทความสัมพันธ์อันเหมาะสมระหว่างชายหญิง
การขจัดอคติทางเพศและความรุนแรงใน
ครอบครัว การป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำทารุณทางเพศต่อเด็ก
เป็นต้น
(5) กำหนดกลไกที่จะเปิดโอกาสและให้อำนาจประชาชนและชุมชนเข้ามาตรวจสอบการทำงานของ
ภาครัฐและนำข้อมูลต่าง ๆ
ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ได้ด้วยตนเอง
บทที่ 3
การพัฒนาระบบความมั่นคงทางสังคม
การพัฒนาระบบความมั่นคงทางสังคมให้คนทุกคนได้รับบริการพื้นฐานทางสังคม
สวัสดิการสังคม
และสวัสดิการแรงงาน
หลักประกันด้านความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและการทำงาน
การพิทักษ์และ
คุ้มครองสิทธิต่าง ๆ มีแนวทางการพัฒนาหลักดังนี้
1. การพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมและสวัสดิการแรงงานให้เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตคน โดย
1.1 การปรับปรุงระบบสวัสดิการสังคมให้มีประสิทธิภาพ
(1) ส่งเสริมและพัฒนาการดำเนินงานสวัสดิการสังคมอย่างครบวงจร
โดยมีกฎหมายสวัสดิการสังคม
เป็นแม่บท
ให้สามารถช่วยเหลือประชาชนผู้ด้อยโอกาสและผู้เดือดร้อนให้มีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตได้
(2) ปรับปรุงข่ายการประสานงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ระหว่างภาครัฐ
ภาคเอกชน
องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชนทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
และส่วนท้องถิ่น ให้สามารถเชื่อมโยง
กันได้อย่างเป็นระบบ
(3) สนับสนุนการรวมตัวและสร้างเครือข่ายของประชาชนและสถาบันทางสังคม
เช่น วัด โรงเรียน
ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลงานด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ในชุมชน
(4) ส่งเสริมให้องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนางานด้านสวัสดิ
การสังคมและสังคมสงเคราะห์
โดยรัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวกและให้การสนับสนุนการดำเนินงานในลักษณะ
กำกับดูแลมากกว่าการควบคุมและสั่งการ
(5) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ
ให้เอื้อต่อการดำเนินงานขององค์กรพัฒนา
เอกชนและองค์กรประชาชน
โดยเฉพาะการปรับปรุงขั้นตอนและวิธีการจดทะเบียนการจัดตั้งให้มีความสะดวก
ขึ้น
1.2 การเสริมสร้างระบบสวัสดิการแรงงานที่ได้มาตรฐานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของ
ผู้ใช้แรงงาน
(1) ปรับปรุงกฎระเบียบ
ข้อบังคับให้เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามา
มีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการแรงงานที่เหมาะสมและได้มาตรฐานให้แพร่หลายยิ่งขึ้น
เช่น การจัดสถาน
พยาบาลรวม โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กที่ได้มาตรฐาน
และสถานที่เล่นกีฬาและออกกำลังกายในสถานประ
กอบการ เป็นต้น
(2) ส่งเสริมให้นายจ้างจัดสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่จำเป็นด้านต่าง
ๆ ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบ
การนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด
(3) ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนเงินสะสมในสถาน
ประกอบการ
เพื่อเป็นสวัสดิการแก่ผู้ใช้แรงงานในระหว่างการทำงานและเมื่อออกจากงาน
1.3 การส่งเสริมและสนับสนุนการขยายระบบประกันสังคมและการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ
ประกันสังคม
(1) เร่งรัดการขยายขอบข่ายการประกันสังคม
เพื่อให้การคุ้มครองกรณีชราภาพและสงเคราะห์บุตร
และสนับสนุนให้มีการขยายขอบเขตการคุ้มครองประกันสังคมให้ครอบคลุมสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง
ต่ำกว่า 10 คน
รวมทั้งหาแนวทางในการขยายขอบเขตการคุ้มครองไปสู่แรงงานในสาขานอกระบบด้วย
(2) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประกันสังคมให้มีความสะดวกรวดเร็ว
และมีประสิทธิภาพ โดย
เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของบริการทางการแพทย์การจ่ายประโยชน์ทดแทนและเงินทดแทนให้เอื้อประโยชน์
ต่อลูกจ้างอย่างเต็มที่
พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่ว
ประเทศ
(3) ปรับปรุงกฎหมายการประกันสังคม กฎหมายเงินทดแทน
ตลอดจนแนวทางปฏิบัติให้ทันสมัย
และเป็นสากล
เพื่อความสะดวกในการบริหารงานและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกจ้างผู้ประกันตน
(4) พัฒนาระบบตรวจสอบและติดตามที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สถานประกอบการและลูกจ้างที่อยู่
ในข่ายบังคับและคุ้มครองตามกฎหมายเข้าสู่ระบบประกันสังคมอย่างครบถ้วน
2.การปรับปรุงประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงาน
ความปลอดภัยในการทำงานและระบบแรงงานสัมพันธ์ โดย
2.1 การเร่งรัดและขยายการดำเนินงานคุ้มครองแรงงาน
(1) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานให้มีขอบเขตการคุ้ม
ครองที่กว้างขวางขึ้น
รวมทั้งการพิจารณาขยายขอบเขตการให้การคุ้มครองในเรื่องค่าตอบแทน
สภาพการจ้าง
สภาพการทำงาน สิทธิประโยชน์ สวัสดิการ
ความปลอดภัยในการทำงานและการประกันสังคมให้ครอบคลุม
ถึงแรงงานในสาขานอกระบบ โดยเฉพาะลูกจ้างภาคเกษตร
ผู้รับเหมาช่วงงานและผู้รับงานไปทำที่บ้าน
(2) สร้างระบบการตรวจแรงงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งการสนับสนุนบทบาทขององค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้างในการช่วยสอดส่องดูแลการไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายแรงงานในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ
สวัสดิการและความปลอดภัยในการทำงาน และการรายงานการใช้แรง
งานที่ผิดกฎหมายแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ
(3) ดำเนินมาตรการเร่งด่วนในการขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างผิดกฎหมาย
โดยกำหนดมาตร
การบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดและมีบทลงโทษที่รุนแรง
(4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดค่าจ้างขั้นต่ำให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์การ
จ้างงานและเป็นธรรมทุกฝ่าย
รวมทั้000งสอดส่องดูแลการบังคับใช้กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำให้มีประสิทธิภาพ
โดย
เน้นการตรวจตราสถานประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ไม่มีสหภาพแรงงาน
รวมทั้งการลงโทษอย่างรุนแรง
แก่นายจ้างที่หลีกเลี่ยงกฎหมาย
และให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(5) ปรับปรุงระบบและกลไกการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและจัดทำข้อเสนอแนะให้นายจ้างจัดทำโครง
สร้างค่าจ้างในสถานประกอบการ
เพื่อให้มีการปรับค่าจ้างประจำปีให้ลูกจ้างตามความสามารถและประสบ
การณ์ และไม่เลือกปฏิบัติทางเพศและวัย
(6) ศึกษาวิจัยเพื่อหาแนวทางในการกำหนดรูปแบบและโครงสร้างค่าจ้างเงินเดือนทั้งระบบ
รวมทั้ง
ความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับลูกจ้างในภาคเกษตรกรรม
และการกำหนดอัตราค่า
จ้างขั้นต่ำรายอาชีพตามประเภทอุตสาหกรรม
(7) กำหนดมาตรฐานการจ้างแรงงานไทยไปต่างประเทศ
ค่าใช้จ่ายและค่าบริการให้เหมาะสมและเป็น
ธรรม
การป้องกันและปราบปรามการหลอกลวงและการลักลอบไปทำงานต่างประเทศโดยผิดกฎหมายอย่างเคร่ง
ครัด รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิแรงงานไทยในต่างประเทศ
(8) สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มหรือมีการจัดตั้งเป็นองค์กรนิติบุคคลของผู้รับงานไปทำที่บ้าน
โดยรัฐ
ให้การสนับสนุนการพัฒนาองค์กรและเครือข่ายให้มีความเข้มแข็ง
รวมทั้งให้มีการจัดทำทะเบียนผู้รับงานไป
ทำที่บ้านเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองดูแลจากรัฐอย่างทั่วถึง
(9) ส่งเสริมให้มีหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในการให้การส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครองผู้รับงานไป
ทำที่บ้านโดยตรง
รวมทั้งการสร้างเครือข่ายการประสานงานระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการ
รับงานไปทำที่บ้านให้มีการเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
2.2 การพัฒนาระบบความปลอดภัยและพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(1) ปรับปรุงกฎหมาย
ระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในการทำ
งานให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
รวมทั้งทบทวนแก้ไขข้อบัญญัติของ
กฎหมายฉบับต่าง ๆ ที่มีความซ้ำซ้อนและเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ
ตลอดจนการปรับปรุงระบบและกลไก
การประสานการตรวจสอบความปลอดภัยตามกฎหมายแรงงานหรือกฎหมายอื่นให้มีประสิทธิภาพและมี
การลงโทษต่อผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง
(2) พิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองแรงงานโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย
อาชีว
อนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ทั้งนี้โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงแรงงานภาคเกษตร และแรงงาน
นอกระบบด้วย
(3) รณรงค์ให้นายจ้างและลูกจ้างในสถานประกอบการและผู้ที่จะเข้าสู่ระบบการจ้างงานรู้จักการ
ป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัย
และโรคสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
และปฏิบัติตามระเบียบ
การทำงานอย่างเคร่งครัด
(4) กำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของนายจ้าง ลูกจ้าง
และองค์กรที่เกี่ยวข้องในเรื่องความ
ปลอดภัยที่ชัดเจนและใช้เป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
พร้อมทั้งการให้สิ่งจูงใจเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบ
การมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการป้องกันและควบคุมอุบัติภัยร้ายแรงและส่งเสริมงานด้านความปลอด
ภัยในการทำงาน
(5) สนับสนุนให้ลูกจ้างมีส่วนร่วมในการตรวจสอบระบบการป้องกันและรักษาความปลอดภัยใน
โรงงานอุตสาหกรรมในทุกขั้นตอนของระบบการทำงานร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐบาล
2.3 การพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพ
(1) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่ใช้อยู่ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพของ
เศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การสร้างระบบการปรึกษาหารือ
การเพิ่มบทบาทขององค์กร
นายจ้างและองค์กรลูกจ้างในกระบวนการระงับข้อพิพาทแรงงาน เป็นต้น
(2) ส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ในระบบทวิภาคีและไตรภาคี
โดยเน้นการสนับสนุนส่งเสริมให้
นายจ้างและลูกจ้างใช้ระบบการปรึกษาหารือและร่วมมือกันในระบบทวิภาคีในระดับสถานประกอบการ
มากขึ้น
(3) เสริมสร้างองค์กรลูกจ้างและองค์กรนายจ้างให้มีความเข้มแข็งและมีเอกภาพ
สามารถทำหน้า
ที่เป็นตัวแทนในการเจรจาต่อรองเพื่อแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในระดับสถานประกอบการได้อย่างมีประสิทธิ
ภาพ
(4) ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านแรงงานสัมพันธ์แก่นายจ้างและลูกจ้างในการปฏิบัติตามขั้นตอน
ของกฎหมายและยุติข้อขัดแย้งโดยสันติวิธี
(5) สนับสนุนส่งเสริมให้นายจ้างปรับปรุงการจัดระเบียบองค์กรการผลิตให้มีความทันสมัยสอดคล้อง
กับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ภาวะตลาดแรงงาน
และทัศนคติของคนทำงานรุ่นใหม่ เช่น การสร้างระบบ
การปรึกษาหารือและระบบการมีส่วนร่วมของลูกจ้างในรูปแบบคณะกรรมการลูกจ้าง
การจัดทำโครงสร้างเงิน
เดือนที่ชัดเจนมีมาตรฐาน
และการพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของลูกจ้างเป็นต้น
(6) สนับสนุนบทบาทหน้าที่และการดำเนินกิจกรรมของสหภาพแรงงาน
สหพันธ์และสภาองค์กร
ลูกจ้าง
ที่เน้นการรักษาผลประโยชน์แก่สมาชิกควบคู่กับการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพ
เช่น การส่งเสริมการศึกษาฝึกอบรม
การให้ความรู้ในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของลูกจ้าง และการรณรงค์เรื่อง
ความปลอดภัย สุขภาพอนามัย เป็นต้น
(7) สนับสนุนให้นายจ้างมีการเตรียมพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นหัวหน้างานให้รู้จักการบริหารจัดการ
ทางธุรกิจอุตสาหกรรมและการบริหารคนงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพื่อบรรเทาปัญหาการกระทบกระทั่ง
ระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน
3. การป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรม
ยาเสพติดเพื่อเสริมสร้างความสงบสุขในสังคม โดย
3.1 ส่งเสริมงานชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด
โดยภาค
รัฐเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ
เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองและป้องกันตนเองได้มากขึ้น
3.2 พัฒนาและปรับปรุงระบบการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะการ
ปลอมแปลงเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งการบุกรุกที่สาธารณะ เช่น เกาะ ป่า
ชายเลน เป็นต้น
3.3 พัฒนาขีดความสามารถของหน่วยปฏิบัติในด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
โดยนำ
ระบบข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการปฏิบัติงาน
ตลอดจนพัฒนาคุณภาพบุคลากรให้
มีความรู้ความสามารถ ระเบียบวินัย
คุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน
3.4 สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรประชาชนที่ดำเนินการด้านการรักษาความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สินของชุมชนให้มีมาตรการ
ระบบงานและวิธีการปฏิบัติในการตรวจตรา แจ้งข่าวสารระงับเหตุ
ตลอดจนการเป็นพยานในคดีอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเป็นระบบ
และต่อเนื่อง
3.5 ส่งเสริมการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเป้าหมายต่าง
ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและ
เยาวชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียน ตลอดจนกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
โดยเน้นการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย
ควบคู่กับการจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอย่าง
จริงจังและต่อเนื่อง
3.6 พัฒนาระบบการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดใน 3
ระบบคือ ระบบสมัครใจ ระบบ
ต้องโทษ และระบบบังคับบำบัด อย่างมีคุณภาพ
และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชนในการ
ป้องกันการติดยาเสพติดซ้ำ
3.7 ใช้สื่อสาธารณะทุกรูปแบบในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในการร่วมกันป้องกัน
และแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด อุบัติภัย การทารุณกรรมเด็กและสตรี
และปัญหาสังคมอื่น ๆ
3.8 พิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด อย่างเป็นระบบ เพื่อให้
มีมาตรการที่เหมาะสมและสามารถปราบปรามการผลิตและจำหน่ายยาเสพติดให้เป็นผลอย่างจริงจัง
4. การปรับปรุงระบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ อุบัติภัย
และสาธารณภัย โดย
4.1 ปรับปรุงประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ
อุบัติภัย โดยส่งเสริมการจัดทำแผน
และระบบการประสานงานทั้งในด้านนโยบาย
การปฏิบัติงานและการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานและองค์กรที่
เกี่ยวข้อง การพัฒนาความรู้และขีดความสามารถของบุคลากร
การสร้างระบบข้อมูลด้านอุบัติภัยและการสนับ
สนุนด้านเทคนิค วิชาการและการจัดหาวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
4.2 สนับสนุนให้ความรู้และสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและระงับอุบัติภัย
โดย
เฉพาะผู้ใช้รถใช้ถนน ผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการและเจ้าของกิจการ
กรรมกรก่อสร้าง และประชาชนใน
ชุมชนหนาแน่นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยผ่านสื่อต่าง ๆ
อย่างเป็นระบบ รวมทั้งการกวดขันให้มีการ
ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจัง
4.3 ส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนและองค์กรประชาชนมีบทบาทในการร่วมวางแผน
ร่วมตัดสินใจ
เกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านอุบัติภัย สาธารณภัยในชุมชนและท้องถิ่น
4.4 ส่งเสริมมาตรการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่
การเตือนภัย การเตรียมพร้อมใน
ด้านต่าง ๆ ไว้ก่อนที่ภัยจะเกิด เช่น แผนที่เสี่ยงภัย
เพื่อลดผลกระทบจากสาธารณภัยให้น้อยที่สุด ตลอดจนส่ง
เสริมให้มีการผนวกมาตรการป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเข้าไว้ในโครงการต่าง
ๆ โดยถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ
ประการหนึ่งในการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ
4.5 ส่งเสริมบทบาทของสถาบันวิชาชีพในการวางมาตรฐานการดำเนินกิจกรรมที่จะมีผลกระทบต่อ
ความปลอดภัยของชุมชนและสังคม
รวมทั้งให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมายหรือการ
ตรวจสอบการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
5. การพัฒนาประสิทธิภาพระบบการอำนวยความยุติธรรมและการคุ้มครองสิทธิต่าง
ๆ ของประชาชน โดย
5.1 พิจารณาจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้เป็นเอกภาพ
เพื่อให้สามารถ
กำหนดแนวทางการอำนวยความยุติธรรมได้อย่างสอดคล้องกันและสามารถพัฒนางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.2 พัฒนาระบบงาน การบริหารจัดการ
และบุคลากรของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม โดยแยก
เป็นสาขากฎหมายตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทั้งในด้านคดีอาญา คดีแพ่ง
และคดีปกครอง ตลอดจนนำสห
วิทยาการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนได้รับบริการที่มีประสิทธิ
ภาพ สะดวก รวดเร็ว มีความเท่าเทียมกันและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
5.3 ศึกษาวิจัยด้านการอำนวยความยุติธรรม
การขยายงานอาสาสมัครคุมประพฤติ รวมทั้งการให้ความ
สำคัญกับคดีอาชญากรรมข้ามชาติและคดีเศรษฐกิจ
5.4 สนับสนุนการลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล
โดยการไกล่เกลี่ยหรือประนอมข้อพิพาท การส่งเสริมการ
ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ การแก้ไขฟื้นฟูและสงเคราะห์เด็ก
เยาวชน และผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ใหญ่
เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำรวมทั้งการหันเหคดีออกจากการลงโทษ
5.5 สนับสนุนการให้บริการช่วยเหลือทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน
โดยเฉพาะประชาชนผู้ด้อย
โอกาส เช่น การจัดทนายช่วยแก้ต่าง การสงเคราะห์จำเลยและครอบครัว
การชดเชยให้ผู้ได้รับความเสียหาย
จากการดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น
5.6 ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของหน่วยงานรัฐ
องค์กรพัฒนาเอกชนสถาบันวิชาชีพ กลุ่มประ
ชาชนในการประสานควบคุมและกำกับดูแลให้สินค้าและบริการต่าง ๆ
มีความปลอดภัยและเป็นธรรม เพื่อ
การคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตลอดจนดำเนินการให้มีกฎหมาย กฎระเบียบ
หน่วยงานรับผิดชอบ วิธีการ
ปฏิบัติที่ชัดเจนในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนและได้รับการชดเชยเมื่อถูกละเมิดสิทธิ
5.7 ให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการแก้ไขปัญหาการละเมิดกรรมสิทธิและสิทธิส่วนบุคคล
และ
สาธารณสมบัติ
โดยเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจและการตระหนักถึงสิทธิหน้าที่ของประชาชน
รวมทั้ง
การกวดขันให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย
ตลอดจนการปรับปรุง
ระบบและกลไกของรัฐในการคุ้มครองดูแลสาธารณสมบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5.8 ส่งเสริมการให้ความรู้และการคุ้มครองสิทธิทางกฎหมายแก่ประชาชนอย่างกว้างขวาง
รวมทั้ง
ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของเด็ก
และเยาวชนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงาน
ทางกฎหมายทั้งของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน
เพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิประโยชน์ของ
เด็กและเยาวชนให้มากยิ่งขึ้น
5.9 สนับสนุนบทบาทสตรีให้มีสิทธิและโอกาสทัดเทียมกับบุรุษในด้านต่าง
ๆ โดยเปิดโอกาสให้มี
ส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ และให้มีส่วนร่วมในทางเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง และการปกครองทุก
ระดับ รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพในการรวมกลุ่มมากขึ้น
ตลอดจนส่งเสริมให้สตรีได้รับการศึกษา ฝึกอบรม
การฝึกทักษะทุกด้านและการมีอาชีพที่ทัดเทียมกับบุรุษ
5.10 พิจารณาปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ
เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ รวมทั้ง
ดำเนินการให้หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน
และภาคธุรกิจไม่ระบุเพศในการรับสมัครและบรรจุงาน รวมถึง
การปรับเปลี่ยนค่านิยมของทั้งหญิงและชายให้เลิกการเลือกปฏิบัติและการมีอคติทางเพศ
5.11 ปรับปรุงกฎหมายระเบียบข้อบังคับ
และวิธีพิจารณาความที่เกี่ยวกับการล่อลวง กักขัง หน่วง
เหนี่ยว บังคับ ขู่เข็ญ
พร้อมทั้งให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังและเคร่งครัดควบคู่กับให้มีบทลงโทษ
อย่างรุนแรงแก่ผู้กระทำผิดทางเพศต่อเด็กและสตรี
5.12 รณรงค์แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการทำร้ายทารุณทางร่างกาย
จิตใจ และทาง
เพศต่อเด็กและสตรี เช่น
สร้างความรู้ความเข้าใจให้สังคมตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบ
ขยายบริการการ
ให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวที่มีปัญหาให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
โดยให้ความคุ้มครองและไม่กระทำการซ้ำ
เติมต่อผู้ถูกกระทำ
5.13 ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาหลักกฎหมายมหาชน
เพื่อเป็นกลไกในการบริหารราชการ
แผ่นดิน โดย
(1) สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยและสถาบันต่างๆ
พัฒนาหลักสูตรกฎหมายมหาชน เพื่อเสริมสร้าง
แนวความคิดทางปรัชญากฎหมายมหาชนให้แก่นักกฎหมาย
รวมทั้งประชาชนทั่วไป
(2) พัฒนาผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานภาครัฐให้มีแนวความคิดบนพื้นฐานของปรัชญากฎหมายมหาชน
และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน
(3) พัฒนากระบวนการยุติธรรมทางปกครอง
โดยเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรของรัฐให้สามารถรับ
เรื่องร้องทุกข์จากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ของรัฐ และทำหน้าที่เป็นองค์กรชี้ขาดเฉพาะด้าน
บทที่ 4
การเสริมสร้างวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา
การส่งเสริมให้วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศ
เป็นเรื่องที่มีความจำ
เป็น
เพราะจะทำให้การพัฒนายืนอยู่บนรากฐานของตนเองและภูมิปัญญาของชุมชนและสังคม
ซึ่งจะนำไปสู่
การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืนในระยะยาว
โดยจะต้องมีการดำเนินงานในลักษณะที่เป็นองค์รวม คือการสร้าง
ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวและชุมชน
รวมทั้งสนับสนุนให้ทุกฝ่ายมีส่วน
ร่วมในการทำนุบำรุงวัฒนธรรมอันดีงามทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
มีโลกทัศน์ทางวัฒนธรรมที่กว้าง
ขวางและรู้จักเลือกสรรไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองและสังคม
ซึ่งมีแนวทางการพัฒนาหลักดังนี้
1. การเสริมสร้างวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาคนและสังคม โดย
1.1 การเสริมสร้างสมรรถภาพของชุมชนหรือสังคมให้เข้มแข็งสามารถพึ่งตนเองโดยตระหนักถึง
สิทธิและหน้าที่ทั้งต่อตัวเองและสังคม
เพื่อให้เป็นฐานของการพัฒนาชุมชนต่าง ๆ ทั้งในเมืองและชนบท
1.2 การสนับสนุนเวทีวัฒนธรรมในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น
การสนับสนุนกิจกรรมทางวัฒนธรรม
ที่ริเริ่มโดยชุมชนท้องถิ่น
การสร้างเวทีเสนอผลงานและเผยแพร่งานด้านศิลปวัฒนธรรม
การพัฒนาระบบจูง
ใจและกระบวนการสร้างสรรค์ด้านศิลปวัฒนธรรมแก่การสร้างผลงานที่มีคุณค่าต่อสังคม
1.3 การส่งเสริมการพัฒนาอย่างสมดุลระหว่างคน เศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อม
(1) สนับสนุนการวางกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่างคน
ชุมชน กับทรัพยากรธรรมชาติ
และระหว่างกลุ่มคนในสังคม
โดยใช้หลักความร่วมมือของประชาชนเป็นแนวทางในการดูแลพฤติกรรมของ
สมาชิกในชุมชน
(2) สนับสนุนการปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้รับผิดชอบ
ต่อคน สังคม ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ
1.4 การส่งเสริมการใช้สื่อที่มีคุณภาพในการเผยแพร่คุณค่าของวัฒนธรรม
(1) ส่งเสริมให้มีสื่อคุณภาพที่น่าสนใจและมีลักษณะหลากหลายเพื่อถ่ายทอดและปลูกฝังคุณค่าที่ดี
งาม และค่านิยมที่เสริมสร้างความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย
และกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจ
ซาบซึ้งและนำไปปฏิบัติร่วมกันได้
(2) ส่งเสริมวัฒนธรรมการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพของสื่อมวลชน
และเพื่อให้
ประชาชนสามารถเลือกรับข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพ
(3) สนับสนุนให้สื่อร่วมกันตรวจสอบคุณภาพ
มาตรฐานของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เผยแพร่ออกสู่
ประชาชน
2. การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและนำมิติทางวัฒนธรรมมาใช้ใน
การพัฒนา โดย
2.1 ปรับเนื้อหาสาระหลักสูตรการศึกษาทุกระดับให้เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม
โดยการปรับกระบวนการ
เรียนรู้ที่ใช้ความจริงเป็นหลักและมีการเรียนรู้จากรากฐานทางวัฒนธรรม
2.2 ส่งเสริมการวิจัย การรวบรวมข้อมูลข่าวสารความรู้
รวมทั้งการสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารและผลการ
วิจัยเพื่อเสริมสร้างภูมิปัญญาให้สูงขึ้น
2.3 สนับสนุนให้มีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดอย่างสม่ำเสมอและการสร้างสื่อสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม
2.4 ส่งเสริมวัฒนธรรมกับการท่องเที่ยวและการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจและสังคม
3. การพัฒนาและสร้างความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมไทย โดย
3.1 สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐและท้องถิ่นในการทำนุบำรุงสร้างสรรค์และพัฒนา
โบราณสถาน พิพิธภัณฑสถาน หอสมุด ฯลฯ
3.2 เผยแพร่คุณค่า รักษา
สืบทอดเอกลักษณ์ความเป็นไทยและการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมสาขา
ต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบันและอนาคต
4. การเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก
รวมทั้งการขยายโลก
ทัศน์ทางวัฒนธรรม โดย
4.1 ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจถึงรากฐานวัฒนธรรมระดับชาติ
ระดับท้องถิ่น และประโยชน์ของ
วัฒนธรรมที่มีต่อชุมชน
และการยอมรับวิถีชีวิตที่แตกต่างหลากหลายภายในสังคม
4.2 สนับสนุนการแลกเปลี่ยน เรียนรู้
สร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีเกี่ยวกับวัฒนธรรม
ไทยกับนานาชาติ
และให้สามารถรับวัฒนธรรมต่างชาติมาประยุกต์ใช้อย่างรู้เท่าทัน
4.3 ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการสัญจรทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างจิตสำนึกความรู้
ความเข้าใจ เกิด
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าของวิถีชีวิตภูมิ-ปัญญาดั้งเดิมของตนเองและผู้อื่น
รวม
ทั้งดูแลป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมดังกล่าว
5. การพัฒนาการบริหารจัดการด้านวัฒนธรรม โดย
5.1 สนับสนุนการจัดทำและประสานแผนปฏิบัติการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและ
เอกชนให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย
และแนวทางด้านวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา
5.2 ส่งเสริมและประสานชุมชนและองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นให้มีความรู้ความเข้าใจและขีดความ
สามารถในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมเพื่อท้องถิ่น
5.3 สนับสนุนการระดมทุนเพื่อเพิ่มวงเงินกองทุนวัฒนธรรมให้มีจำนวนมากเพียงพอต่อการส่ง
เสริมวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา
5.4 สนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ กฎกระทรวง
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยว
ข้องกับงานด้านวัฒนธรรมให้มีความชัดเจนและมีความเป็นเอกภาพ
รวมทั้งดำเนินการกระจายอำนาจ เพื่อ
ช่วยให้การบริหารงานด้านวัฒนธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5.5 สร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์เกี่ยวกับทรัพยากรทางวัฒนธรรมและสร้างดัชนีชี้วัดด้านวัฒน
ธรรมกับการพัฒนาเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและการติดตามประเมินผล
5.6 ระดมสรรพกำลังในการดำเนินงานวัฒนธรรม
โดยเปิดโอกาสให้ประชาชน สถาบันสังคม
หน่วยงานภาครัฐ ธุรกิจเอกชน
องค์กรพัฒนาเอกชนทุกแห่งเข้ามามีส่วนร่วมตามความสามารถ ความถนัด
และความสนใจด้วยการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน
CONTACT
Email me at pisitp@yahoo.com for your comment and/or discussions.
This page hosted by
Get your own Free Home Page