PsTNLP

Pisit' s Thai Natural Language Processing Laboratory
This lab is formed since 26-August-1998
e-mail pisitp@yahoo.com
Back to PsTNLP home page

ส่วนที่ 5
การพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจ
เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคนและคุณภาพชีวิต


การพัฒนาสังคมไทยที่พึงปรารถนา โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคนไทยทุกคนให้เต็มศักยภาพ และ มีการพัฒนาสภาวะแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อหนุน ตลอดจนการเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาของภูมิภาคและ ชนบทด้วยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและดูแลรักษาสภาวะแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ จะต้องมีการเสริมสร้างสมรรถนะทางเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง มั่นคง และมีขีดความสามารถแข่งขันภาย ใต้กระแสโลกาภิวัตน์อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การพัฒนาเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนการพัฒนาประเทศในทิศทางใหม่ดังกล่าวข้างต้น จะต้องเป็นการ พัฒนาที่ไม่ยึดถือคนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการผลิตเช่นในอดีตที่ผ่านมา แต่จะต้องเป็นการพัฒนาที่ให้ประ โยชน์ที่ยั่งยืนแก่คนไทย เป็นระบบเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างมีคุณภาพ โดยมีพื้นฐานการขยายตัวจากการมี ส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของคนทุกคนในสังคม มีการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่ที่มีการ พัฒนาอยู่แล้วให้เป็นฐานเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ มั่นคง และการสร้างโอกาสในการพัฒนาฐานเศรษฐกิจใหม่ ของประเทศเพิ่มขึ้น โดยให้คนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมและได้รับโอกาสในการพัฒนาอย่างทั่วถึง มีการเพิ่ม พูนทักษะและความรู้ความสามารถของคนด้วยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการสร้างรากฐาน การผลิตที่เข้มแข็ง มีความสมดุลระหว่างภาคการผลิต ควบคู่ไปกับพัฒนาเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนภายใต้ระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ และการแข่งขัน อย่างเสรี

บทที่ 1
วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์

เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 สามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนและ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นการวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลกได้ กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจไว้ดังนี้

1. วัตถุประสงค์

1.1 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้มีการกระจายตัวไปในระดับพื้นที่ ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพให้คนทุก กลุ่มได้มีโอกาสพัฒนาตนเองจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาและได้รับประโยชน์จากการขยายตัว ทางเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างทั่วถึง

1.2 เพื่อเสริมสร้างรากฐานการผลิตที่เข้มแข็ง เกิดความสมดุลระหว่างภาคการผลิตและสร้างโอกาส การมีงานทำและเพิ่มรายได้โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคม

1.3 เพื่อเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง และมีประสิทธิภาพ

1.4 เพื่อให้การบริหารจัดการเศรษฐกิจ สามารถปรับตัวได้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงสภาพแวด ล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศ

2. เป้าหมาย

2.1 เป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐ กิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

(1) พัฒนากลุ่มจังหวัดในภูมิภาคและพื้นที่ชายแดนในประเทศ รวมทั้งกลุ่มจังหวัด และพื้นที่ชายแดน ที่จะสามารถเชื่อมเข้ากับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน

(2) พัฒนากลุ่มพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกให้เป็นฐานเศรษฐกิจสมบูรณ์ ของประเทศนอกเหนือจากกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ให้เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ในระยะยาว

(3) พัฒนากลุ่มพื้นที่ภาคมหานครที่จะเชื่อมโยงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ชายฝั่งทะเลตะวันออก อนุภาคกลางตอนบนและอนุภาคตะวันตก

2.2 เป้าหมายการสร้างรากฐานการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มโอกาสการมีงานทำ

(1) พัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมชุมชนให้เป็นแหล่งรองรับและเชื่อมโยงการผลิต

โดยให้อุตสาหกรรมการเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตรมีบทบาทต่อการผลิตรวมของประเทศเพิ่มขึ้น นำไป สู่การเพิ่มรายได้และการมีงานทำของเกษตรกร

(2) จัดหาบริการพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิตของเกษตรกรทั้งที่เป็นแหล่งน้ำ และ ตลาดกลางสินค้าเกษตรระดับต่าง ๆ ในพื้นที่ที่เหมาะสม

(3) ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีจำนวนนัก ท่องเที่ยวต่างประเทศขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7 ต่อปี และมีการขยายตัวของรายได้เงินตราต่างประเทศไม่น้อย กว่าร้อยละ 15 ต่อปี รวมทั้งสนับสนุนให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ต่อปี

(4) เพิ่มการสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาให้ได้ร้อยละ 0.75 ของผลผลิตรวมในประเทศ โดยเพิ่มงบประมาณอุดหนุนการวิจัยของรัฐให้เป็นร้อยละ 2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

(5) ขยายปริมาณและเพิ่มคุณภาพโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการขยายฐานการผลิตและเสริมสร้าง คุณภาพชีวิตที่ดี

(6) จัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการและยกระดับคุณภาพการบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การผลิตและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

2.3 เป้าหมายการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทย

(1) รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง โดย

(1.1) รักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเฉลี่ยร้อยละ 4.5 ต่อปี

(1.2) ลดการขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดให้เหลือร้อยละ 3.9 และร้อยละ 3.4 ของผล ผลิตรวมในประเทศตามลำดับในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

(1.3) รักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี เพื่อรองรับการจ้างงานของ ประชาชนที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 34 ล้านคนในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

(2) เร่งระดมและสร้างโอกาสการออมของครัวเรือนเพื่อให้ประชาชนสามารถออมเงินได้เพิ่มขึ้นเป็น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของผลผลิตรวมในประเทศในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจ

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนาสมรรถนะทางเศรษฐกิจ จึงกำหนดยุทธศาสตร์การ พัฒนาไว้ 3 ประการ ได้แก่

3.1 การพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่
3.2 การสร้างฐานการผลิตให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก
3.3 การเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและมีเสถียรภาพ

บทที่ 2
การพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่

การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้กระจายตัวไปในระดับพื้นที่ได้อย่างมั่นคงนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เสริมสร้างศักยภาพของคนและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ให้สามารถปรับตัวตามกระแสการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจและสังคม ด้วยการสร้างประสิทธิภาพให้แก่ฐานการผลิตที่มีอยู่แล้วและที่จะเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนาอาชีพและการมีงานทำ ให้สอดคล้องกับศักยภาพ ของแต่ละพื้นที่ ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของพื้นที่ นอกจากจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบของสภาพภูมิ เศรษฐกิจของพื้นที่แล้วยังต้องมีการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ที่เป็นเอกภาพและครบวงจรควบคู่ไปกับการพัฒนา กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนการพัฒนาคนและการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน รวมทั้งการดูแลกลุ่มคน จนที่อาศัยอยู่ในเมืองและชุมชนแออัดให้สามารถพัฒนาตัวเองได้ในระยะยาวซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนาศักยภาพ ทางเศรษฐกิจของพื้นที่และคนที่อาศัยในพื้นที่สามารถเกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้อย่างต่อเนื่อง

1. การบริหารจัดการพื้นที่เพื่อการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ

1.1 พัฒนากลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพทางภูมิเศรษฐกิจร่วมกันทั้งทางด้านทรัพยากร และโครงสร้างการ ผลิต โดยเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนและจัดการตั้งแต่ต้น

1.2 สนับสนุนบทบาทภาคเอกชนในการพัฒนาพื้นที่ภูมิภาคและชนบทโดยปรับนโยบายส่งเสริมการ ลงทุนให้ยึดปัจจัยเชิงพื้นที่เป็นเกณฑ์หลักในการส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดการเชิง พื้นที่

1.3 กระจายบริการโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม โดยเฉพาะการศึกษาที่ได้มาตรฐานทัดเทียมกับการให้ บริการในเขตกรุงเทพมหานครไปสู่พื้นที่ในภูมิภาคและชนบท เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคน และหยุดยั้ง การอพยพเข้าเมืองใหญ่ ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสูงกระจายออกไปตั้งถิ่น ฐานตามพื้นที่ต่าง ๆ ได้

1.4 พัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ให้ประสานเป็นโครงข่ายที่ สนับสนุนการพัฒนาชุมชนเมืองและชนบทอย่างเป็นระบบ

1.5 เสริมสร้างฐานชุมชนเมืองที่มีอยู่ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมทั้งกลุ่มเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้น ทั้งในภาค มหานคร กลุ่มจังหวัด ศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคและบริเวณเมืองชายแดน พื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ และ พื้นที่ชุมชุมเมืองใหม่

1.6 จัดให้มีระบบการวางแผนและประสานงานการพัฒนาแบบบูรณาการ โดย

(1) สนับสนุนให้เมืองที่เป็นชุมชนศูนย์กลางของพื้นที่ สามารถทำหน้าที่เป็นฐานรองรับและกระจาย การพัฒนาไปสู่ชุมชนโดยรอบ มีการจัดระเบียบเมืองและชุมชนที่ดี โดยมีการวางผังเมือง ระบบสาธารณูปโภค ป้องกันและควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและบริการ ทางสังคม เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของชุมชนศูนย์กลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีโครงข่ายโครงสร้างพื้น ฐานที่เชื่อมโยงกับชุมชนโดยรอบ และเมืองอื่น ๆ ในพื้นที่เพื่อการเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม

(2) ยึดแนวทางการประสานแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา พื้นที่เฉพาะเป็นหลักในการจัดสรรทรัพยากรในการพัฒนาของภาครัฐ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาค เอกชน องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ

(3) เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรท้องถิ่นในทุกระดับในการวางแผนการจัดการและงบประมาณ

เพื่อการประสานความร่วมมือและผนึกกำลังกับภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรชุมชนทั้งภายใน และภายนอกในการพัฒนา

2. การพัฒนาพื้นที่และชุมชนเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการสร้างรายได้

2.1 การพัฒนาพื้นที่อนุภาคและพื้นที่ชายแดน เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งและโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่ เมือง ชุมชน และคนในพื้นที่ โดยสร้างความเข้มแข็งให้แก่เมืองที่เป็นชุมชนศูนย์กลางของอนุภาคและเมืองชาย แดน ซึ่งมีศักยภาพที่จะเป็นประตูการค้าติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาชาติให้สามารถเชื่อมโยงกับชุมชน ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ และเปิดติดต่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอินโดจีน กลุ่ม ประเทศอาเซียน และนานาชาติได้มากขึ้น อันจะเป็นการพัฒนาฐานการผลิตใหม่ของประเทศในระยะยาวต่อไป

(1) พื้นที่ภายใต้ความร่วมมือเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการ พัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ เมือง และชุมชน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งผลเชื่อมโยงถึงพื้นที่ ภาคใต้ตอนบนภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โดยอาศัยความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศ เพื่อนบ้าน ในด้านการค้า การลงทุน พลังงาน และโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน

(2) พื้นที่ภายใต้ความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียด นาม และจีน (มณฑลยูนาน)) เพื่อสนับสนุนการสร้างอาชีพและการมีงานทำของคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกของประเทศ เป็นการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจของ อนุภาคและกลุ่มจังหวัดต่าง ๆ เพื่อกระจายความเจริญไปยังเมืองศูนย์กลางและเมืองชายแดน ซึ่งจะเป็นตัวกลาง ในการถ่ายทอดผลการพัฒนาไปยังพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการติดต่อและร่วมมือ ทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการลงทุน การค้า การท่องเที่ยว และโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐาน

(3) พื้นที่ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุทวีป (ไทย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ และเมียน มาร์) ซึ่งจะพัฒนาความร่วมมือด้านการค้า อุตสาหกรรม พลังงาน การบิน และโครงข่ายการเดินเรือ โดยอาศัย โครงสร้างพื้นฐานที่จะพัฒนาขึ้นบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน เป็นฐานเศรษฐกิจที่จะส่งผลถึงพื้นที่ภาคใต้และ ด้านตะวันตกของประเทศ

2.2 การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ให้สมบูรณ์ และพร้อมที่จะรองรับการกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนย้ายประชากร โดยเฉพาะ จากกรุงเทพมหานครและปริมณฑลไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นี้ได้เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการยกระดับให้เป็นประตู เศรษฐกิจของประเทศที่สามารถเชื่อมโยงทางอากาศกับนานาชาติ นอกเหนือจากทางทะเล โดย

(1) พัฒนาโครงข่ายระบบการขนส่งต่อเนื่องจากที่มีอยู่แล้ว ดังนี้

(1.1) พัฒนาโครงข่ายถนนสายใหม่เชื่อมโยงพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนล่าง และกลุ่มประเทศอินโดจีน และก่อสร้างถนนสายรอง เพื่อเปิดพื้นที่ใหม่ที่มีศักยภาพและพัฒนาเป็น เขตอุตสาหกรรมและชุมชนเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด

(1.2) ลงทุนระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีในการเดินทางของประชาชนเชื่อมโยงกรุง เทพมหานครกับท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 และแหล่งชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันออก

(2) สนับสนุนให้มีการจัดตั้งนิคม/เขตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กในพื้นที่ตอนในที่มีศักย ภาพ เพื่อส่งเสริมการลงทุนและจ้างงาน

(3) พัฒนาท่าเรือพาณิชย์ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกให้เป็นท่าเรือหลักของประเทศแทนท่าเรือ คลองเตยภายในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 และ 4 ให้แล้วเสร็จในช่วง 5 ปีต่อไป เพื่อเป็นฐานเศรษฐกิจหลักที่จะรองรับการจ้างงานของประชากรในพื้นที่ ควบคู่ไปกับการดูแลรักษา สภาวะแวดล้อมที่ดีให้คงไว้

(4) พัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น และสนับสนุนภาคเอกชนให้ เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการผลิตทางอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงกับการขนส่งทางอากาศ และความก้าว หน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบิน

(5) พัฒนาแหล่งน้ำ ระบบผลิตและจำหน่ายน้ำ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพให้เพียงพอและทั่วถึง สำหรับชุมชนและแหล่งอุตสาหกรรม โดยสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

(6) จัดให้มีพื้นที่เพื่อการพัฒนาบริการโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมด้านการศึกษา สาธารณสุข การ ฝึกอบรมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ เพื่อรองรับประชาชนที่อพยพเคลื่อนย้าย จากที่ต่าง ๆ เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยอย่างถาวรและให้ประชาชนได้รับผลจากการพัฒนาอย่างสมบูรณ์

(7) จัดระบบกลไกการบริหารจัดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกให้เกิดความคล่องตัวและมีประ สิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การมีองค์กรถาวรที่มีเอกภาพทำหน้าที่กำกับดูแลการวางแผน การพัฒนาและ การบริหารจัดการภายในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ

(8) พัฒนาระบบกลไกเพื่อสร้างกระบวนการให้ประชาชนและชุมชนในระดับพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนงานการพัฒนาของรัฐและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

2.3 การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการขนส่งทางทะเลของประเทศไทย โดย อาศัยศักยภาพด้านภูมิเศรษฐกิจตอนใต้ในการพัฒนา สะพานเศรษฐกิจ ด้วยระบบคมนาคมขนส่งสมัยใหม่ที่ มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงทะเลอันดามันกับอ่าวไทย อันจะเป็นการเปิดประตูเศรษฐกิจใหม่ของประเทศออกสู่ ทะเลด้านมหาสมุทรอินเดีย และช่วยส่งเสริมโอกาสของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงเศรษฐกิจ กลุ่มเอเซียตะวันออกและกลุ่มเอเซียใต้ ดังนี้

(1) พัฒนาโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานหลัก นิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ และเขตชุมชน เพื่อสนับสนุน การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การบริหารจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อม

(1.1) ริเริ่มการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกชายฝั่งทะเล ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของภาคใต้ในพื้นที่ที่ เหมาะสม และจัดระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงทะเลอันดามันกับอ่าวไทยเพื่อการขนส่งสินค้าและกระจาย ความเจริญไปสู่ภาคใต้

(1.2) พัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่ง ทั้งทางถนน รถไฟ และท่อน้ำมัน และถนนเชื่อมทะเลอันดา มันกับอ่าวไทย พร้อมทั้งโครงข่ายถนนรองรับให้สอดคล้องกับผังเมือง

(2) สนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนในการลงทุนในอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมัน อุตสาหกรรมปิโตร เลียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ

(3) ประสานความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่ในการจัดหาที่ดิน และการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อรองรับ การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ในระยะเริ่มแรกและระยะยาว

(4) วางระบบบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการที่เข้มงวดเพื่อ สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะการฟื้นฟูบูรณะแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่อ่าวกระบี่ พังงา ภูเก็ต และทะเลโดยรอบเกาะสมุย

(5) จัดให้มีกลไกการบริหารและจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โดยมีองค์กรที่มีเอกภาพ เพื่อทำหน้า ที่พัฒนา บริหาร และประสานการปฏิบัติการตามแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้อย่างเป็นระบบ โดยให้ ประชาชนและชุมชนในระดับพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนงานการพัฒนาของรัฐและการติดตาม ความก้าวหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง

(6) จัดให้มีพื้นที่เพื่อการพัฒนาบริการโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ด้านการศึกษา สาธารณสุข การฝึก อบรมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลจากการพัฒนาอย่าง สมบูรณ์

2.4 การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก เพื่อให้เป็นศูนย์กลางรองรับการกระจายความเจริญออกจาก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปสู่ภูมิภาคอีกพื้นที่หนึ่งนับตั้งแต่ช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (2540-2544) เป็นต้นไป ด้วยการริเริ่มพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งสู่ฝั่งทะเลอันดามันในเมียนมาร์ และพัฒนาอุตสาหกรรม ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาร์เป็นเชื้อเพลิงในบริเวณตอนบนของพื้นที่ควบคู่ไปกับการเร่งให้การสนับสนุน ภาคเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กสมบูรณ์แบบและท่าเรือน้ำลึกในบริเวณตอนใต้ของพื้นที่ โดย

(1) จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก เน้นการใช้ประโยชน์ที่ดิน การบริหารและ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับบทบาททางเศรษฐกิจในแต่ละกลุ่มพื้นที่

(2) เร่งจัดทำแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น น้ำ ถนน ไฟฟ้า และท่าเรือ เพื่อสนับสนุน การลงทุนที่สนองตอบนโยบายกระจายอุตสาหกรรมไปในพื้นที่

(3) ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่เชื่อมโยงไทย-เมียนมาร์ บริเวณที่เป็น ประตูออกสู่ทะเลอันดามัน

(4) วางระบบบริหารและการจัดการพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันตก โดยมีองค์กรทำหน้าที่ในการประสาน และผลักดันให้มีการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ

2.5 การพัฒนาพื้นที่ภาคมหานคร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชุมชนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ชุมชน ชายฝั่งทะเลตะวันออก ชุมชนอนุภาคกลางตอนบน และชุมชนอนุภาคตะวันตก เพื่อให้เป็นฐานเศรษฐกิจที่ เกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการกำหนดแนวทางการขยายตัวของกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล ตลอดจนมีการประสานการจัดการใช้ประโยชน์ที่ดินและการลงทุนโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่ สอดคล้องกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฐานการผลิตหลักของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนใน ภาคมหานคร ดังนี้

(1) จัดระเบียบการขยายตัวของชุมชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อพัฒนาให้คนเป็นศูนย์ ธุรกิจ การเงิน การค้า และศูนย์ข่าวสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย

(1.1) ชุมชนใจกลางเมืองมหานคร โดยพัฒนาฟื้นฟูเกาะรัตนโกสินทร์ตามแผนแม่บท ได้แก่ การฟื้น ฟูชุมชนเมืองเดิมที่เสื่อมสภาพ การจัดระเบียบการก่อสร้างและขยายตัวของย่านธุรกิจการค้าและที่อยู่อาศัยที่ เป็นอาคารสูง โดยยังรักษาสภาพแวดล้อมชุมชนที่ดีให้คงไว้

(1.2) ชุมชนชานมหานคร โดยวางแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงชุมชน ชานมหานครกับพื้นที่ชุมชนใจกลางมหานคร พร้อมทั้งจัดโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสำหรับ การพัฒนาที่อยู่อาศัย ศูนย์ราชการ ตลอดจนจัดระเบียบศูนย์ธุรกิจการค้าที่จะช่วยรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ของชุมชนชานมหานคร เพื่อบรรเทาความแออัดของใจกลางเมืองมหานครได้

(1.3) ชุมชนเมืองใหม่ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเป็นชุมชนเมืองใหม่ที่มีศักยภาพ เป็น แหล่งสร้างงาน และสามารถรองรับการกระจายกิจกรรมและการลงทุนจากกรุงเทพมหานคร โดยมีการจัดโครง ข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมทั้งดำเนินการเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีควบคู่ กันไป

(2) พัฒนาชุมชนพื้นที่ตอนในชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะบริเวณจุดตัดถนนทางหลวงกับสถานี รถไฟ โดยการพัฒนาชุมชนเมืองที่เป็นระบบทั้งด้านการใช้ที่ดิน โครงข่ายระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบ โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมเพื่อบริการชุมชนเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง

(3) พัฒนาชุมชนอนุภาคกลางตอนบนและชุมชนอนุภาคตะวันตก โดยแบ่งเขตการใช้ที่ดินเพื่อที่อยู่ อาศัย พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมและเกษตรกรรม โดยครอบคลุมถึงพื้นที่ระดับจังหวัด เพื่อให้การดำเนินงาน เป็นระบบและไม่เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะจากโรงงานอุตสาหกรรม

(4) แก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทุกกลุ่มและสังคมให้ดีขึ้น โดยมีแนวทางดังนี้

(4.1) ให้ความสำคัญลำดับแรกต่อระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเตรียมการ ขยายโครงข่ายออกไปยังชุมชนชานเมืองรอบกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ความสะดวกในการเดินทางของประ ชาชนและช่วยลดการใช้รถส่วนบุคคลในการเดินทางเข้าออกในเขตกรุงเทพมหานคร

(4.2) ใช้ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนและระบบรถไฟฟ้าเป็นปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาชุมชนชาน มหานคร ชุมชนเมืองใหม่ และศูนย์ธุรกิจให้กระจายออกไปอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความแออัดภายในเมือง และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน

(4.3) จัดให้มีสถานีกลางระบบขนส่งในย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเชื่อมโยงระบบรถไฟฟ้า ขนส่งมวลชนและระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ ในการอำนวยความสะดวกและให้บริการที่ดีแก่ประชาชน ทั้งนี้ รวมถึงการจัดระบบอำนวยความสะดวกในการใช้บริการทั้งในเขตย่านสถานีและการเข้าถึงย่านสถานี

(4.4) สนับสนุนให้หน่วยงานของภาครัฐและเอกชนย้ายแหล่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่ง ก่อให้เกิดการขนส่งเป็นจำนวนมากในพื้นที่ย่านธุรกิจชั้นในที่แออัดคับคั่ง รวมทั้งหน่วยงานราชการให้กระจาย ออกไปอยู่พื้นที่ที่จัดเตรียมไว้นอกกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และส่งเสริมให้มีการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ พร้อมกับแหล่งที่อยู่อาศัย เพื่อให้การพัฒนาพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์

(4.5) จัดระบบการจราจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้รถและใช้ถนนให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะ ในย่านธุรกิจและเขตชานเมือง รวมทั้งนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะการสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโน โลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการจัดระบบจราจรให้มากขึ้น ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้ม งวด และการร่วมมือกันระหว่างรัฐกับประชาชน องค์กรพัฒนาเอกชน ในการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ผู้ขับรถมี วินัยการจราจรอย่างเคร่งครัด

(4.6) จัดให้มีโครงข่ายถนนเลี่ยงเมืองรอบเขตกรุงเทพมหานครให้เชื่อมโยงเป็นโครงข่ายเข้ากับถนน วงแหวน เพื่อช่วยลดความแออัดของการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร

(5) กำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประสิทธิภาพ โดย

(5.1) กำหนดพื้นที่เพื่อใช้ในการระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณด้าน ตะวันออกและด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดอ่างทองจนถึงสมุทรปราการ

(5.2) กำหนดพื้นที่รอยต่อระหว่างชุมชนเมืองให้มีความหนาแน่นน้อย และในระยะยาวรักษาไว้เป็น พื้นที่น้ำหลากเพื่อป้องกันน้ำท่วมในเขตเมือง

(5.3) กำหนดให้มีพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์และพื้นที่สีเขียว เพื่อพัฒนาแหล่งอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม และเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะขนาดต่าง ๆ

(5.4) รัฐเป็นแกนนำในการปรับปรุงพื้นฟูเมือง โดยนำเอาที่ดินของส่วนราชการที่ยังใช้ประโยชน์ไม่ เต็มที่มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน และถนนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาจราจร

(6) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการจัดการด้านผังเมืองอย่างเป็นระบบและ เกิดประสิทธิผลในทางปฏิบัติ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีบทบาทหลักในการพัฒนาและการจัดทำ งบประมาณอย่างมีขั้นตอน

3. การจัดให้มีองค์ประกอบของชุมชนที่สมบูรณ์ โดยรัฐสนับสนุนให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวน การวางแผนและจัดการกันเอง

3.1 สนับสนุนให้มีกลไกและองค์กรระดับท้องถิ่นเพื่อเป็นแกนกลางในการจัดทำผังเมืองรวม ผังเมือง เฉพาะของชุมชนและแผนแม่บทการพัฒนาชุมชนชายแดน

3.2 สนับสนุนให้มีระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างชุมชนศูนย์กลางต่าง ๆ และ ชนบท

3.3 นำที่ดินของรัฐในเมือง โดยเฉพาะที่ดินที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มาพัฒนาให้เกิดการใช้ประโยชน์ อย่างสมดุลระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของชุมชน

4. การรักษาสภาพแวดล้อมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมือง

4.1 จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเมืองและแผนปฏิบัติการ เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาสิ่งแวด ล้อมเมืองตามลำดับความสำคัญของปัญหา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนจัดทำแผนการลงทุนเพื่อ ให้สามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาสิ่งแวดล้อมเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ

4.2 ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนพัฒนาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเมืองมากขึ้น

ด้วยการนำมาตรการส่งเสริมการลงทุนมาใช้กับกิจการด้านการควบคุม ป้องกันและแก้ไขมลพิษที่ภาคเอกชน เป็นผู้ดำเนินการ รวมทั้งพิจารณาสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดภาระการลงทุนของ ภาคเอกชน

4.3 พิจารณาให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนประกาศเขตอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการ ดำเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐที่จะมีผลต่อสาธารณชนทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อสร้างความเข้าใจ และให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมตลอดทั้งให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการมากขึ้น

4.4 เตรียมการป้องกันและควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการขยายตัวของชุมชนเมืองใน เมืองศูนย์กลางความเจริญในภูมิภาคและเมืองชายแดน โดยให้มีแนวทางควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่าง มีประสิทธิภาพ ตลอดจนใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อการควบคุมมลพิษ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และ การรักษาสภาพแวดล้อม

4.5 ปรับสภาพแวดล้อมในชุมชนแออัดให้เหมาะสมและขยายบริการสังคมให้เข้าถึงชุมชนอย่าง กว้างขวาง รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคสังคมเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคเอดส์และการป้องกัน ปัญหามลภาวะพิษ

5. การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจนในเมือง การสร้างโอกาสให้แก่ชุมชน และคนจนในเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่ผ่าน มา จำเป็นต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของคนจนที่อยู่ในเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาที่อยู่อาศัย อาชีพ รายได้ บริการสังคม และสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชุมชนและคนจนในเมืองสามารถก่อร่างสร้าง ตัวและช่วยเหลือตนเองต่อไปได้อย่างถาวร โดยมีแนวทางพัฒนาดังนี้

5.1 ให้มีคณะกรรมการประสานการพัฒนาชุมชนเมืองระดับชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย ประสานและ กำกับดูแลการดำเนินงานและงบประมาณในการพัฒนาชุมชนแออัด และคนจนในเมืองอย่างเป็นเอกภาพ โดย มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีรองรับและมีผู้แทนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการประสานกับคณะกรรมการ ในระดับท้องถิ่นต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

5.2 การเพิ่มบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดและคนจนในเมือง

(1) จัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนเมือง โดยสนับสนุนด้านสินเชื่อและอื่น ๆ สำหรับการแก้ปัญหาด้าน ที่อยู่อาศัย อาชีพ สภาพแวดล้อม สุขภาพอนามัย และการรื้อย้ายชุมชน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและปรับปรุง พัฒนาชุมชนแออัดและคนจนในเมือง สามารถดำเนินการได้อย่างกว้างขวาง ครบวงจร และต่อเนื่อง

(2) สนับสนุนให้มีการพิจารณาจัดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับชุมชนแออัด รวมทั้งปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาชุมชนแออัดและคนจนในเมือง ตลอดจนปรับวิธีการจัดสรรงบประมาณให้ ลงสู่ชุมชนอย่างแท้จริง

(3) จัดทำแผนการพัฒนาและจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสมของชุมชนแออัด แรงงานอุตสาหกรรมและคนจน ในเมือง รวมทั้งแผนป้องกันการเกิดชุมชนแออัด โดยให้ชาวชุมชนมีบทบาทสำคัญในการจัดเตรียมแผนไว้ล่วง หน้าร่วมกับเจ้าของที่ดินและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีหน่วยงานภายนอกอื่น ๆ ร่วมให้การสนับสนุน รวมทั้งการพิจารณานำที่ดินของรัฐที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่มาใช้ประโยชน์ให้เกิดความสมดุลทั้งในเชิงเศรษฐ กิจและการพัฒนาที่อยู่อาศัยของคนจนในเมือง

(4) ใช้มาตรการภาษีส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย เช่น เพิ่มค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาในส่วนค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น

5.3 พัฒนาขีดความสามารถของชุมชนแออัดเพื่อเพิ่มบทบาทการมีส่วนร่วมในการพัฒนา

(1) ส่งเสริมความรู้ทักษะในการจัดการทางการเงินของชาวชุมชนและกลุ่มออมทรัพย์ในชุมชนให้เข้ม แข็ง และสามารถสร้างโอกาสการระดมเงินทั้งจากแหล่งงบประมาณของรัฐ ภาคเอกชนและแหล่งเงินกู้ในระบบ เพื่อการพัฒนาชุมชน อาชีพ และที่อยู่อาศัยได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

(2) ส่งเสริมพัฒนาชุมชนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาฝึกอบรมผู้นำชุมชนและผู้นำกลุ่ม เยาวชนให้ตระหนักถึงการปรับปรุงพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมในชุมชน และระดมความร่วมมือจากผู้อยู่อาศัย ในชุมชนให้ดำเนินการพัฒนาร่วมกันกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่น

5.4 จัดระบบองค์กรและหน่วยงานที่สามารถเอื้ออำนวยในการเจรจาตกลงเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง

ระหว่างเจ้าของที่ดินและชาวชุมชนให้สิ้นสุด และเป็นไปโดยราบรื่นสันติ ตลอดจนจัดให้มีการประมวลความ อบรมและเพิ่มพูนความชำนาญเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งดังกล่าว

บทที่ 3 การสร้างฐานการผลิตให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก

การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านเศรษฐกิจ การค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการเปิด เสรีทางการค้าและบริการ รวมทั้งกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างประเทศใหม่ ๆ จะมีผลทำให้รูปแบบการผลิตและ การค้าของประเทศต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งนี้ในการสร้างรากฐานการผลิตที่เข้ม แข็งในระยะยาวจำเป็นต้องรักษาภาคเกษตรให้ยังคงเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ เพื่อเสริมสร้างศักย ภาพของประเทศไทยในการเป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงประชากรภายในประเทศและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรราย สำคัญของตลาดโลก มีการเชื่อมโยงกิจกรรมระหว่างภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ โดยการพัฒนาวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้ทรัพยากรและปัจจัยการผลิตของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แทนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย ตลอดทั้งการพัฒนาบริการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิ ภาพการผลิต และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกระดับให้ดีขึ้น

1. การปรับโครงสร้างการผลิตให้เข้มแข็งเพื่อให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดโลก

1.1 การสร้างรากฐานการผลิตที่มั่นคง

(1) การปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตร และการแปรรูปการเกษตร โดย

(1.1) ปรับโครงสร้างการใช้ที่ดินการเกษตรไปสู่การกระจายการผลิตมากขึ้น มีการกระจายพื้นที่ทำนา ไปยังพืชอื่น ๆ โดยให้มีแหล่งน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กเพียงพอกับความต้องการในแต่ละพื้นที่

(1.2) สนับสนุนภาคเอกชนและชุมชนในการปลูกสวนป่าเพื่อสนองความต้องการใช้ไม้ในประเทศ

รวมทั้งในอุตสาหกรรมแปรรูปจากไม้ และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับการใช้ไม้เป็นวัตถุดิบ

(1.3) สนับสนุนอุตสาหกรรมการเกษตรและการแปรรูปสินค้าเกษตร โดยจัดตั้งเขตการผลิตสินค้า เกษตรเพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรม โดยคำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่ และให้สิ่งจูงใจเป็นพิเศษด้านภาษี และเงินทุนดอกเบี้ยเงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่จัดตั้งในแหล่งวัตถุดิบ

(2) ปรับโครงสร้างการผลิตด้านอุตสาหกรรมและบริการ

(2.1) เพิ่มรากฐานโครงสร้างอุตสาหกรรมให้มั่นคงโดยการพัฒนาและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาห กรรมสนับสนุน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล และอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม รวมทั้งจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมเฉพาะด้านสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม สนับสนุน อุตสาหกรรมประกอบกิจกรรมบริการและการค้าในลักษณะของเขตปลอดภาษีศุลกากรไว้ในเขต เดียวกัน

(2.2) เพิ่มขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยการเพิ่มประสิทธิภาพ การจัดหาและปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต การส่งเสริมการลงทุนและการใช้มาตรการจูงใจด้านการเงินการคลัง สำหรับกิจกรรมการพัฒนาและการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต การจัดสร้างระบบข้อมูลและเผยแพร่ความก้าว หน้าในเทคโนโลยีการผลิตระหว่างกลุ่มผู้ผลิต รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปสู่อุตสาหกรรมขนาดกลางและ ขนาดเล็ก

(2.3) พัฒนาการให้บริการและระบบการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างความมั่นใจ ให้แก่เจ้าของสิทธิและเป็นการกระตุ้นการคิดค้นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศและสนับสนุนการขยาย การส่งออกในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดดั้งเดิม

(3) การปรับประสิทธิภาพแรงงานและจัดระบบแรงงาน

(3.1) เพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรและผู้ประกอบการในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และการ บริการให้สามารถรับและทำงานร่วมกับเทคโนโลยีการผลิตใหม่โดยการเพิ่มการฝึกอบรม การให้สินเชื่อเพื่อ การฝึกอบรม และการใช้มาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนในการพัฒนาฝีมือแรงงาน รวมทั้งการ จัดตั้งสถาบันอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงานเฉพาะประเภทอุตสาหกรรม

(3.2) จัดระบบบริหารจัดการแรงงานต่างชาติที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยมิให้เกิดผลกระทบต่อ โอกาสในการมีงานทำ และรายได้ของแรงงานไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

(3.3) เพิ่มบทบาทและการมีส่วนร่วมของลูกจ้าง นายจ้าง และองค์กรต่าง ๆ ในการพัฒนาระบบแรง งานสัมพันธ์ สวัสดิการ และการคุ้มครองแรงงาน การกำหนดค่าจ้างและผลตอบแทน การประกันสังคม ตลอด จนความปลอดภัยในการทำงาน

(3.4) สนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือ วิชาชีพ การตลาด การบริหารจัดการ ข้อมูลข่าวสารและเงินทุน ให้แก่กลุ่มผู้ที่ทำงานในสาขาการจ้างงานนอกระบบ โดยเฉพาะผู้รับเหมาช่วงการผลิต ผู้รับงานไปทำที่บ้านให้มี ความสามารถในการพัฒนาธุรกิจให้เป็นระบบและสามารถแข่งขันในตลาดได้ รวมทั้งการสนับสนุนการรวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กรและสร้างเครือข่ายการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการส่งเสริมพัฒนาและคุ้มครอง ดูแลอย่างเป็นระบบ

(4) สนับสนุนองค์กรชุมชนให้มีบทบาทในการปรับโครงสร้างการผลิตและสร้างรากฐานการผลิตที่ มั่นคงของประเทศ โดยการปรับปรุงกฎหมายให้สามารถส่งเสริมอำนวยความสะดวก และรับรองสิทธิของชุม ชน ใช้มาตรการด้านการคลังและภาษีเพื่อกระตุ้นการสร้างองค์กรชุมชน สนับสนุนข้อมูลข่าวสาร การฝึกอบรม และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน

1.2 การสร้างความสมดุลของการผลิตกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

(1) สนับสนุนเกษตรกรในการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตรภายใต้แนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน สอด คล้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคของการส่ง ออกสินค้าเกษตรของไทยในระยะยาว โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูปประเภทอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ยาแผนโบราณ และอาหารปลอดสารพิษ เป็นต้น

(2) ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมในระดับต่ำ โดยให้การสนับสนุนเป็น พิเศษสำหรับอุตสาหกรรมที่นำเอาการลด-การใช้ใหม่-การแปรรูปกลับมาใช้ใหม่ เข้ามาใช้

(3) ส่งเสริมให้มีการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยการรับรอง ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ไอ เอส โอ 14000)

(4) ส่งเสริมให้มีการติดฉลากเพื่อแสดงถึงการอนุรักษ์และพิทักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ฉลากสีเขียว เพื่อ รณรงค์ให้มีการผลิตสินค้าที่ไม่ก่อปัญหามลพิษ

(5) รณรงค์และส่งเสริมการบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น พืชผักอนามัย

(6) ให้มีการกำหนดและจัดเก็บค่าบำบัดและกำจัดมลพิษจากอุตสาหกรรมและชุมชนที่สะท้อนถึงต้น ทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย รวมทั้งพิจารณาการใช้มาตรการภาษีสิ่งแวดล้อมที่เก็บ จากผู้ก่อให้เกิดมลพิษ ตลอดจนมาตรการให้สิ่งจูงใจในด้านภาษีแก่ผู้ที่รักษาสิ่งแวดล้อม

(7) ให้มีการควบคุมมลพิษจากอุตสาหกรรม โดยใช้ระบบตรวจสอบและบันทึกผล เพื่อให้สามารถ ควบคุมและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(8) จัดระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม โดยให้สิทธิพิเศษเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งโรงงาน กำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมและออกกฎระเบียบบังคับการบำบัดกากของเสีย

(9) บังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยการตรวจสอบ ลงโทษ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลอุตสาหกรรม

(10) ปรับปรุงกฎหมายเพื่อกำหนดให้โครงการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและบริการที่มีปัญหามลพิษ สูง และมีผลกระทบต่อคุณภาพชุมชนโดยตรง เช่น โรงงานอุตสาหกรรมเคมี จะต้องจัดให้มีการจัดทำประชา พิจารณ์หลังจากการจัดทำผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ และกำหนดเป็นขั้นตอนสำคัญใน การพิจารณาอนุมัติโครงการด้วย

1.3 การเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

(1) การพัฒนาด้านมาตรฐานและคุณภาพสินค้า

(1.1) พัฒนามาตรฐานสินค้า องค์กร และกลไกการตรวจสอบ ให้เข้าสู่ระดับสากลเป็นที่ยอมรับของ ต่างประเทศ โดย

ก. รัฐจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานและกฎระเบียบทางวิชาการสุขอนามัยของ ผลิตภัณฑ์เกษตร เพื่อให้ภาคเอกชนรับทราบและนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานระหว่าง ประเทศ

ข. รับรององค์กรทั้งในและต่างประเทศที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านการรับรองผลิตภัณฑ์และการ รับรองระบบคุณภาพ (ไอ เอส โอ 9000) เพื่อให้การขยายงานดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ค. พัฒนากลไกตรวจสอบของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศและลดภาระ ของผู้ส่งออก รวมทั้งสนับสนุนภาคเอกชนในการจัดตั้งองค์กรหรือสถาบันที่ได้มาตรฐานเพื่อตรวจสอบคุณ ภาพสินค้าส่งออก

(1.2) กำหนดท่าทีจุดยืนของประเทศให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่าง ประเทศ โดยการศึกษากฎหมาย กฎระเบียบในประเทศที่เกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และมาตรการสุขอนามัย ต่าง ๆ และปรับปรุงให้สอดคล้องกับกฎระเบียบและมาตรฐานระหว่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการเจรจาการ ค้าระหว่างประเทศ

(2) การปรับตัวด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และการบริการ

(2.1) ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการค้า ร่วมกัน

(2.2) จัดทำแผนปรับตัวด้านการเกษตรเพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดการค้าสินค้าเกษตร โดย

ก. พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าและการบรรจุหีบห่อสำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรส่งออกที่ประเทศไทย มีโอกาสขยายตลาดส่งออกได้มากขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยสนับสนุนด้าน เทคโนโลยีและปัจจัยการผลิต ซึ่งจำเป็นต่อการขยายฐานการผลิตและการแข่งขัน โดยไม่ขัดต่อข้อตกลงการค้า ระหว่างประเทศ

ข. จัดทำแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับกลุ่มสินค้าเกษตรที่ขาดความได้เปรียบหรืออนา คตเชิงธุรกิจ แต่มีโอกาสที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตให้สามารถยกระดับการผลิตให้ใกล้เคียงกับประเทศ คู่แข่งขัน โดยให้มีการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมตามสภาพภูมิประเทศ

ค. เตรียมแผนการปรับตัวรองรับเพื่อปรับเปลี่ยนปริมาณการผลิตสำหรับสินค้าเกษตรประเภทที่ไม่ สามารถแข่งขันในตลาดโลกไปสู่การผลิตสินค้าอื่นที่มีศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต รวมทั้งจัดทำแผน การผลิตและแผนการตลาดรองรับ

(2.3) ลดการคุ้มครองภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นขั้นตอนตามข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราภาษี ศุลกากรและการค้ารอบอุรุกวัย และข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน และจัดตั้งกองทุนเพื่อการปรับตัวของสา ขาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาที่จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า

(2.4) ขยายความร่วมมือด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญากับประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มแม่น้ำ โขงภูมิภาคอาเซียน และภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อขยายความคุ้มครองและปกป้องผลประโยชน์ของไทยให้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อเตรียมการให้ไทยเป็นศูนย์กลางทรัพย์สินทางปัญญาในภูมิภาค

(3) การเพิ่มขีดความสามารถในสาขาบริการ

(3.1) พัฒนาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว โดยการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ให้คง ไว้ซึ่งความมีเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ความเป็นธรรมชาติ ความสะอาด ความปลอดภัย ตลอดจนพัฒ นาสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทางด้านการท่องเที่ยวให้มีเพียงพอ

(3.2) ส่งเสริมการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพจากต่างประเทศให้มีช่วงพำนักในประ เทศไทยนานขึ้น และให้มีบริการด้านแหล่งจับจ่ายใช้สอยสำหรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว ในประเทศและปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีความรักและหวงแหนในทรัพยากร แหล่งท่องเที่ยวให้กับคนไทย

(3.3) ร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนและอินโดจีนเพื่อพัฒนาวงจรการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน และอินโดจีน โดยใช้กลยุทธ์ด้านการตลาดร่วมกัน

(3.4) พัฒนาโครงข่ายการคมนาคมและโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานระหว่างเมืองศูนย์กลางการท่อง เที่ยวในแต่ละภูมิภาคให้เชื่อมโยงกับเมืองอื่น ๆ ในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน

(3.5) พัฒนาธุรกิจประกันภัยให้พร้อมรับการเปิดเสรีด้านบริการประกันภัย สามารถเป็นแหล่งระดม เงินออมของประชาชนและสนับสนุนการขยายตัวด้านการค้าและการลงทุน โดย

ก. จูงใจให้ธุรกิจประกันภัยเพิ่มทุนเพื่อให้ธุรกิจประกันชีวิตดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า ร้อยละ 4 ของเงินสำรองประกันชีวิต และธุรกิจประกันวินาศภัยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันภัย รับสุทธิในปีสุดท้ายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

ข. พัฒนาคุณภาพการบริการของธุรกิจประกันภัยให้ได้มาตรฐานสากล และคุ้มครองผู้บริโภค

ค. ส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยมีการควบคุมดูแลกันเองมากขึ้น ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายการควบ คุมของภาครัฐที่ไม่จำเป็นลง

(3.6) ให้สถาบันการเงินของรัฐจัดหาแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดต้นทุนของ ผู้รับเหมาไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ

2. การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน

เพื่อใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือของการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณ ภาพและยั่งยืน การสนับสนุนให้มีการใช้ปัจจัยการผลิตที่มีจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มทักษะและ ความรู้ความสามารถของคน รวมทั้งรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้อยู่ในสภาวะที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตของคน ประกอบด้วยแนวทางหลัก ดังนี้

2.1 การเพิ่มขีดความสามารถในการถ่ายทอดเทคโนโลยี

(1) ส่งเสริมความร่วมมือทางเทคโนโลยีกับต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้บริษัทข้ามชาติมาลงทุน ด้านการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การวิจัยและพัฒนา และการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมเทคโนโลยีที่เป็นความ ต้องการของประเทศ เพื่อให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่คนไทย

(2) สนับสนุนให้มีการนำองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีเข้ามาพร้อมกับการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้โครงการขนาด ใหญ่ของรัฐ หรือที่รัฐให้สัมปทาน มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับคนไทย

(3) สนับสนุนการนำผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศและชาวไทยในต่างประเทศเข้ามา ทำงานด้านวิชาการ โดยปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองและการทำงานทั้งในภาค รัฐและเอกชน

(4) พัฒนาความสามารถและสร้างโอกาสให้กับบริษัทที่ปรึกษาไทย โดยสนับสนุนให้ร่วมงานที่ สำคัญ ๆ ของรัฐที่มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ

(5) สร้างเครือข่ายข้อมูลเชื่อมโยงแหล่งเทคโนโลยีทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ และ ให้สำนักงานที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสมาคมนักวิชาชีพไทยในต่างประเทศเป็นสื่อ กลางในการติดต่อกับแหล่งเทคโนโลยีในต่างประเทศ

(6) สนับสนุนให้สถาบันทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสถาบันการศึกษาในส่วนกลางและ ภูมิภาคเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ ประยุกต์แล้วเพื่อให้เป็นประโยชน์อย่างทั่วถึง

2.2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(1) พัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิศวกร นัก วิทยาศาสตร์ ช่างเทคนิค และนักวิจัยเพื่อสนับสนุนการสร้างฐาน และการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ

(2) พัฒนาฐานข้อมูลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสร้างระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศทางวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีให้เชื่อมโยงถึงภูมิภาคและท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อข้อมูลการวิจัย สิทธิ บัตร และบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(3) ปรับปรุงบริการของรัฐด้านการวิเคราะห์ ทดสอบ และรับรองคุณภาพ รวมทั้งสอบเทียบเครื่อง มือวัดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนในด้านนี้ เพื่อกระจายงานบริการและให้เกิด การแข่งขันมากขึ้น รวมทั้งฝึกอบรมและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการรับรองระบบคุณภาพ (ไอ เอส โอ 9000) และการรับรองระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (ไอ เอส โอ 14000)

(4) ให้มีองค์กรระดับชาติในด้านมาตรวิทยา เพื่อรับผิดชอบและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องในการจัดหา ดูแลรักษาและพัฒนามาตรฐานการวัดทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสร้างเครือข่ายการสอบเทียบ ให้ย้อนกลับได้ถึงมาตรฐานแห่งชาติและมาตรฐานสากล

(5) พัฒนาสมาคมวิชาการและวิชาชีพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เข้มแข็ง เพื่อให้สามารถมี บทบาทในการเผยแพร่ความรู้ให้ความคิดเห็นทางวิชาการ รวมถึงการติดตามตรวจสอบคุณภาพ การให้ข้อ เสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาความก้าวหน้าในสายอาชีพและค่าตอบแทนของบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี

(6) จัดให้มีกลไกเพื่อรับผิดชอบการประสานงาน การจัดหา การใช้ รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเทค โนโลยีที่มีระดับสูง มีราคาแพง และมีแนวโน้มการนำประโยชน์มาใช้เพิ่มมากขึ้น เช่น ด้านอวกาศ ให้สามารถ พึ่งตนเองได้อย่างเป็นขั้นตอน

2.3 การเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

(1) สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทาง เศรษฐกิจ

(1.1) พัฒนาพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ที่มีความต้านทานและให้ผลผลิตสูง การพัฒนาชีวภัณฑ์ทางการ เกษตรและการแพทย์ การควบคุมคุณภาพผลิตผล การบรรจุหีบห่อ เพื่อเพิ่มสมรรถนะการผลิตสินค้าเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร

(1.2) ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน การใช้เทคโนโลยี สะอาด รวมทั้งการพัฒนาการออกแบบชิ้น ส่วนและผลิตภัณฑ์ เพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ของอุตสาหกรรม

(1.3) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างกว้างขวาง เชื่อมโยงทั้งระหว่างหน่วย งานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งพัฒนาแหล่งข้อมูลและสื่อให้เหมาะสมต่อผู้ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ บริหารและการบริการของรัฐและให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข่าวสารได้อย่างทั่วถึง

(1.4) พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน ระบบกำจัดของเสีย ระบบการหมุนเวียนใช้ประโยชน์ของเสีย เพื่ออนุรักษ์สภาวะแวดล้อม

(2) สนับสนุนการวิจัยของภาคเอกชน โดยใช้มาตรการจูงใจทางภาษีและการสนับสนุนทางการเงิน รวมทั้งปรับปรุงการบริหารกองทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นไปในเชิงรุกมากขึ้น

(3) ปรับระบบการวิจัยและพัฒนาของรัฐให้เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มสมรรถนะทาง เศรษฐกิจและสนับสนุนภาคเอกชน โดย

(3.1) จัดทำแผนงานการวิจัยและพัฒนาที่ครบวงจรเพื่อแก้ปัญหาและยกระดับความรู้ความสามารถ ทางเทคโนโลยีเป้าหมาย โดยเริ่มต้นจากความต้องการของผู้ใช้หรือผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายเป็นหลัก สร้างเครือ ข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งภาคเอกชน และสร้างกลไกการนำผลสู่การใช้ประโยชน์ อย่างชัดเจน

(3.2) พัฒนาสถาบันวิจัยของรัฐให้เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ เป็นความต้องการของประเทศ ให้บริการวิจัยและปรึกษาทางเทคโนโลยีแก่ภาคเอกชนมีบทบาทในการสร้าง นักวิจัยคุณภาพรุ่นใหม่ รวมทั้งร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดตั้งสถาบันวิจัยเฉพาะทางที่จำเป็น

(3.3) ส่งเสริมสถาบันการศึกษาระดับสูงของท้องถิ่นให้เป็นแหล่งรวบรวมและศึกษาเกี่ยวกับภูมิปัญ ญา และความต้องการเทคโนโลยีของท้องถิ่น รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยร่วมมือกับสถาบันการ ศึกษาและสถาบันวิจัยในภูมิภาคและในส่วนกลาง

2.4 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้มีการจัดทำแผนวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีเอกภาพ และมีกลไกประสานการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ชัด เจน เป็นที่ยอมรับแก่ทุกหน่วยงานเพื่อให้สามารถนำแผนไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง

3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนสนับสนุนการเพิ่ม ประสิทธิภาพการผลิต โดย

3.1 พัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ในภูมิภาคนี้

(1) ดำเนินนโยบายเปิดเสรีในการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศของ ประเทศไทยให้สอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโน-โลยีเพื่อให้มีการบริการทั้งใน ด้านปริมาณและคุณภาพอย่างเพียงพอและทั่วถึง ตลอดจนมีอัตราค่าบริการที่สามารถแข่งขันได้ และมีความ เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

(2) พัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในพื้นที่เขตเศรษฐกิจสำคัญและ เมืองศูนย์กลางให้ต่อเชื่อมเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมทั่วประเทศสอดคล้องกับนโยบายการสร้างงานและ การกระจายรายได้ เพื่อเปิดโอกาสใหม่และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและเสริมสร้างสมรรถนะกระ บวนการสื่อสารสาธารณะที่เปิดกว้างและเสมอภาค

(3) ให้การพัฒนากิจการและระบบสื่อสารโทรคมนาคมมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาระบบการศึก ษาและระบบสาธารณสุข ตลอดจนการให้บริการของภาครัฐเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

(4) ปรับปรุงคุณภาพบริการไปรษณีย์ให้มีความรวดเร็วเชื่อถือได้ และขยายการลงทุนปรับปรุงเทคโน โลยีไปรษณีย์ให้ทันสมัย รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการและกำหนดอัตราค่าบริการให้เหมาะสม ในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้กิจการไปรษณีย์สามารถเลี้ยงตนเองได้

(5) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม โดยส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการผลิตบุคลากรด้านสื่อสารโทรคมนาคม ทั้งปริมาณและคุณภาพให้สอด คล้องกับความต้องการของประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาทักษะบุคลากรเทคโนโลยีสารสนเทศทุก ระดับ

(6) จัดให้มีกลไกระดับชาติที่เป็นกลาง มีความคล่องตัวเพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานกิจการสื่อสาร โทรคมนาคมให้มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพบริการที่ดี ได้มาตรฐานสอดคล้องกับความก้าวหน้าของเทค โนโลยี รวมทั้งกำหนดอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ โดยยึดหลักการเปิดโอกาส ให้ภาคเอกชนมีบทบาทในการลงทุนพัฒนากิจกรรมด้านนี้อย่างเต็มศักยภาพ ควบคู่ไปกับการเพิ่มโอกาสให้ ประชาชนในภูมิภาคได้ใช้ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่เช่นเดียวกับประชาชนในเมืองด้วย

(7) แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าร่วม ลงทุนและแข่งขันการให้บริการได้อย่างเสรี โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านคุณภาพและราคาค่าบริการที่เหมาะ สมต่อผู้ใช้บริการเป็นหลักแทนผลประโยชน์ตอบแทนที่เอกชนจะให้แก่รัฐ ควบคู่ไปกับการจัดให้มีกฎหมายที่ เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

3.2 พัฒนาการขนส่งทางอากาศ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภูมิภาค

(1) ก่อสร้างท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่สองให้เปิดบริการได้ภายในช่วงของแผนพัฒนาฯ ฉบับ ที่ 8 ตลอดจนพัฒนาระบบเชื่อมโยงการขนส่งต่าง ๆ ระหว่างเมืองกับสนามบินให้มีความสะดวกเพื่อให้สนาม บินแห่งใหม่เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศของภูมิภาคที่สมบูรณ์

(2) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ของ สนามบินอู่ตะเภา

(3) ส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการจัดตั้งสายการบินแห่งชาติเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิ ภาพการให้บริการแก่ประชาชน ตลอดจนวางแผนและส่งเสริมการเปิดเส้นทางการบินใหม่ทั้งของภาครัฐและ เอกชนที่มีความเป็นไปได้ให้เชื่อมเมืองสำคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

(4) พัฒนาสนามบินภายในประเทศแห่งใหม่เพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสม พร้อมไปกับ การพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งทางบกเชื่อมโยงสนามบินใหม่กับชุมชนขนาดใหญ่โดยรอบเพื่อให้สนามบิน สามารถบริการประชาชนได้เป็นกลุ่มจังหวัด

(5) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการต่าง ๆ แก่ผู้โดยสารในการเดินทางเข้าออกจากท่าอากาศยาน ให้ เกิดความสะดวกต่อประชาชนและได้มาตรฐานสากล

(6) ประสานความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อสนับ สนุนการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศในภูมิภาค ได้แก่ กิจกรรมการท่องเที่ยว การจัด ประชุมนานาชาติ และกิจกรรมการกีฬาระหว่างประเทศ

3.3 พัฒนาระบบการขนส่งทางบกให้เชื่อมโยงการขนส่งระบบอื่น และเป็นฐานรองรับกิจกรรมทาง เศรษฐกิจในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้

(1) พัฒนาระบบทางด่วนระหว่างเมืองและทางหลวงพิเศษที่ควบคุมทางเข้า-ออกสมบูรณ์ เป็นโครง ข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ ตามแผนงานระยะยาว 20 ปี และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการใช้ทางดังกล่าว อย่างเป็นระบบ เพื่อนำรายได้กลับคืนมาใช้ลงทุนขยายโครงข่ายต่อไป โดยให้เอกชนเข้ามีส่วนร่วมลงทุนพัฒนา รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อพัฒนาเป็นการเฉพาะ

(2) พัฒนาเส้นทางแนวตะวันออก-ตะวันตกของประเทศเพื่อเชื่อมโยงศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญ เข้าด้วยกัน รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของพื้นที่ในแนวตัดผ่านจากการพัฒนาความร่วมมือกับประเทศ เพื่อนบ้านทั้งสองฝั่ง

(3) สนับสนุนการวางแผนพัฒนาระบบการขนส่งทางถนนและรถไฟให้เชื่อมต่อกับการขนส่งที่ สนามบินและท่าเรือเป็นแผนรวมเบ็ดเสร็จ เพื่อให้การขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในระบบต่าง ๆ บริเวณสถานี รถไฟ สนามบิน ท่าเรือ และสถานีขนถ่ายสินค้า สามารถเชื่อมโยงประสานกันได้สะดวก รวดเร็ว และมีประ สิทธิภาพ

(4) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาสมรรถนะการขนส่งทางรถไฟให้ เป็นระบบขนส่งหลักระบบหนึ่งของประเทศ ตลอดจนให้ระบบรถไฟสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เฉพาะ พื้นที่ เมือง และชุมชนเมือง รวมทั้งวางแผนงานต่อขยายเชื่อมโยงโครงข่ายรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประ โยชน์ร่วมกัน

3.4 พัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำภายในและระหว่างประเทศให้เต็มศักยภาพ โดยการประสาน ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตามแนวทางดังต่อไปนี้

(1) พัฒนาท่าเรือชายฝั่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างโครงข่ายการขนส่งเชื่อมโยงระหว่าง ทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ โดยเฉพาะเครือข่ายการขนส่งสินค้าทางน้ำกับท่าเรือหลักของประเทศบริเวณ พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

(2) พัฒนากิจการพาณิชยนาวี โดย

(2.1) เพิ่มสมรรถนะการขนส่งทางทะเลให้มีขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เพิ่มมากขึ้น โดยส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนและดำเนินงานกิจการท่าเรือ ตลอดจนพัฒนา ระบบโครงข่ายการขนส่งทางถนนและรถไฟเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือกับพื้นที่หลังท่าให้เกิดความสะดวกรวด เร็ว และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเชื่อมโยงโครงข่ายกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

(2.2) พัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย รวม ทั้งให้มีปริมาณมากขึ้น เพื่อเพิ่มบทบาทในการขนส่งสินค้าเข้า-ออกให้มากขึ้น และลดการพึ่งพาเรือต่างชาติ โดยสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างเอกชนไทยกับต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านการตลาดให้กว้าง ขวางขึ้น

(2.3) ส่งเสริมภาคเอกชนให้มีการพัฒนาธุรกิจพาณิชยนาวีในด้านธุรกิจการบริการบนฝั่ง การประกัน ภัยทางทะเล อุตสาหกรรมต่อและซ่อมเรือ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยปรับปรุงกลไกทั้งด้านกฎหมาย และ การสนับสนุนทางการเงินการคลัง เพื่อลดต้นทุนอันจะช่วยให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้

(2.4) พัฒนาบุคลากรด้านพาณิชยนาวีทั้งด้านปริมาณและคุณภาพให้มีทักษะความรู้ความสามารถได้ มาตรฐานสากลเพียงพอต่อความต้องการและสอดคล้องกับการพัฒนา

3.5 พัฒนาและจัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอ และมีความมั่นคงควบคู่ไปกับการใช้พลังงานอย่าง มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการผลิตสินค้าและบริการของประเทศ โดย

(1) จัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการมีคุณภาพ มีความมั่นคง และในระดับราคาที่ เหมาะสม

(1.1) สำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมทั้งจากแหล่งในประเทศและภายใต้องค์กรความร่วมมือกับประเทศ เพื่อนบ้าน

(1.2) สำรวจและพัฒนาถ่านหินโดยปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรค และสนับสนุนบทบาทเอกชน เพื่อให้การพัฒนาถ่านหินดำเนินการอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย ที่สุด

(1.3) ให้มีการเจรจาและพัฒนาพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่ น้ำโขง 6 ประเทศ ตลอดจนสนับสนุนให้ธุรกิจทางด้านพลังงานของไทยไปร่วมลงทุนและพัฒนาพลังงาน ในต่างประเทศ

(1.4) ศึกษาความเหมาะสมและกำหนดรูปแบบการกำกับดูแลการใช้พลังงานปรมาณูในการผลิตไฟ ฟ้า รวมทั้งจัดหาพลังงานจากแหล่งนอกประเทศ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมันดิน และถ่านหิน

(1.5) ลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง และปรับปรุงระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความ มั่นคงของระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอุตสาหกรรมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งการนำสายไฟฟ้าลงดินในเขตกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่

(2) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด เพื่อลดภาระการลงทุนในการจัด หาพลังงาน โดยใช้มาตรการทางด้านราคาเป็นมาตรการสำคัญที่จะสร้างแรงจูงใจให้มีการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพ รวมทั้งการใช้มาตรการบังคับ การให้สิ่งจูงใจเพิ่มเติมและการสร้างจิตสำนึก

(2.1) รักษาโครงสร้างและระดับราคาพลังงานให้สะท้อนถึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์และเป็นไปตาม กลไกตลาด แต่ในขณะเดียวกันให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้พลังงานในกรณีที่มีการผูกขาด

(2.2) ส่งเสริมการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าและการอนุรักษ์พลังงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้มีการนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนรณรงค์เพื่อสร้าง จิตสำนึกในด้านการอนุรักษ์พลังงานให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง

(2.3) กำหนดมาตรฐานการทดสอบและมาตรฐานระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของเครื่อง มืออุปกรณ์ต่าง ๆ การติดฉลากแสดงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งส่งเสริมให้มีการผลิตเครื่องมืออุป กรณ์ที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง และการผลิตอุปกรณ์หรือวัสดุที่ช่วยให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน

(3) ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและบทบาทของภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่การใช้ การจัดหา และการจำหน่ายพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดภาระการลงทุนของรัฐ และให้ประชาชนมีส่วน ร่วมพัฒนาพลังงาน

(4) ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาและการใช้พลังงาน รวมทั้งปรับปรุงให้กิจการ พลังงานดำเนินการอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

(5) พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงานและกลไกการบริหารงานด้านพลังงาน เพื่อให้การ ดำเนินงานของรัฐสอดคล้องกับสภาวะด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีการคุ้มครองผู้บริโภคและให้มี ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

3.6 พัฒนาและจัดหาน้ำ เพื่อสนับสนุนการเกษตร อุตสาหกรรม การคมนาคม และการอุปโภคบริโภค ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพให้ได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง โดย

(1) พัฒนาให้มีแหล่งน้ำดิบขนาดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับศักยภาพของลุ่มน้ำและระบบนิเวศน์ของ แต่ละพื้นที่

(2) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการบริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาแหล่ง น้ำที่มีอยู่แล้วให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกิจกรรมต่อเนื่องทางด้านการเกษตร

(3) สนับสนุนบทบาทภาคเอกชนในการลงทุน ขยายการผลิตและการบริการน้ำประปาในเขตเมือง ในภูมิภาค

(4) เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการ เพื่อลดปริมาณน้ำสูญเสียของน้ำประปาทั่วประเทศให้อยู่ ในระดับเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 25 ภายในช่วงของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

(5) จัดให้มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าน้ำให้สอดคล้องกับต้นทุนค่าใช้จ่าย โดยยึดหลักการจัดเก็บค่า น้ำในอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ตามต้นทุนการผลิตในพื้นที่นั้น ๆ และตามประเภทของกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ

(6) ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการรณรงค์ จัดการด้านการใช้น้ำ โดยใช้มาตร การสิ่งจูงใจและมาตรการด้านราคา รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำ ตลอดจนสร้างนิสัยให้ประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้น้ำ

(7) จัดให้มีองค์กรกลางเพื่อการพัฒนาทรัพยากรน้ำให้ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ประสานแผนปฏิบัติ และบริหารจัดการทั้งในกรณีการขาดแคลนน้ำ การป้องกันอุทกภัยและการรักษาคุณภาพน้ำ

4. การเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานการผลิตที่เข้มแข็งและเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขัน โดย

4.1 ลดบทบาทของภาครัฐจากการเป็นผู้กำกับดูแลและดำเนินการด้านการผลิต การค้า และการบริการ มาเป็นผู้ประสานงาน โดยให้ธุรกิจเอกชนและองค์กรชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น

4.2 ปรับระบบการจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ จากที่มีลักษณะเป็นรายโครงการระดับกรม มาเป็นการกำหนดสัดส่วนงบประมาณของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในลักษณะแผนงานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และแนวทางทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8

4.3 เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มอำนาจ การต่อรองในการเจรจาการค้าทุกระดับ โดย

(1) ปรับโครงสร้างองค์กรการเจรจาการค้าให้เป็นเอกภาพในการกำหนดนโยบายการเจรจาการค้า ระหว่างประเทศ การศึกษาผลกระทบและมาตรการในการรองรับและตอบโต้ทางการค้า รวมทั้งการประสาน ท่าทีของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

(2) จัดตั้งระบบสนับสนุนให้กับงานเจรจาการค้าระหว่างหน่วยงานภาครัฐ โดยพัฒนาบุคลากรใน องค์กรการเจรจาการค้าให้มีทักษะในการเจรจาต่อรอง พัฒนาระบบข้อมูลทางการค้าระหว่างประเทศ และ ข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อเหตุการณ์ รวมทั้งสนับ-สนุนให้ภาคเอกชนและนักวิชาการมีส่วนร่วมใน การกำหนดแนวทางการเจรจาการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น

4.4 เพิ่มประสิทธิภาพความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาประเทศ โดยมีกลไกรอง รับระบบการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้มีประสิทธิภาพและเกิดความต่อเนื่อง ให้มีการจัดตั้งสำนัก งานประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเป็นองค์กรกลางทำหน้าที่ประสานนโยบาย และ แผนพัฒนาความร่วมมือในระดับชาติ ระดับภาค และระดับจังหวัด โดยออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรองรับระบบความร่วมมือเป็นทางการอย่างถาวร ตลอดจนเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคเอก ชน โดยสนับสนุนให้มีการรวมตัวเป็นองค์กรเดียวกันเพื่อประสานงานกับภาครัฐเป็นไปอย่างมีเอกภาพและ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4.5 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยให้มีระบบและกลไก การประสานนโยบาย แผนงาน และโครงการ รวมทั้งบทบาทและแนวทางการร่วมมือกับองค์กรความช่วยเหลือ ต่างประเทศ เพื่อให้การบริหารทรัพยากรความช่วยเหลือจากต่างประเทศสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้า หมายของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และมีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

4.6 ให้มีคณะกรรมการระดับนโยบายที่มีเอกภาพเป็นการถาวรรับผิดชอบการพัฒนาอุตสาหกรรมแปร รูปสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมชุมชน เพื่อทำหน้าที่กำกับ ประสานนโยบาย แผนงาน และการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

4.7 ให้มีคณะกรรมการระดับนโยบายรับผิดชอบการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นการเฉพาะ เพื่อ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายส่งเสริมและการประสานการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันของธุรกิจก่อสร้างของคนไทย

4.8 ปรับบทบาทของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวใน ประเทศ ตลอดจนเป็นแกนกลางในการแก้ไขปัญหาของธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ และให้หน่วยงาน ในท้องถิ่นสร้างกลไกการพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวในระดับพื้นที่เพื่อระดม ความร่วมมือจากประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นในการพัฒนาคุณภาพของแหล่งท่องเที่ยว

4.9 ให้มีกฎหมายการป้องกันการผูกขาด เพื่อสนับสนุนระบบการแข่งขันเสรี โดยกำหนดกติกาที่ชัด เจนเพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเป็นธรรม รวมทั้งพัฒนาระบบการคุ้มครอง ผู้บริโภค โดยมีระบบเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและตัวสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ตลอด เวลา

5. พัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อลดบทบาทของรัฐในการเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนิน งานของรัฐวิสาหกิจ โดย

5.1 เพิ่มบทบาทภาคเอกชน เพื่อให้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจที่เข้ม แข็ง โดยให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานและเป้าหมายในการลดบทบาทการเป็น เจ้าของรัฐวิสาหกิจ

5.2 สนับสนุนรัฐวิสาหกิจให้มีสถานะเป็นบริษัทมหาชน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อ ให้สามารถระดมทุนจากประชาชนได้อย่างกว้างขวาง

5.3 จัดตั้งองค์กรกลางเป็นการถาวร เพื่อบริหารนโยบายการเพิ่มบทบาทภาคเอกชน และประสาน การปฏิบัติกับรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งองค์กรกำกับรายสาขารัฐวิสาหกิจที่มีการเพิ่มบทบาท ภาคเอกชนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านราคา ปริมาณ และคุณภาพการบริการ

5.4 นำระบบประเมินผลการดำเนินงานมาใช้แทนการกำกับดูแลในรายละเอียด เพื่อให้รัฐวิสาหกิจ ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว

บทที่ 4
การเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและมีเสถียรภาพ

การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคน เพื่อยกระดับรายได้และ ความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มให้ดีขึ้น จำเป็นต้องดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวใน ระดับที่เหมาะสมและต่อเนื่อง มีการจ้างงานเต็มที่และมีรายได้พอที่จะใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ไทยในระยะยาว เป็นเศรษฐกิจที่มั่นคง สนับสนุนการดำเนินธุรกิจและการดำรงชีวิตของประชาชน ตลอดจน มีการใช้ทรัพยากรของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

1. การเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

1.1 รักษาเสถียรภาพของระดับราคาผู้บริโภค โดยดำเนินนโยบายการเงินการคลัง โดยเฉพาะนโยบาย ภาษีและขนาดของงบประมาณรายจ่ายให้เหมาะสมและไม่สร้างแรงกดดันต่อระดับราคาที่ก่อให้เกิดความเดือด ร้อนต่อประชาชน

1.2 เพิ่มระดับเงินออมของประเทศ โดย

(1) ดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อลดพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยของประชาชนควบคู่ไป กับการปลูกฝังและรณรงค์ให้เกิดค่านิยมการออมในหมู่ประชาชนทั่วไป

(2) ใช้มาตรการภาษีส่งเสริมให้มีการออมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคครัวเรือน และพัฒนาเครื่องมือ และกลไกการออมในลักษณะผูกพันบังคับในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนาตลาดตราสารทางการเงินระยะยาว โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และการขยายสาขาของสถาบันการเงินไปสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น

(3) พัฒนาตลาดตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ประชาชนและธุรกิจมีทางเลือกในการออม และการระดมทุนมากขึ้น

1.3 ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดย

(1) ลดการขาดดุลการค้า โดยลดการพึ่งพาการนำเข้าด้วยการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการ ผลิตสินค้าขั้นกลางและสินค้าทุนในประเทศให้มากขึ้น

(2) เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ภาคบริการ เพื่อชดเชยการขาดดุลการค้า โดย

(2.1) ส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยใช้สินค้าไทยและท่องเที่ยวภายในประเทศให้มากขึ้น

(2.2) เพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อจูงใจให้เอกชนลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเทค โนโลยีภายในประเทศ

(2.3) ให้สิทธิประโยชน์ด้านต่าง ๆ และใช้มาตรการด้านการเงิน เพื่อสนับสนุนการพัฒนากองเรือ พาณิชยนาวีไทยและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

(2.4) พัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจประกัน ภัย ธุรกิจการก่อสร้าง และธุรกิจการเงินให้ขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น

2. การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ โดยการพัฒนาระบบการเงินและตลาดทุน เพื่อให้เอื้ออำนวยต่อ การประกอบธุรกิจทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ให้มีความแข็งแกร่งสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ดังนี้

2.1 เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มบทบาทของระบบการเงิน โดย

(1) ใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน การคลัง และตลาดทุน เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรการเงินไป สู่ภาคการผลิตที่มีผลิตภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ เสริมสร้างศักยภาพการผลิต โดยการเพิ่มผลิต ภาพของแรงงานและประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร

(2) เพิ่มจำนวนสถาบันการเงินทั้งในประเทศและสถาบันการเงินต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินธุรกิจ ในประเทศเพื่อลดการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันในระบบการเงิน รวมทั้งเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินในภูมิภาคด้วย

(3) ขยายขอบเขตการดำเนินงานของสถาบันการเงิน โดยให้สถาบันการเงินเอกชนมีการดำเนิน ธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

(4) สนับสนุนให้สถาบันการเงินและระบบการเงินมีบทบาทสนับสนุนนโยบายกระจายความเจริญ สู่ภูมิภาค

(5) ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรทางการเงินของภาคเอกชน โดยสนับสนุนให้มีการดำเนินการฝึกอบ รมและพัฒนาบุคลากรในด้านนี้ให้มากขึ้น

2.2 เสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของระบบการเงินไทย

(1) แก้ไขข้อจำกัดและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน โดยพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ไทยให้เป็น ตลาดสำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และพัฒนาตลาดเงินตราต่างประเทศให้มีประสิทธิ ภาพและเสถียรภาพ ตลอดจนการพัฒนาองค์กรทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกการออม และการระดม เงินทุนให้กับประชาชน

(2) พัฒนาระบบชำระเงิน โดยเพิ่มความคล่องตัวในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน การขยายขอบเขตการใช้งานของระบบการโอนเงินรายใหญ่และรายย่อย

2.3 ปรับปรุงประสิทธิภาพการกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการเงิน โดย

(1) แก้ไขกฎหมายการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และพิจารณาออกกฎหมาย สำหรับธุรกิจการเงินใหม่ ๆ รองรับการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงิน

(2) ปรับปรุงประสิทธิภาพการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และสถาบันที่มีกฎหมาย เฉพาะจัดตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับระบบการเงินและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น แยกการควบคุมรัฐวิสาห กิจประเภทสถาบันการเงินออกจากระเบียบการกำกับและควบคุมรัฐวิสาหกิจทั่วไป

2.4 พัฒนาบุคลากรด้านการกำกับ ดูแลสถาบันการเงินและการเสริมสร้างจรรยาบรรณ ในการประ กอบธุรกิจการเงิน

(1) ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและพัฒนาบุคลากรภาครัฐในการติดตามพัฒนาการของสถาบันการ เงิน โดยเฉพาะบุคลากรด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน

(2) สนับสนุนการสร้างจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยให้สมาคมสถาบันการ เงินต่าง ๆ จัดทำมาตรฐานและจรรยาบรรณการปฏิบัติงานและดูแลให้เป็นไปตามจรรยาบรรณดังกล่าว

3. การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินและตลาดทุนเพื่อเป็นแหล่งระดมเงินทุนและเงินออม โดย

3.1 สนับสนุนกิจการวิเทศธนกิจ โดยปรับปรุงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและขยายขอบเขตการประกอบ ธุรกิจของกิจการวิเทศธนกิจ

3.2 ผ่อนคลายปริวรรตเงินตราด้านการลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการระดม ทุนจากตลาดทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศของบริษัทต่างประเทศที่เป็นกิจการของคนไทย หรือกิจการ ที่คนไทยร่วมทุน

3.3 ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนรวมสำหรับนักลงทุนชาวต่าง ประเทศ การจัดตั้งกองทุนรวมประเภทใหม่ ๆ เพื่อเป็นทางเลือกแก่นักลงทุน

3.4 พัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการเงินกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยจัดระบบการให้ ความช่วยเหลือทางการเงิน และการให้กู้ยืมหรือร่วมลงทุนในโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยและ ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค

3.5 สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกิจกรรมทางการเงินและลดต้นทุนเพื่อเพิ่มสมรรถนะ ในการแข่งขันกับต่างประเทศ และเพื่อขยายบทบาทในการให้บริการการเงินแก่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอย่าง มีประสิทธิภาพ

CONTACT
Email me at pisitp@yahoo.com for your comment and/or discussions.

This page hosted by   Get your own Free Home Page 1