PsTNLP

Pisit' s Thai Natural Language Processing Laboratory
This lab is formed since 26-August-1998
e-mail pisitp@yahoo.com
Back to PsTNLP home page

ส่วนที่ 7
การพัฒนาประชารัฐ

การพัฒนาประชารัฐคือการพัฒนาให้รัฐและประชาชนมีความเข้าใจที่ดี มีความรับผิดชอบและมีความ เอื้ออาทรต่อกัน ทั้งนี้เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและประชาชนดำเนินไปในเชิงสร้างสรรค์และเสริมสร้าง สมรรถนะซึ่งกันและกัน และเนื่องจากภาครัฐเป็นสถาบันของประเทศที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนา จึงเป็นองค์กรที่มีเอกสิทธิ์ในการกำหนดกรอบ กลไก กระบวนการติดต่อและการสร้างสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ของคนทุกคนในสังคม ภาครัฐมีทรัพยากรและบุคลากรจำนวนมากที่จะสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงและ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของสังคมได้ อย่างไรก็ตามโครงสร้างและกลไกการบริหารจัดการของภาครัฐยังมีข้อจำกัด หลายประการ อาทิ การรวมศูนย์อำนาจ ประสิทธิภาพของการบริหาร การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มแข็ง การ มีส่วนร่วมจากเอกชนและประชาชน ความชอบธรรมและเป็นธรรมของการใช้อำนาจการบริหาร ความรับผิด ชอบทางการบริหาร ความไม่ต่อเนื่องด้านนโยบายรวมทั้งการดำเนินงานตามแนวทางของแผนพัฒนาประเทศ

ในช่วงของการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา โดยเฉพาะในระยะของการดำเนินงานตามแผนพัฒนาฯ ฉบับ ที่ 7 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น รัฐประหาร การยุบสภา ซึ่งมีส่วนทำให้การพัฒนาประเทศชงัก งันและล่าช้า สำหรับด้านการบริหารการพัฒนา ได้เกิดข้อขัดแย้งทั้งระหว่างประชาชนกลุ่มต่าง ๆ กันเอง และ ระหว่างประชาชนกลุ่มต่าง ๆ กับภาครัฐ ภาครัฐยังขาดกลไกกระบวนการในการจัดการประสานประโยชน์รับ ฟังความคิดเห็น และจัดการข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มพลังทางสังคมต่าง ๆ ปัญหานี้มีความสัมพันธ์กับเรื่องของ สิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชน การขาดความโปร่งใสและโครงสร้างกระบวนการแบบรวมศูนย์ ในการดำเนินการบริหารงานของภาครัฐก็มีส่วนสำคัญทำให้กลไกและสถาบันต่าง ๆ ไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการและความจำเป็นของประชาชนได้ทันท่วงที ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตศรัทธา และเป็นอุปสรรคในการ พัฒนาประเทศ

ทิศทางการพัฒนาประชารัฐ


การพัฒนาประชารัฐให้มีลักษณะข้างต้นจำเป็นต้องดำเนินการพัฒนาแบบองค์รวม โดยการพัฒนา ให้ภาครัฐมีสมรรถนะและพันธกิจหลักในการเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถนะของคน ทำให้คนในสังคม เป็นพันธมิตรกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนดังต่อไปนี้

1. การสนับสนุนศักยภาพและโอกาสการพัฒนาของคน

1.1 การให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและสิทธิเสรีภาพของชุมชน ให้ความสำคัญกับหลัก มนุษยธรรม เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน รวมทั้งหลักประกันการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันภายใต้ กฎหมาย

1.2 การให้หลักประกันในด้านโอกาสและช่องทางในการมีส่วนร่วมในส่วนของการกำหนดนโยบาย และการบริหารจัดการการพัฒนาทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของคน กลุ่มต่าง ๆ ในสังคม

2. การพัฒนาสภาพแวดล้อมทางสังคม

2.1 การสร้างสังคมเปิดที่มีความสมานฉันท์ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและเห็นคุณค่าของความแตก ต่างหลากหลายและการสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคระหว่างคนกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม

2.2 การสร้างจริยธรรมและวัฒนธรรมของการใช้อำนาจที่เป็นธรรม

2.3 การสร้างกติกาสังคมและแบบอย่างทางการเมืองและการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการประนี ประนอม สันติธรรม เมตตาธรรม การยอมรับบังคับใช้กฎหมาย

2.4 การสร้างวัฒนธรรมประชาสังคมที่คนในสังคมมีความสำนึกถึงสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบร่วม กันในฐานะพลเมืองและความรับผิดชอบที่มีต่ออนุชนรุ่นหลัง

3. การเสริมสร้างศักยภาพการพัฒนาของภูมิภาคและชนบท

3.1 การสร้างช่องทางให้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยในส่วนภูมิภาคและชนบทได้รับประโยชน์จากการ พัฒนาประเทศที่เท่าเทียมกันและเสมอภาคเพิ่มขึ้น

3.2 การสร้างขีดความสามารถให้คนในภูมิภาคและชนบทได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถ การ พัฒนาทักษะและโอกาสในการรับบริการจากรัฐ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาของตนเองและเสริมสร้างโอกาส การพัฒนาเพื่อสร้างอาชีพและการมีงานทำ

3.3 การให้คนในภูมิภาคและชนบทตระหนักถึงความสำคัญของการดูแล รักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟูและ บูรณะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุชนรุ่นหลังชุมชนของตนเองและประเทศชาติโดยรวม

3.4 การสร้างระบบและกลไกการบริหารเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายในสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนา ภูมิภาคและชนบท

4. การพัฒนาสมรรถนะและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ

4.1 การสร้างผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในด้านการแก้ไขปัญหาและพัฒนา เศรษฐกิจ

4.2 การสร้างระบบการบริหารที่มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ รวมทั้งการให้หลักประกันความ เสมอภาคและเสรีภาพในการแข่งขันและการสนับสนุนให้เกิดความโปร่งใส ตลอดจนการยึดหลักการและ เหตุผลในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชน

4.3 การสร้างระบบการบริหารที่สามารถตอบสนองและจัดการการเปลี่ยนแปลงและสร้างความต่อ เนื่องด้านนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการการพัฒนาประเทศ

5. การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

5.1 การให้คนทุกฝ่ายในสังคมสามารถร่วมกันกำหนดควบคุมการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างสมดุล

5.2 การสร้างมาตรฐานหรือเกณฑ์วัดระบบสากลเพื่อควบคุมดูแลสภาวะแวดล้อมทั้งกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เขตเมือง ชุมชนชนบท ที่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม

5.3 การสร้างระบบการบริหารจัดการให้ชุมชนในพื้นที่ซึ่งใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้มี ส่วนร่วมในการตัดสินใจและการกำหนดแนวทางการดำเนินงานของภาครัฐ ที่จะส่งผลกระทบต่อสภาวะแวด ล้อม และคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่

6. การพัฒนาระบบบริหารจัดการ

6.1 การสร้างระบบการเมืองการบริหารที่มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ทั้ง ภายในภาครัฐ และระหว่างรัฐกับเอกชนและประชาชน

6.2 การสร้างระบบการบริหารที่ทำให้เกิดดุลยภาพระหว่างประโยชน์ของคนในแต่ละชุมชน และ ประโยชน์ของชาติ ระหว่างประโยชน์ของประชาชาติและประโยชน์ของมนุษยชาติ ที่ทำให้เกิดดุลยภาพ ระหว่างประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในอนาคต

6.3 การสร้างระบบการบริหารจัดการที่มีกระบวนการและกลไกของรัฐในการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย ในสังคมมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ

บทที่ 1
วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์

1. วัตถุประสงค์

วัตถุประสงค์หลักของการพัฒนาประชารัฐ คือ

1.1 เพื่อเสริมสร้างการใช้หลักนิติธรรมในการบริหารรัฐกิจ การจัดการการพัฒนาและการดำเนินกิจ กรรมต่าง ๆ ของทุกภาคส่วนของสังคมให้มากยิ่งขึ้น

1.2 เพื่อสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในกิจกรรมของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การจัดการการพัฒนาประเทศ

1.3 เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของภาครัฐในการบริหาร รัฐกิจและการจัดการการ พัฒนาประเทศ

1.4 เพื่อสนับสนุนให้เกิดความต่อเนื่องในงานบริหารรัฐกิจและการจัดการพัฒนาประเทศทั้งในด้าน นโยบายและการปฏิบัติ

2. เป้าหมาย

2.1 ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับเข้าใจในหลักปรัชญากฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นกฎหมายหลักในการ ปกครองประเทศ และเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการ เพื่อให้มีการใช้กฎหมายโดยยึดหลักความถูกต้องตาม เจตนารมณ์ของกฎหมายและความถูกต้องในการตัดสินใจและการบริหาร เคารพและบังคับใช้กฎหมายอย่าง เสมอภาค ไม่มีการเลือกปฏิบัติ มีความรับผิด-ชอบต่อการตัดสินใจและการดำเนินการบริหารงานสาธารณะ รวมทั้งให้มีการสร้างกลไก กระบวนการในการจัดการความขัดแย้งในสังคมอย่างสันติวิธี

2.2 ให้ประชาชนมีหลักประกันในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของรัฐ สังคมและชุมชนให้มากขึ้น เป็นการเพิ่มพูนโอกาสและช่องทางการมีส่วนร่วมอย่างมีดุลย ภาพ และให้เกิดระบบการตรวจสอบถ่วงดุล ในการบริหารรัฐกิจทั้งภายในระบบราชการ และการตรวจสอบถ่วงดุลจากสังคมนอกระบบราชการ

2.3 ให้เกิดความฉับไว เกิดความคล่องตัวของภาครัฐในการปรับตัวและจัดการอย่างเหมาะสมตาม การเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกาภิวัตน์ เพื่อให้การตัดสินใจและการดำเนินการสาธารณะของภาครัฐเกิด ความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

2.4 ส่งเสริมให้เกิดความต่อเนื่องในงานบริหารรัฐกิจและการบริหารจัดการการพัฒนาโดยการสร้าง พันธมิตรเพื่อกำหนดพันธกิจและระเบียบวาระแห่งชาติเพื่อพัฒนาคน ชุมชน สังคม และประเทศชาติร่วมกัน

3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาประชารัฐ ประกอบด้วย การเสริมสร้างหลักการใช้บังคับกฎหมายที่ถูกต้องตาม เจตนารมณ์และปรัชญากฎหมาย โอกาสและสภาวะแวดล้อมให้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน การ มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของทุกภาคส่วน การส่งเสริมการเพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพ และความรับผิดชอบทางการบริหารของภาครัฐ และการสร้างความต่อเนื่องในงานบริหารรัฐกิจ

บทที่ 2
การเสริมสร้างโอกาสและสภาวะแวดล้อมในการพัฒนาประชารัฐ

ภายใต้โครงสร้างการบริหารจัดการที่ผ่านมา ภาครัฐเป็นผู้กำหนดแนวทางในการดำเนินงานที่เชื่อว่า เป็นประโยชน์แก่ประชาชน โดยปราศจากการเปิดโอกาสและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้ การดำเนินงานของภาครัฐขาดประสิทธิภาพ ตลอดจนขาดการยอมรับและสนับสนุนจากประชาชน ในหลาย ครั้งได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง และการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับภาครัฐ ซึ่งเป็นการบั่นทอน พลังในการพัฒนาของสังคมไทย

เพื่อให้กระบวนการพัฒนาของชาติในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลตามแนว ทางที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม การดำเนินบทบาทของภาครัฐที่จะได้ รับการยอมรับย่อมต้องอาศัยความชอบธรรมที่เกิดจากการสร้างหลักประกัน โอกาส และสภาวะแวดล้อมที่เสริม สร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการกำหนดหลักการและบรรทัดฐานของความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐกับประชาชน ทั้งนี้การพัฒนาประชารัฐจะประกอบด้วยยุทธศาสตร์ที่สำคัญ 4 ยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. การเสริมสร้างหลักการใช้บังคับกฎหมายที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์และปรัชญากฎหมาย โอกาสและสภาวะ แวดล้อมให้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เกิดหลักประกันด้านสิทธิทางการเมืองและสิทธิของ ประชาชน การจัดการลดปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มชนต่าง ๆ ในสังคมกับภาครัฐ และการสนับสนุนสมรรถนะ ของประชาชน ดังนี้

1.1 การให้หลักประกันสิทธิเสรีภาพ

(1) รับรองและให้หลักประกันสิทธิทางการเมือง สิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างหญิง ชายให้ทัดเทียมกับบรรทัดฐานนานาอารยะประเทศ

(2) ให้มีกฎหมายรับรองสิทธิประชาชนในการรับรู้ข่าวสารข้อมูลโดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวสารข้อมูล ของราชการ

(3) ส่งเสริมให้มีการพิทักษ์สิทธิและควบคุมตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐในทางการบริหาร เช่น รองรับสิทธิประชาชนในการร้องขอให้รัฐจัดประชาพิจารณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การรับฟังความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ.2539

(4) สนับสนุนการพัฒนาระบบศาลปกครองเพื่อพิทักษ์สิทธิประชาชน ซึ่งอาจถูกละเมิดจากการ ดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ

1.2 การจัดการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมด้วยสันติวิธี

(1) สนับสนุนให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ โดยยอมรับพื้น ฐานของความเสมอภาคและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ให้มีการสร้างหรือปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างคู่ กรณี การทำความเข้าใจร่วมกัน การคำนึงถึงสิทธิของทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาให้เข้ามามีส่วน ร่วมโดยตรงในการแก้ไขความขัดแย้ง

(2) สนับสนุนให้มีบุคคลคณะบุคคลหรือสถาบันที่มีความชำนาญในการป้องกันและแก้ไขข้อขัด แย้งในสังคมทั้งในและนอกภาครัฐกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายข้อมูลข่าวสาร เครือข่าย การดำเนินการและส่งต่อปัญหาให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ร่วมมือและประสานงานกันในการแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้งในสังคม

(3) สนับสนุนให้มีสถาบันท้องถิ่นและสถาบันวิชาการเพื่อทำหน้าที่ศึกษาค้นคว้ารวบรวมและเผย แพร่ แนวทางการป้องกันและแก้ไขข้อขัดแย้งเพื่อนำมาซึ่งวิสัยทัศน์ ทัศนคติที่ถูกต้อง และความเข้าใจร่วม กันของคนในชุมชนและสังคมในวงกว้าง การเจรจาต่อรองประนีประนอมอันนำมาซึ่งข้อตกลงร่วมกันด้วย เหตุผล

(4) ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีทัศนคติความเข้าใจและมีทักษะเกี่ยวกับกลไกกระบวนการต่าง ๆ ในการจัดการความขัดแย้งในสังคมด้วยสันติวิธี เช่น การไกล่เกลี่ยประนีประนอม การเจรจาต่อรอง การใช้ อนุญาโตตุลาการ

(5) ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงาน โดยให้ความสำคัญกับการป้องกันการเกิดข้อขัดแย้งมากกว่าการ แก้ไข ดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ด้วยการให้ข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง มีความจริงใจและให้ความร่วมมือ แก่ทุกฝ่าย รวมทั้งเปิดโอกาสและสนับสนุนให้มีการปรึกษาหารือร่วมกันโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระยะแรก เมื่อเกิดข้อขัดแย้งขึ้น

1.3 การสร้างเสริมสมรรถนะของประชาชนและพลังทางสังคม

(1) สนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรอื่น ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือประชาชน ในด้านต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่การเพิ่มสมรรถนะของประชาชน

(2) ปลูกฝังวัฒนธรรมการเคารพกฎระเบียบและเผยแพร่ความรู้เรื่องกฏหมายให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทราบอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของประชาชน

(3) สนับสนุนการเผยแพร่และบังคับใช้ระเบียบการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง

(4) ส่งเสริมเสรีภาพของสื่อมวลชนและสนับสนุนการพัฒนาสื่อเสรี ตลอดจนโอกาสในการเข้าถึง สื่อและเครื่องมือการสื่อสารของรัฐโดยประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น การให้คนในชุมชนมีสิทธิใช้หอกระจาย ข่าวหมู่บ้าน ให้มีวิทยุชุมชน วิทยุท้องถิ่น

(5) สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในสิทธิหน้าที่ สภาพเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองทั้งภายใน และภายนอกประเทศแก่ประชาชน โดยใช้สื่อของรัฐและภาคเอกชน ทางวิทยุและโทรทัศน์ ประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่การดำเนินการของรัฐ ภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชน ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็น ประโยชน์แก่ชุมชนหรือประเทศ

2. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาของทุกภาคส่วน เพื่อให้เอกชนและประชาชนได้มีส่วน ร่วมในการพัฒนาในฐานะผู้ตัดสินใจและผู้ดำเนินการ มิใช่ในฐานะกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับผลการพัฒนาตาม นโยบายของรัฐ ซึ่งจะเป็นการเปิดระบบการกำหนดนโยบาย การวางแผน การตัดสินใจ การปฏิบัติการ การติด ตามประเมินผลของรัฐ โดยให้เอกชนและประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจและร่วมดำเนินการ ตลอดจนร่วมติดตามประเมินผลและปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งทำให้ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาค ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำความเข้าใจกัน อันจะเป็นแรงผลักดันให้ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ ของรัฐเห็นและเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างวิธีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับความ ต้องการและแนวทางของภาคเอกชนและประชาชน และยังช่วยเสริมสร้างความสมานฉันท์และการรวมพลัง สร้างสรรค์ในสังคมอีกด้วย

2.1 การสร้างภาคีเพื่อการพัฒนา

(1) สนับสนุนการสร้างภาคีเพื่อการพัฒนาที่ไม่เป็นฝักฝ่ายในทางการเมือง รวมทั้งการให้ความ สำคัญกับการสร้างภาคีเพื่อการพัฒนาในระดับภูมิภาคท้องถิ่นและชุมชน เช่น ประชาคมจังหวัด

(2) กำหนดให้การพัฒนาแบบภาคีเป็นเงื่อนไขในการจัดสรรทรัพยากร คือ กำหนดให้หน่วยงาน ของรัฐระบุภาคีเพื่อการพัฒนาในการวางแผนการดำเนินการโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาชีพ คุณภาพชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

2.2 การปรับดุลยภาพการมีส่วนร่วมในการพัฒนา

(1) เพิ่มดุลการมีส่วนร่วมให้กับประชาคมและกลุ่มคนที่ยังขาดดุลการมีส่วนร่วม เช่น เกษตรกรราย ย่อย ชาวประมงพื้นบ้านชายฝั่ง คนจนในเมือง

(2) เพิ่มสัดส่วนตัวแทนภาคเอกชนและภาคประชาชนในคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ คณะทำ งานต่าง ๆ ของระบบบริหารการพัฒนา เช่น คณะกรรมการพัฒนาจังหวัด คณะทำงานบริหารและจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

(3) เปิดโอกาสให้องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรประชาชนได้รับการสนับสนุนงบประมาณโดย ตรงเพื่อดำเนินกิจกรรมพัฒนาร่วมกับภาครัฐหรือ สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาของภาครัฐ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในกิจกรรมที่กำหนดให้ประชาชนเป็นฝ่ายนำและภาครัฐสนับสนุน

(4) สนับสนุนให้องค์กรประชาชนที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพื้นที่และชุมชนนั้น มีส่วนร่วม บริหารท้องถิ่นของตนและดำเนินงานการพัฒนาผ่านช่องทางองค์กรการบริหารส่วนท้องถิ่น เช่นองค์การ บริหารส่วนตำบล สภาตำบล เทศบาล สุขาภิบาล และช่องทางอื่นๆ

2.3 การส่งเสริมท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา

(1) รับรองสิทธิชุมชนและท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วน ร่วมในกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ อาทิให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการ พัฒนาของรัฐมีส่วนร่วมในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบประเมินผลการดำเนิน การโครงการ

(2) จัดสรรงบประมาณให้ท้องถิ่นในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปให้มากขึ้น และลดการจัดสรรเงิน อุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อให้ท้องถิ่นมีอิสระในการกำหนดแผนงานรวมทั้งบริหารกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ความต้องการและสภาพการณ์ของท้องถิ่น

2.4 การเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชน

(1) ส่งเสริมการจัดตั้งองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชนทั้งที่เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นนิติ บุคคล

(2) สนับสนุนให้องค์กรพัฒนาเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการสนับสนุนงบประมาณ จากภาครัฐ

(3) ส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจเอกชนสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาเพื่อชุมชนและสังคมขององค์ กรพัฒนาเอกชนและองค์กรประชาชนด้วยมาตรการทางภาษี

(4) สนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายองค์กรประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ และ เสริมสร้างทักษะในการบริหารจัดการ

3. การเพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของภาครัฐ เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิผลและประสิทธิภาพของภาค รัฐโดยการปรับเปลี่ยนบทบาท จุดเน้น การเปลี่ยนแปลงกระบวนการดำเนินงาน ตลอดจนขั้นตอน ระเบียบและ วิธีการของหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐสามารถรองรับและเสริมสร้างการพัฒนาของภาคอื่น ๆ ดังนี้

3.1 การปรับปรุงบทบาทการบริหารจัดการของส่วนราชการ

(1) ปรับบทบาทของระบบราชการจากการตรวจสอบ ควบคุม เป็นการกำกับดูแล ส่งเสริม พร้อมทั้ง ลดบทบาทในการดำเนินกิจกรรมของภาครัฐ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทมาก ขึ้น

(2) ลดขนาดระบบราชการ โดยจำกัดการขยายตัวของหน่วยราชการและตรึงกำลังคนภาครัฐ พร้อม ทั้งเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรทั้งภารกิจ บุคลากรและขั้นตอนการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เป็นอยู่อย่างจริงจัง

(3) ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการงานของหน่วยงานกลางและกระทรวง ทบวง กรม ด้านการวาง แผน ด้านงบประมาณ ด้านบุคลากร และด้านการให้บริการ ให้มีความอิสระและการจัดการแบบสมัยใหม่และ เป็นสากลมากขึ้น

(4) การกระจายอำนาจตามระดับการบังคับบัญชาหรือการมอบอำนาจการตัดสินใจ ในหน่วยราชการ กลาง กระทรวง ทบวง กรม สู่หน่วยงานปฏิบัติและผู้ปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับระดับงานแต่ละระดับมากยิ่ง ขึ้น โดยให้สามารถใช้ ดุลยพินิจตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จและทันต่อเหตุการณ์

(5) เร่งรัดระบบตรวจสอบและถ่วงดุลการปฏิบัติงานของส่วนราชการและข้าราชการ เพื่อให้เกิดความ รับผิดชอบต่อประชาชน สังคมและชุมชน

(6) ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบราชการและระบบข้าราชการ ดังนี้

(6.1) เพิ่มบทบาทของส่วนราชการในพื้นที่ เช่น จังหวัด พร้อมทั้งลดบทบาทของการบริหารราชการ ส่วนกลาง อีกทั้งลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการบริหารจัดการในด้านแผนงาน ด้านงบประมาณ ด้านการคลัง และด้านบุคคลเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและอิสระในการจัดการของหน่วยงานของพื้นที่ไปสู่ส่วนภูมิภาคและ ท้องถิ่นอย่างผสมผสานครบวงจร

(6.2) เพิ่มบุคลากรในการดำเนินงานของส่วนราชการในพื้นที่พร้อมทั้งกระจายหรือลดกำลังคนภาค รัฐในการบริหารราชการส่วนกลาง เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของประชาชนใน ภูมิภาคและชนบทอย่างทั่วถึง

(6.3) ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจและธำรงรักษาคนที่มีความ รู้พร้อมคุณธรรมไว้ในระบบราชการ โดยการปรับปรุงค่าตอบแทนให้ใกล้เคียงหรือเท่าเทียมกับภาคเอกชน โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนและแน่นอน และการส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพอย่างเป็นธรรม

(7) ปรับปรุงการดำเนินงานบริหารรัฐกิจเป็นระบบการจัดการโดยเน้นทั้งพื้นที่กับภารกิจของหน่วย งานและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างได้สมดุล

(8) ยกระดับความสำคัญของหน่วยการบริหารส่วนจังหวัด โดยกำหนดให้จังหวัดเป็นหน่วยงานจัด การหลักเพื่อการพัฒนาทุกด้านของพื้นที่ในความรับผิดชอบ พร้อมทั้งกระจายอำนาจหน้าที่และความรับผิด ชอบในการวางแผนงาน งบประมาณและการบริหารบุคลากร ตลอดจนการติดตามประเมินผลการพัฒนาโดย รวมอย่างเป็นเอกภาพและต่อเนื่องให้มีความคล่องตัวและอิสระในการบริหารจัดการ ภารกิจของตนอย่างแท้ จริง

(9) ปรับบทบาทของหน่วยงานกลาง และหน่วยราชการในส่วนกลางให้มีหน้าที่วางแผนกำหนด นโยบายในเชิงยุทธศาสตร์ ประสานงาน และให้ความสนับสนุนทางเทคนิคและอื่น ๆ เช่น ทรัพยากร ขวัญ กำลังใจ ให้แก่ส่วนราชการในภูมิภาคและท้องถิ่นเป็นสำคัญ

(10) เพิ่มบทบาทของหน่วยงานในส่วนจังหวัด พร้อมกับสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพให้มีความ สามารถในการวางแผน การบริหารงบประมาณและบุคลากร ฯลฯ อย่างมีประสิทธิภาพ

3.2 การปรับปรุงกระบวนการทางงบประมาณ เพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ มีความอิสระและยืดหยุ่น ในการบริหารเงินงบประมาณ และจังหวัดสามารถตั้งและรับการจัดสรรงบประมาณได้เอง

3.3 การกำหนดให้จังหวัดมีบุคลากรที่มีความสามารถมากขึ้น พร้อมทั้งลดอัตรากำลังของหน่วยงาน บริหารราชการส่วนกลาง ตลอดจนสร้างเครือข่ายการหมุนเวียนหน้าที่การงาน โอกาสความก้าวหน้าด้านอาชีพ เกียรติภูมิ และค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นไม่น้อยกว่าใน ส่วนกลาง

3.4 การสร้างเกณฑ์ชี้วัดและระบบประเมินผลงาน เพื่อวัดประสิทธิผลและประสิทธิภาพของการ บริหารงานในความรับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐทุกประเภทและทุกระดับ

3.5 การสร้างความรับผิดชอบทางการบริหาร ด้วยการเปิดโอกาสให้องค์กรเอกชนและประชาชนมี ส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบแผนและผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่าง ๆ และขจัดการทุจริตและ ประพฤติมิชอบในวงราชการ

3.6 การสร้างความโปร่งใส ด้วยการส่งเสริมให้องค์การต่าง ๆ มีส่วนร่วมให้ความคิดเห็น ท้วงติง ตรวจสอบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่หรือแผนงานสำคัญ ๆ ของภาครัฐก่อนการดำเนินการ

3.7 การปรับการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ

(1) สนับสนุนให้ภาคเอกชนมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการลงทุนด้านบริการการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านบริการโครงสร้างพื้นฐานอย่างเต็มศักยภาพ ฯลฯ โดยให้เป็นการแข่งขันโดยเสรีที่คำนึงถึงประโยชน์ ด้านคุณภาพและราคาค่าบริการที่เหมาะสมต่อผู้ใช้บริการเป็นหลักแทนผลประโยชน์ตอบแทนที่เอกชนจะ ให้แก่รัฐหรือองค์กรของรัฐ

(2) ให้มีกลไกระดับชาติที่มีความเป็นกลาง เพื่อกำกับดูแลบริการ สาธารณะให้มีประสิทธิภาพ คล่อง ตัว และมีคุณภาพบริการที่ดี ได้มาตรฐาน รวมทั้งกำหนดอัตราค่าบริการที่เป็นธรรมต่อผู้ให้และผู้ใช้บริการ

(3) ทบทวนปัญหาและข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบที่เปิดโอกาสหรือเพิ่มบทบาท ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินแผนงาน โดยการปรับกฎ ระเบียบ และกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย ให้สนับ สนุนส่งเสริมการจัดการนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ

3.8 การพัฒนาด้านกฎหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ โดยที่ตามแผนพัฒนาฯ ได้กำหนด แนวทางการพัฒนาทั้งในด้านคน สังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและการบริหารการจัดการ โดยใช้กลไกทาง กฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันให้การพัฒนาตามแผนดังกล่าวบรรลุผลในการปฏิบัติได้อย่าง จริงจัง จึงจำเป็นต้องปรับองค์กรกลางทางกฎหมายของประเทศให้สามารถเป็นศูนย์กลางในการสร้างกฎ หมายให้สอดคล้องกับแนวทางในแผนพัฒนาฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการวางระบบการตรวจสอบ การปฏิบัติราชการให้มีประสิทธิภาพและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถปฏิบัติการตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ตามเป้าหมายของกฎหมายในแต่ละเรื่องที่กำหนดขึ้น

4. การสร้างความต่อเนื่องในงานบริหารรัฐกิจ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและเสถียรภาพของการบริหารรัฐกิจ โดยการผนึกกำลังของกลุ่มพลังต่าง ๆ ในสังคมและให้มีข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และระเบียบวาระแห่งชาติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายซึ่งจะทำให้ฝ่ายต่าง ๆ สามารถมีจินตภาพในแนวทาง การพัฒนาประเทศได้ ตลอดจนมีพันธะความรับผิดชอบที่สนับสนุนแนวทางดังกล่าว ดังนี้

4.1 การสร้างพันธมิตรเพื่อกำหนดระเบียบวาระแห่งชาติ

(1) ให้มีการจัดการประชุมระหว่างพรรคการเมือง หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรประชาชน และตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ เพื่อกำหนดและทบทวนวิสัยทัศน์ พันธกิจ และระเบียบวาระแห่งชาติเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

(2) สนับสนุนให้มีการจัดการฝึกอบรม การประชุม ให้บุคลากรทุก ระดับขององค์กรต่าง ๆ ข้าง ต้นได้มีโอกาสดูงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความเข้า ใจซึ่งกันและกัน

(3) เผยแพร่ประสบการณ์และเทคนิคในการสร้างพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จ ตลอดจนการกำ หนดระเบียบวาระแห่งชาติ ที่มีความเห็นสอดคล้องต้องกันเพื่อสร้างจุดมุ่งหมายร่วมกัน

(4) กำหนดให้มีการวัดผลสำเร็จในการประสานกลุ่มพลังต่าง ๆ ในสังคม โดยการสร้างดัชนีชี้วัด ที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันของกลุ่ม เพื่อนำมาเพิ่มพูนศักยภาพในการบริหารจัดการที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กลุ่มและองค์กรของตนเอง

4.2 การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะเพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน

(1) สนับสนุนให้มีการเผยแพร่นโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผน งานของส่วนราชการ และองค์กรต่าง ๆ ในรูปแบบที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้

(2) สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายระยะยาว และ ลำดับความสำคัญหรือความเร่งด่วนของปัญหาหลัก ๆ ของสังคมหรือประเทศ

(3) สนับสนุนการวิจัย สัมมนา เผยแพร่วิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ และสาธารณชนมี ความรู้ ความคิดกว้างไกล เท่าทันการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ รวมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการฝึกอบ รมบุคลากรของภาครัฐ การจัดการฝึกอบรม การประชุม ให้บุคลากรทุกระดับขององค์กรต่าง ๆ ข้างต้น ได้มี โอกาสดูงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์กันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ความ สมานฉันท์ และการรวมพลังสร้างสรรค์ซึ่งกันและกัน

การที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการพัฒนาประชารัฐได้นั้นจำเป็นจะต้องมีการบริหาร การจัดการเพื่อการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติที่ระดมสรรพกำลังจากทุกส่วนของสังคมให้เกิดการผนึกกำลังเป็น ภาคีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยจะต้องมีการคำนึงถึงเงื่อนไข ข้อจำกัดและแนวโน้มพัฒนาการของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาแนวทางและมาตรการในการประสานสัมพันธ์บทบาทและภารกิจที่ภาครัฐ ภาคเอก ชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันปฏิบัติงาน เพื่อสร้างความสุขและสันติสุข แก่ปัจเจกบุคคล ชุมชน สังคม และประเทศชาติ

CONTACT
Email me at pisitp@yahoo.com for your comment and/or discussions.

This page hosted by   Get your own Free Home Page 1