PsTNLP
Pisit' s Thai Natural Language Processing Laboratory
This lab is formed since 26-August-1998
e-mail pisitp@yahoo.com
Back to PsTNLP home page
ส่วนที่ 8
การบริหารจัดการเพื่อการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
การดำเนินงานตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังไม่บังเกิด
ผลในทางปฏิบัติอย่างมีประสิทธิผล สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ
โครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินที่
เป็นอยู่ทำให้หน่วยงานของรัฐมีการบริหารจัดการในลักษณะรวมศูนย์
ขาดการกระจายอำนาจไปยังหน่วยงาน
ระดับล่างหรือผู้ปฏิบัติ
ลักษณะการแบ่งอำนาจหน้าที่เป็นไปในแนวดิ่งเป็นลำดับชั้น
อีกทั้งหน่วยงานของรัฐที่
มีหน้าที่รับผิดชอบคล้ายคลึงกัน
ต่างมีแผนงานและจัดทำคำของบประมาณเป็นของตนเองทั้ง ๆ ที่ลักษณะงาน
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน หน่วยงานในแต่ละระดับตั้งแต่กระทรวง กรม กอง
ขาดการประสานงานและร่วมมือกัน
อย่างใกล้ชิดทำให้การดำเนินแผนงานโครงการไม่สามารถเกิดผลตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาประเทศ
รัฐได้พยายามแก้ไขปัญหาข้างต้นโดยกำหนดกลไกการบริหารนโยบายเฉพาะด้านขึ้นมารองรับงาน
พัฒนาที่รัฐให้ความสำคัญในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น งานพัฒนาชนบท
โดยมีโครงสร้างการบริหารการพัฒนาที่
ดำเนินการร่วมกันโดย 8 กระทรวงหลัก และงานพัฒนาพื้นที่พิเศษ เช่น
คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ตะวันออก การดำเนินงานลักษณะดังกล่าว
แม้ว่าได้ช่วยให้การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติดีขึ้นในระดับหนึ่ง แต่
ก็ยังคงมีปัญหาในทางปฏิบัติ
คือหน่วยงานในระดับพื้นที่ยังคงดำเนินการในลักษณะเอกเทศ
ขาดการประสาน
กันของช่วงเวลาดำเนินการและเกิดการทำงานซ้ำซ้อนในพื้นที่เดียวกัน
ปัญหาพื้นฐานในการดำเนินงานพัฒนาของภาครัฐ คือ การที่แผนงาน
แงิน และแผนคนขาดความสัม
พันธ์เชื่อมโยงกัน ซึ่งเกิดขึ้นทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ
ทำให้โครงการพัฒนาไม่ได้รับการดำเนิน
การให้เกิดผลในทางปฏิบัติตามแผนที่กำหนด
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอำนาจบริหารจัดการด้านงบประมาณใน
หน่วยราชการเอง
ซึ่งขาดความอิสระและคล่องตัวในการจัดการงบประมาณของตนเอง
ในหลายกรณีได้ก่อให้
เกิดความล่าช้าและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการพัฒนา
นอก
จากนี้สังคมไทยในปัจจุบันปรากฏว่าการเติบโตของพลังนอกระบบราชการเพิ่มมากขึ้น
พลังเหล่านี้ได้แก่องค์
กรทางการเมือง กลุ่มการเมือง
และองค์กรประชาชนซึ่งต้องการมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาทุกขั้นตอน
มากขึ้น
การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพในช่วงแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 8 นั้น จำเป็นจะต้องมี
การปรับโครงสร้างและระบบบริหารการพัฒนาของรัฐ
แต่เนื่องจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวจำเป็นจะต้องมี
การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องจำนวนมากซึ่งต้องใช้เวลาและขั้นตอนในการดำเนิน
การ
ดังนั้นเพื่อให้การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติเกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงต้องดำเนินการภาย
ใต้ข้อจำกัดและโครงสร้างเดิมของระบบราชการที่มีอยู่แล้วไปก่อน
โดยการปรับกระบวนการและกลไกใน
การบริหารจัดการงบประมาณ และบุคลากรให้คล่องตัวขึ้น
โดยยึดหลักการประสานงานภายใต้ระบบการจัด
การพื้นที่กับภารกิจของหน่วยงานและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดแผนงานโครงการตามยุทธ
ศาสตร์การพัฒนาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
บทที่ 1
วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยุทธศาสตร์
1. วัตถุประสงค์
1.1 เพื่อปรับกระบวนการและกลไกการบริหารจัดการงานพัฒนาให้สามารถแปลงแผนไปสู่การ
ปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
1.2 เพื่อเสริมสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการบริหารงานพัฒนา
และ
เสริมสร้างสมรรถนะการพัฒนาในลักษณะเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
การพัฒนาแบบองค์รวมและการมีส่วน
ร่วมของภาคี
1.3 เพื่อให้มีการติดตามและประเมินผลแผนงานโครงการการพัฒนาในทุกระดับ
โดยการจัดทำ
ดัชนีเครื่องชี้วัดเป็นเครื่องมือ
2. เป้าหมาย
2.1 สร้างระบบการบริหารจัดการเพื่อการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่
2.2 สร้างภาคีและชุมชนให้มีศักยภาพในการมีส่วนร่วมของการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในทุก
ขั้นตอน
2.3 สร้างดัชนีเครื่องชี้วัดผลสำเร็จของการพัฒนา 5 ระดับ
3. ยุทธศาสตร์การแปลงแผนสู่การปฏิบัติ
เพื่อให้เป็นตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
การดำเนินการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
การปรับเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานกลางในการแปลงแผนไปสู่
การปฏิบัติ การปรับกระบวนการบริหารจัดการการพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ
การมีส่วนร่วมของประชาชน
การพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผล
ในการแปลงยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติที่ได้ผลจะต้องเน้นการทำงาน
การเรียนรู้และเสริมสร้างความ
สามารถร่วมกันทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน
การกำหนดเป้าหมายแต่ละด้าน การร่วมกันปฏิบัติตามแผน
และการติดตามประเมินผล โดยมีดัชนีชี้วัดร่วมกัน
ตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับท้องถิ่น ทั้งนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยว
ข้อง ภาครัฐ และนอกภาครัฐ
จะต้องร่วมกันกำหนดแนวทางขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติงานอย่างชัดเจน
โดย
มีการแบ่งอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบที่ตกลงร่วมกัน
บทที่ 2
การปรับเพิ่มประสิทธิภาพ
ของหน่วยงานกลางในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
หน่วยงานกลางที่มีบทบาทสำคัญในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำ
นักงานตรวจเงินแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ซึ่งต้องร่วมกันประสานแผนงาน แผนเงิน
และแผนคน
พร้อมทั้งการติดตามประเมินผลแผนงานโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
และเป้าหมาย
ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ รวมทั้งการปรับแผนต่าง ๆ
ให้เกิดเป็นกลไกในการบังคับให้เกิดผลอย่างแท้
จริงด้วยการสร้างกฎหมายแต่ละเรื่องให้เป็นระบบที่สอดคล้องทั้งการพัฒนาประเทศ
การบริหารงานภาค
รัฐฯ และการให้ความคุ้มครองต่อประโยชน์สาธารณะ
ในทางปฏิบัติหน่วยงานทั้งห้ายังมีข้อจำกัดในด้าน
ปัจจัยการสนับสนุน การประสานงาน
อีกทั้งยังขาดการปรับปรุงบทบาทของหน่วยงานให้ทันกับการเปลี่ยน
แปลงของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในยุคโลกาภิวัตน์
ทำให้หน่วยงานเหล่านี้ไม่
สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผลในฐานะเป็นผู้กำกับ ส่งเสริม
สนับสนุน และดูแลให้กระทรวง
ทบวง กรม
ใช้ทรัพยากรที่มีไปในทิศทางเดียวกับแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ
ดังนั้นจึงควรปรับ
ปรุงบทบาทหน่วยงานทั้ง 5 ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1.1 ปรับปรุงบทบาทการปฏิบัติงานให้เอื้อต่อการวางแผนในลักษณะที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของ
การพัฒนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ทั้งในระดับชาติสู่ระดับพื้นที่คืออนุภาคและกลุ่มจังหวัด
โดยการเปิดโอกาส
ให้ประชาชนทุกส่วนมีส่วนร่วมดำเนินการ การวางแผน
การประเมินผลและการสร้างดัชนีชี้วัดความสำเร็จ
ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในทุกระดับ
1.2 ริเริ่มการประสานงานการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
ทั้งฝ่ายภาครัฐ และนอกภาครัฐ ได้แก่
กระทรวง ทบวง กรม องค์กรประชาชน และองค์กรพัฒนาเอกชน
โดยใช้ระบบการจัดการพื้นที่กับภารกิจ
ของหน่วยงาน และการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นตัวกำหนด
1.3 วางกรอบหรือเกณฑ์การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้แผนงานและแผนเงินเป็นไปในทิศ
ทางเดียวกันภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนงานพัฒนา
ตลอดจนการติดตามประเมินผลการดำเนินงานภายใต้
ยุทธศาสตร์การพัฒนาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
2. สำนักงบประมาณ
2.1 ปรับบทบาทการจัดสรรงบประมาณให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยจัดสรรงบประมาณตามหลัก
ประสิทธิผลและประสิทธิภาพให้กระทรวง ทบวง กรม
ที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ซึ่งอาศัยระบบการจัด
การพื้นที่กับภารกิจของหน่วยงานและการมีส่วนร่วมของประชาชน
การวิเคราะห์โครงการให้คำนึงถึงกระ
บวนการทำงานและผลกระทบที่เกิดขึ้นมากกว่าปัจจัยที่ใช้และผลผลิตในเชิงปริมาณ
2.2 เชื่อมโยงกิจกรรมตามแผนงานในการจัดสรรงบประมาณให้ตรงกับแผนงานตามยุทธศาสตร์
ในแผนพัฒนาฯ และแผนงานโครงการของกระทรวง ทบวง กรม
ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
2.3 กระจายอำนาจในการบริหารจัดการด้านงบประมาณให้กระทรวง ทบวง
กรม มีอิสระและคล่อง
ตัวในการบริหารจัดการภายใต้การดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2.4 ปรับกระบวนการ กลไก วิธีการ และขั้นตอนของงบประมาณให้สั้น
และลดความซ้ำซ้อนของ
การปฏิบัติงาน
โดยเน้นบทบาทผู้กำหนดนโยบายวางแผนด้านงบประมาณเชิงยุทธศาสตร์
มากกว่าเน้นการ
ควบคุมการปฏิบัติในรายละเอียด
2.5 วางระบบและทำการติดตามประเมินผลให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงในการจัดสรรและการ
ใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน
รวมทั้งการบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ
3. สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
3.1 ปรับปรุงบทบาทการปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
เพื่อมุ่งเน้น
การเป็นผู้วางแผน กำหนดนโยบายกำลังคนภาครัฐในภาพรวม
โดยอาศัยแนวทางการใช้ระบบการจัดการ
ทรัพยากรตามพื้นที่กับภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานและการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นเกณฑ์
ตลอดจน
ให้คำปรึกษาและแนะนำด้านเทคนิคในการจัดองค์การ การจัดการ
และการบริหารงานบุคคลแก่หน่วยงาน
ภาครัฐ
3.2 ส่งเสริม สนับสนุนและผลักดันให้กระทรวง ทบวง กรม
ปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจหลัก
โครงสร้าง ระบบการบริหารจัดการในภาพรวมไปสู่สมัยใหม่และเป็นสากล
ให้สอดคล้องกับกระแสการ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม
การเมืองของประเทศและของโลกในยุคโลกาภิวัตน์
3.3 เร่งรัดการปรับปรุงระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถเป็นเครื่องมือที่สนับสนุน
การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพด้วยการปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนให้สอดคล้อง
กับภาวะค่าครองชีพและการจ้างงานในตลาดแรงงาน
การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำลังคนในสาขาวิชา
ชีพที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
และการพัฒนาคุณภาพกำลังคนในทุกระดับอย่างเป็นระบบต่อเนื่องและ
ทั่วถึง
3.4 สร้างระบบประเมินผลการปฏิบัติงานที่สามารถวัดผลได้อย่างเที่ยงตรงและสมเหตุผลเพื่อเป็น
พื้นฐานในการประเมินความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรและความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการบริการ
ของรัฐ
3.5 กระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลให้ส่วนราชการสามารถบริหารทรัพยากรบุคคลได้อย่าง
คล่องตัว มีมาตรฐานและคุณธรรม
4. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
4.1 ปรับบทบาทการตรวจสอบการดำเนินงานของส่วนราชการจากการมุ่งการปฏิบัติตามกฎ
ระ
เบียบ มาสู่การตรวจสอบประเมินผลตามผลงาน
4.2 สร้างกลไกการตรวจสอบประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง
ๆ โดยเน้นการให้
ความสำคัญที่ผลงานเป็นหลัก
และกฎระเบียบเป็นรองเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงาน
4.3 กระจายอำนาจการบริหารจัดการการดำเนินงานของส่วนราชการ
ให้มีอิสระในการบริหารจัด
การทรัพยากรของตนเองอย่างเหมาะสม
โดยลดการควบคุมและแก้ไขกฎระเบียบให้ทันสมัย
4.4 วางระบบการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการให้เป็นระบบและต่อเนื่อง
สามารถนำมาเป็นข้อมูลในการเชื่อมโยงแผนงาน แผนเงิน และแผนคน
อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่และทุกปี
5. สำนักงานคณะกรรมการกฎษฎีกา
5.1 เพิ่มบทบาทให้เป็นองค์กรกลางในด้านกฎหมายภาครัฐได้อย่างแท้จริง
ด้วยการปรับปรุงกระ
บวนการตรากฎหมายและการให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐโดยคำนึงถึงความเชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน
เพื่อให้สามารถสร้างกฎหมายที่สอดคล้องกับแนวทางตามแผนพัฒนาฯ
โดยมีการประสานและ
แลกเปลี่ยนข้อมูลในระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งการวางกรอบหรือแนวทาง
ของกฎหมายให้เป็นไปโดยมีระบบและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
5.2 ติดตามการใช้บังคับกฎหมายและริเริ่มเสนอแนะการปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยหรือไม่เอื้อ
อำนวยต่อการพัฒนาประเทศ
รวมทั้งการศึกษาวิจัยในด้านกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและระบบ
ของสากล
และติดตามการพัฒนากฎหมายของต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทยให้ได้อย่าง
เหมาะสม
5.3 พัฒนากระบวนการวินิจฉัยคดีปกครองเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและจะทำให้สามารถกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่ของ
รัฐให้เป็นไปโดยถูกต้อง
ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ปรัชญากฎหมายมหาชนเพื่อ
ประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองประชาชน
5.4 ส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มีความรู้ความเข้าใจในระบบกฎหมายของประเทศและ
หลักกฎหมายมหาชน
เพื่อให้มีแนวความคิดพื้นฐานทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินอย่าง
ถูกต้องและสามารถนำกฎหมายไปใช้เป็นกลไปในการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาฯ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และสอดคล้องกัน
บทที่ 3
การปรับกระบวนการบริหารจัดการการพัฒนาไปสู่การปฏิบัติ
การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติต้องอาศัยกระบวนการและกลไกการผนึกกำลังในหลายมิติ
กล่าวคือ
การประสานแผนงาน แผนเงิน และแผนคน
กับพื้นที่และหน้าที่ของหน่วยงานปฏิบัติให้เป็นเอกภาพ การ
กำหนดแผนงานหรือโครงการพัฒนาตามระบบบริหารจัดการนี้จะใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาของแผนเป็น
กรอบสำหรับกำหนดภารกิจ หน่วยงาน พื้นที่
และการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับวัตถุประ
สงค์และเป้าหมายของแผนพัฒนาประเทศ
การปรับกระบวนการและกลไกบริหารจัดการดังกล่าวมีแนวทาง
ดังต่อไปนี้
1. การแปลงแผนสู่การปฏิบัติด้วยระบบการจัดการพื้นที่กับภารกิจของหน่วยงานและการมีส่วนร่วม
1.1 กำหนดบทบาทตลอดจนกิจกรรมการจัดการงานพัฒนารวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐ
ภาคธุรกิจเอกชนและองค์กรประชาชนให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
1.2 จัดให้มีการทบทวนภารกิจของหน่วยงานส่วนกลางเพื่อกำหนดกิจกรรมหลักที่ควรดำเนินการ
ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
โดยใช้แนวทางการบริหารจัดการพื้น
ที่กับหน้าที่และการมีส่วนร่วมเป็นหลัก
1.3 ใช้แนวทางการประสานการวิเคราะห์ใน 3 มิติ คือ ด้านพื้นที่
ภารกิจหลักของหน่วยงาน และ
การมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
เป็นกรอบในการวางแผนงานและโครงการ
1.4 ปรับเปลี่ยนการจัดทำแผนงานและแผนเงินที่เน้นกรมเป็นหน่วยหลัก
มาเป็นพื้นที่และชุมชน
คือ จังหวัด อำเภอและตำบล
1.5 พัฒนาระบบการประสานงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานกลาง
ตลอดจนพัฒนาระบบข้อมูลที่
ใช้เชื่อมโยงหน่วยงานกลางที่ทำงานด้านแผนงาน แผนเงิน แผนคน
และหน่วยงานตรวจสอบ ติดตามและ
ประเมินผล
2. การเชื่อมโยงระหว่างแผนงาน แผนเงิน และแผนคน
2.1 พัฒนากรอบและหลักเกณฑ์การพิจารณาแผนงานและโครงการของส่วนราชการตามลำดับ
ความสำคัญร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ
ให้เป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาของชาติ
2.2 สร้างกรอบแนวคิดและหลักการในการกำหนดแผนงาน
โครงการของกระทรวง ทบวง กรม
ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยเปิดโอกาสให้แต่ละหน่วยงานทำ
ความตกลงและมีส่วนร่วมในการกำหนดกรอบและหลักการในการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ
2.3 สร้างระบบติดตามประเมินผลและสร้างตัวชี้วัดประสิทธิผลประสิทธิภาพในระดับโครงการ
โดยองค์กรกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดตัวชี้วัด
2.4 ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนงานงบประมาณ
การบริหารบุคคล และการติด
ตามและประเมินผลของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน
ให้มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะ
ในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดระบบแผนงานและแผนเงินในแนวทางใหม่ให้ไปในทิศทางเดียวกัน
3. การกระจายอำนาจในระบบกลไกการบริหารงานของรัฐ
3.1 กระจายอำนาจในการบริหารจัดการด้านงบประมาณ การคลัง
และการบริหารงานบุคคลจาก
หน่วยงานกลางไปสู่กระทรวง ทบวง กรม
และหน่วยงานในระดับพื้นที่อย่างครบวงจรและเป็นเอกภาพ
โดยการปรับกระบวนการและวิธีการให้มีอิสระในการบริหารจัดการงบประมาณและบุคลากรมากขึ้น
3.2 พิจารณาให้หน่วยราชการระดับพื้นที่ คือ จังหวัด
ให้มีสถานภาพเป็นส่วนราชการหรือสามารถ
เข้ามาอยู่ในกระบวนการการจัดสรรทรัพยากรของรัฐได้
ตลอดจนให้มีการรวมกลุ่มจังหวัดในการดำเนินงาน
แผนงานและโครงการร่วมกัน
3.3 ลดขั้นตอนการทำงานโดยการมอบอำนาจ
โดยเฉพาะกระบวนการอนุมัติ การจัดระเบียบและ
วิธีการทำงานให้สามารถดำเนินการได้สั้นและรวดเร็ว
ทั้งด้านงบประมาณการคลัง และด้านบุคคล เพื่อให้
การดำเนินงานของส่วนราชการรวดเร็วขึ้น
โดยการปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่ไม่เอื้ออำ
นวยต่อการกระจายและมอบอำนาจให้หน่วยงานระดับพื้นที่
บทที่ 4
การมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเหตุที่ในปัจจุบันปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคมมีความซับซ้อน
และการพัฒนาอย่างยั่งยืนต้อง
อาศัยกระบวนการความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของหลายฝ่ายในสังคม
ในขณะที่การพัฒนาในระยะเวลา
ที่ผ่านมาได้ทำให้ภาคประชาชนเติบโตและมีศักยภาพและมีความต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย
แผนงาน โครงการของรัฐและบริหารจัดการชุมชน
อีกทั้งภาครัฐเองมีขีดความสามารถจำกัด จำเป็นต้องเปิด
โอกาสและส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนและสังคมได้มีส่วนเข้ามาแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมี
แนวทางสำคัญ ดังนี้
1. จัดกระบวนการหรือกลไกการบริหารจัดการของรัฐที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ
วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การจัดทำแผน
และดำเนินการแก้ไขปัญหาของชุมชน
2. สนับสนุนให้มีคณะกรรมการของประชาชนในชุมชนและท้องถิ่นให้ร่วมคิด
ร่วมทำงาน และ
เรียนรู้ประสบการณ์ความรู้ความสามารถซึ่งกันและกัน
3. ส่งเสริมให้มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนหรือท้องถิ่นในการแลกเปลี่ยนความรู้ความ
เข้าใจในการพัฒนาด้านต่าง ๆ และผลกระทบจากการพัฒนา
4. จัดให้มีกระบวนการและช่องทางของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการพัฒนาเป็น
2 ระบบควบ
คู่กันไป คือ
ระบบการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการพัฒนาร่วมกับภาครัฐซึ่งเป็นระบบที่มีการปฏิบัติอยู่ใน
ปัจจุบัน และระบบการจัดการกิจกรรมการพัฒนาใหม่
โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ ซึ่งภาครัฐ
เป็นฝ่ายสนับสนุนในด้านนโยบาย มาตรการ และงบประมาณสนับสนุน
5. เสริมสร้างวิสัยทัศน์
และสร้างขีดความสามารถในการจัดการหรือการมีส่วนร่วมให้แก่องค์กร
ประชาชน องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน สาธารณชน ภาคธุรกิจเอกชน
เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการ
ดำเนินแผนงานโครงการของรัฐหรือของชุมชน เช่น
การใช้มาตรการจูงใจทางภาษี การสนับสนุนการฝึก
อบรมด้านการจัดการ และการส่งเสริมความร่วมมือกับฝ่ายอื่น ๆ ในสังคม
6. พัฒนาศักยภาพการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของรัฐและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานประ
ชาสัมพันธ์
ภาครัฐและภาคเอกชนในการให้บริการข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาประเทศ
แก่ข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรม
และประชาชนอย่างเพียงพอให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และ
การมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ
บทที่ 5
การพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผล
โดยที่การแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย
ทั้งองค์กรภาครัฐ ตั้งแต่กระทรวง ทบวง
กรม จนถึงระดับท้องถิ่น องค์กรนอกภาครัฐ ได้แก่ องค์กรพัฒนาเอกชน
องค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์
องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรประชาชน
นอกจากนี้ยุทธศาสตร์การพัฒนาจะมีผลกระทบถึงประชาชน
กลุ่มต่าง ๆ ทั้งในเมืองและชนบท
การที่จะวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของแผนพัฒนาประเทศ จำเป็น
ต้องพัฒนาระบบการติดตามประเมินผล
ซึ่งจะต้องเป็นระบบที่ได้รับการยอมรับและเป็นระบบที่สามารถจะ
วัดผลของการพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบการติดตามประเมินผลมีความสำคัญในการดำเนินงานของทุกองค์กรทั้งในภาครัฐและนอก
ภาครัฐ เพื่อช่วยให้ทราบถึงความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค
ผลกระทบที่เกิดขึ้น อันจะช่วยให้ผู้รับผิดชอบใช้
เป็นเครื่องมือในการวางแผน ค้นหาวิธีปรับปรุงงาน
และบริหารจัดการแผนงานโครงการให้ได้ผลในระยะ
ต่อไป
ดังนั้นระบบการติดตามประเมินผลที่มีประสิทธิผลประสิทธิภาพจะต้องอาศัยดัชนีชี้วัดความสำเร็จใน
หลายมิติและหลายระดับ
เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการบริหารการจัดการพัฒนาตามแนวทางใหม่ และ
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีแนวทางในการดำเนินงาน ดังนี้
1. การจัดทำระบบฐานข้อมูล
1.1 จัดทำระบบฐานข้อมูลทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่น จังหวัด
และระดับชาติ เนื่องจากการดำเนิน
แผนงานโครงการเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายอย่าง กว้างขวาง
จึงต้องพัฒนาระบบและรูปแบบข้อมูลที่มีการ
จำแนกเพศให้ได้มาตรฐานประชากรที่สมบูรณ์ให้ทันสมัยต่อเนื่องและสามารถสร้างความเข้าใจในระหว่าง
ผู้เกี่ยวข้องเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
1.2 สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงฐานข้อมูล
โดยใช้เทคโนโลยีในการจัดทำฐานข้อมูล และให้หน่วยงาน
กลางได้แก่ สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะ
กรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและกระทรวงการคลัง
ร่วมกันจัดวางระบบดังกล่าวให้
เป็นเกณฑ์และมีมาตรฐานเดียวกัน
1.3 สนับสนุนให้มีการนำข้อมูลที่ได้จากการติดตามและประเมินผลมาใช้ประโยชน์และปรับปรุง
แผนงานและโครงการประจำปีโดยต่อเนื่อง
1.4 จัดให้มีกลไกหรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลอย่างเป็น
อิสระโดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
1.5 จัดประชุมสัมมนาเพื่อระดมความคิดการวางแผน
การปฏิบัติตามแผนพัฒนา การติดตามประเมิน
ผลในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับชาติ
พร้อมทั้งให้มีการจัดประชุมติดตามประเมินผลประจำปี โดยเปิด
โอกาสให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
1.6 ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศให้ประชาชนโดยทั่วไปมีความรู้
ความเข้าใจที่
สอดคล้องกันเพื่อสนับสนุนกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาตามแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 8
1.7 สำรวจความคิดของประชาชนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ทราบความก้าวหน้าและอุปสรรคการ
ดำเนินงานแผนงานและโครงการที่กำหนดไว้ในทุกระดับและทุกพื้นที่ดำเนินการ
2. การสร้างดัชนีชี้วัด
วัตถุประสงค์ของการสร้างดัชนีชี้วัดเพื่อเป็นเครื่องมือบ่งบอกถึงความสำเร็จและผลกระทบของการ
ดำเนินงานตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามประเมินผล และการปรับปรุงแผน
ให้บรรลุเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น โดยการสร้างตัวชี้วัดนั้น
จะต้องครอบคลุมทั้งด้านปัจจัยเหตุ กระบวนการ
ดำเนินงาน ผลสำเร็จ และผลกระทบของการพัฒนา ทั้งนี้หน่วยงานรับผิดชอบ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้มี
ส่วนร่วมในการพัฒนาควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดตัวชี้วัด
และเปิดเผยต่อสาธารณชน ให้มีส่วนร่วม
ในการติดตามประเมินผลและปรับปรุงการดำเนินงาน
การกำหนดตัวชี้วัดจะต้องทำในหลายมิติและหลาย
ระดับ การพัฒนาระบบการติดตามประเมินผลแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
ได้กำหนดกรอบตัวชี้วัดเบื้องต้นไว้ 5
ระดับ คือ
2.1 การวัดผลกระทบขั้นสุดท้ายของการพัฒนา
เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการติดตามประเมินผล
ความก้าวหน้าที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศโดยส่วนรวมในทุก ๆ ด้าน
ทั้งในด้านการพัฒนาคน สังคม
เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ว่าสามารถดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาประ
เทศที่เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใด
2.2 การวัดประสิทธิผลของการพัฒนาเฉพาะด้าน
สร้างขึ้นเพื่อติดตามประเมินผลการพัฒนาในแต่
ละด้านที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์
ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงความสำเร็จและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการ
พัฒนาในลักษณะผสมผสานระหว่างภารกิจกับพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อจะนำไปใช้ในการปรับปรุงและ
กำหนดแนวทางพัฒนาและแผนงานโครงการในแต่ละด้านให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.3 การวัดประสิทธิผลของยุทธศาสตร์การพัฒนา
สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตามประเมิน
ผลความสำเร็จ
หรือความล้มเหลวของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ 8
2.4 การวัดประสิทธิผลขององค์กร
สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องชี้วัดขีดความสามารถขององค์กรที่รับผิด
ชอบในการดำเนินงานแปลงแผนไปสู่ภาคปฏิบัติทุกระดับตามแนวทางการประสานแผนงาน
แผนเงินและ
แผนคน
ที่เน้นการกระจายอำนาจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นและการประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพและผลงานขององค์กร
ทั้งในด้านการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้
ให้กับคนในองค์กร การเพิ่มพูนประสิทธิภาพการดำเนินงาน
การสร้างระบบการติดตามประเมินผลเพื่อนำมา
ปรับปรุงการทำงานขององค์กรต่อไป
2.5 การวัดสถานการณ์ที่เป็นจริงในด้านต่าง ๆ คือ
การรวบรวมข้อมูลเชิงสถิติหรือข้อมูลพื้นฐาน
ของการพัฒนาด้านต่าง ๆ
เพื่อนำมาใช้ในการสร้างดัชนีชี้วัดความสำเร็จหรือประสิทธิผลของการพัฒนาใน
ระดับต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
3. การพัฒนาดัชนีชี้วัดที่กำหนดข้างต้นให้มีความยืดหยุ่นและปรับให้สอดคล้องกับสภาพที่เปลี่ยนแปลง
ได้อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
4. การมีส่วนร่วมในการกำหนดและจัดทำดัชนีชี้วัดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในแต่ละองค์กรและชุมชน
5. การเผยแพร่ให้ความรู้ วิธีการ ความเข้าใจ ความสำคัญ
ของการประเมินผลการดำเนินงานแก่หน่วยงาน
ชุมชนและผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการติดตาม
ประเมินผลและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
CONTACT
Email me at pisitp@yahoo.com for your comment and/or discussions.
This page hosted by
Get your own Free Home Page