PISIT' S THAI NATURAL LANGUAGE PROCESSING LABORATORY
This lab is formed since August 26, 1998
e-mail: pisitp@yahoo.com
For C7 members, please check this C7 address list.

KEYWORDS
Thai Natural Language Processing Lab., words segmentation, dictionaries, algorithms, Thai text-to-speech.
เทคโนโลยีแห่งศตวรรษ
พิสิทธิ์ พรมจันทร์
บริษัท เทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

กล่าวนำ

ถ้าลองสำรวจย้อนไปกว่าร้อยปีที่ผ่านมาพบว่ามีความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของการค้นคว้า วิจัยของมนุษย์ที่ส่งผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราทุกคนตราบจนทุกวันนี้และต่อไปอีก นานในอนาคต เราพบเทคโนโลยีนี้ได้ทุกหนทุกแห่งในชีวิตประจำวันเช่นเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ อุปกรณ์ควบคุมการจุดระเบิดอิเล็คทรอนิคส์ของเครื่องยนต์ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์ มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกชนิด อุปกรณ์ชุมสายโทรศัพท์ และรวมไปถึงอุปกรณ์โครงข่าย อินเตอร์เน็ต ฯลฯ ยานอวกาศ ดาวเทียม เครื่องบิน หรือแม้แต่เครื่องปล่อยน้ำอัตโนมัติในห้อง น้ำ ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ไมโครโปรเซสเซอร์” หรือตัวประมวลผล ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบันนี้ ความสำเร็จครั้งสำคัญของ มนุษยชาตินี้คือการค้นพบ “ทรานซีสเตอร์” โดยสามนักวิทยาศาสตร์จากห้องวิจัยเบลแลบซึ่งมี ชื่อเสียงในวงการโทรศัพท์ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1947 นั่นคือ ดร. จอห์น บาร์ดีน ดร. วอล เตอร์ แบรทเทน และ ดร. วิลเลียม ชอคเลย์ ซึ่งทั้งสามท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จาก การค้นพบนี้ในปี ค.ศ. 1956 บุคคลที่มีความเห็นว่าการค้นพบนี้สมควรที่จะยกให้เป็น เทคโนโลยีแห่งศตวรรษนอกจากผมเองแล้วยังมีท่านอื่นที่มีหลักฐานอ้างอิงได้เช่น ศาสตราจารย์ เดวิด ลิทสเตอร์ ผู้อำนวยการ คณบดี และศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ ของเอ็มไอทีซึ่งเขียนไว้ใน วารสารของเอ็มไอที (MIT Research Digest)ประจำเดือนมกราคมปี พ.ศ. 2543 นี้ และยังมี คณะนักวิทยาศาสตร์ของเบลแลปที่ได้ทำการฉลองครบรอบ 50 ปีของความสำเร็จนี้ไปเมื่อปี ค.ศ. 1997 ที่ผ่านมา

ความเป็นมาของการวิจัยทรานซีสเตอร์

ทรานซีสเตอร์มีความเป็นมายาวนานมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1895 เมื่อมาโคนีทำการ ทดลองส่งสัญญาณวิทยุได้ไกลกว่าหนึ่งไมล์ได้เป็นครั้งแรกนับเป็นการเริ่มต้นของการสื่อสารวิทยุ คลื่นวิทยุทำหน้าที่เป็นพาหะนำข้อมูลข่าวสารส่งไปได้ไกลแสนไกลโดยไม่ต้องใช้สาย ที่ปลาย ทางเครื่องรับทำหน้าที่แยกคลื่นพาหะออกไป ได้ข่าวสารที่ต้องการ ปัญหาสำคัญคือการรับ สัญญาณที่ยิ่งแผ่วเบาลงเมื่อระยะทางของการส่งยิ่งไกลออกไป อุปกรณ์ขยายสัญญาณจึงมีความ จำเป็นมาก อุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้คือ หลอดสูญญากาศ อิเล็คตรอนไหลจากขั้ว “คาโถธ” ซึ่งประจุไฟลบเอาไว้ ไปยังขั้ว “อาโหนด” ซึ่งประจุไฟบวกเอาไว้โดยมีปริมาณความ ต่างศักย์ลบขนาดน้อย ๆ ที่ขั้ว “กริด” ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณการไหลของอิเล็คตรอนปริมาณ มาก ๆ จากคาโถธไปยังอาโหนดดังกล่าว จึงมีความสามารถในการขยายสัญญาณได้ หลอดสูญ ญากาศจึงถูกใช้งานแพร่หลายสำหรับเครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ อุปกรณ์โทรศัพท์ และ คอมพิวเตอร์ในยุกต์นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ “อินีแอค” (ENIAC) ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ใช้หลอดสูญญากาศจำนวนหลายพันหลอด โดยรวมแล้วมีขนาดเต็มห้องใหญ่ ๆ หลายห้องและ สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเท่ากับบ้านขนาดเล็กนับสิบหลัง และเวลาเดียวกันหลอดสูญญากาศจะ เสียเนื่องจากเกิดการไหม้บ่อย ๆ จึงเกิดความต้องการอุปกรณ์ที่เล็กกว่า สิ้นเปลืองพลังงานน้อย กว่า และมีเสถียรภาพดีกว่า เมื่อการใช้งานมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ในปี ค. ศ. 1925 กลุ่มนัก วิทยาศาสตร์ที่เบลแลปทำการศึกษาต่อเนื่องจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนที่ค้นพบคุณสมบัติ ประหลาดของ “ผลึก” ต่าง ๆ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “สารกึ่งตัวนำ” (semiconductor) กล่าวคือมีคุณลักษณะอยู่กลาง ๆ ระหว่างสารประเภทตัวนำไฟฟ้าที่ดีเช่นอะลูมิเนียม กับ ประเภทฉนวนเช่นแก้วเป็นต้น สารกึ่งตัวนำเหล่านี้เช่น เจอรมันเนียม และที่รู้จักดีในปัจจุบันคือ ซิลิกอน นักวิทยาศาสตร์จากเบลแลปพบว่า ซิลิกอนประกอบด้วยสองบริเวณคือย่านที่ยอมให้ กระแสไฟลบไหลได้ดีเรียกว่า “เอ็น” (negative) กับย่านที่ยอมให้กระแสไฟบวกไหลได้ดีเรียก ว่า “พี” (positive) ยิ่งไปกว่านั้นยังค้นพบปริมาณความไม่บริสุทธิ์ (ปริมาณการโด้ปสารเจือลง ไปในสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์) ที่ทำให้เกิดคุณลักษณะพีเอ็นดังกล่าว การค้นพบรอยต่อพีเอ็นและ ความสามารถในการควบคุมคุณลักษณะดังกล่าวนี้เป็นพื้นฐานนำไปสู่การประดิษฐ์ทรานซีส เตอร์และอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำอื่น ๆ ในเวลาต่อมา สามนักวิทยาศาสตร์จากเบลแลปดังกล่าวข้าง ต้นได้ทำการทดลองกับสารกึ่งตัวนำโดยใช้ผลึกของเจอรมันเนียมเป็นหลักจนพบอุปกรณ์ที่ สามารถขยายสัญญาณได้เช่นเดียวกันกับหลอดสูญญากาศแต่ขนาดเล็กกว่า กินไฟน้อยกว่า และ เสถียรภาพสูงกว่า นี่คือการค้นพบทรานซีสเตอร์

ทรานซีสเตอร์คืออะไร

ทำการสร้างชั้นของสารกึ่งตัวนำที่มีคุณสมบัติพีบาง ๆ ระหว่างชั้นของสารกึ่งตัวนำที่มี คุณสมบัติเอ็น (อาจสร้างกลับกันก็ได้) แล้วต่อขั้วออกมาสามขั้วคือจากหัวของชั้นเอ็นเรียกว่า “ขาส่ง” (emittor) จากท้ายของชั้นเอ็นเรียกว่า ”ขารับ” (collector) และจากชั้นพีตรงกลาง เรียกว่า “ขาฐาน” ก็จะได้ทรานซีสเตอร์หนึ่งตัวที่มีความสามารถเหมือนหลอดสูญญากาศนั่นคือ ความต่างศักย์น้อย ๆ ที่ขาฐานจะสามารถควบคุมปริมาณกระแสปริมาณมาก ๆ ไหลจากขาส่ง ไปยังขารับได้ นอกจากนี้ทรานซีสเตอร์สามารถทำงานเป็นสวิทช์อิเล็คทรอนิคส์ได้ กล่าวคือโดย การป้อนปริมาณไฟลบที่พอเพียงที่ขาฐาน ประจุไฟฟ้าลบจะผลักอิเล็คตรอนที่บริเวณตรงกลาง เกิดเป็นกำแพงขวางกั้นอิเล็คตรอนที่จะไหลจากขาส่งไปยังขารับมีลักษณะเป็นสวิทช์ปิด และใน ทางกลับกันโดยการป้อนปริมาณไฟบวกที่พอเพียงที่ขาฐาน ประจุไฟฟ้าบวกจะดึงอิเล็คตรอนที่ บริเวณตรงกลางออกทำลายกำแพงขวางกั้นอิเล็คตรอนทำให้อิเล็คตรอนไหลจากขาส่งไปยังขา รับได้มีลักษณะเป็นสวิทช์เปิด ความเร็วในการเปิดปิดสวิทช์หรืออีกนัยหนึ่งคือความสามารถ ตอบสนองต่อความถี่ในการทำงานขึ้นอยู่กับความบางของชั้นสารกึ่งตัวนำพีที่อยู่ตรงกลาง ยิ่ง บางมากยิ่งทำงานได้เร็วมาก ความหนาของชั้นฐาน 10 ไมครอนจะตอบสนองการทำงานที่ 10 เมกกะเฮิร์ท เทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 0.25 ไมครอน ถึง 0.18 ไมครอน การใช้งานท รานซีสเตอร์ในยุกต์แรก ๆ คือใช้แทนรีเลย์ไฟฟ้ากึ่งกลไกในอุปกรณ์ชุมสายโทรศัพท์ในช่วง ประมาณปี ค.ศ. 1950 ในปี ค.ศ. 1954 ไอบีเอ็มประกาศยกเลิกใช้หลอดศูนย์ยากาศในการ ออกแบบคอมพิวเตอร์ต่อไปและเปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซีสเตอร์ทั้งหมด โดยเครื่อง คอมพิวเตอร์รุ่นนั้นใช้ทรานซีสเตอร์ทั้งหมด 2,000 ตัว ต่อมาทรานซีสเตอร์กลายเป็นอุปกรณ์ พื้นฐานของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ทั่วไป ในปี ค. ศ. 1959 มีการพัฒนาการผลิตวงจรรวมหรือ ที่เรียกว่า “ไอซี” (Integrated Circuit) โดยสามารถผลิตทรานซีสเตอร์ร่วมกับอุปกรณ์อิเล็คทรอ นิคส์พื้นฐานอื่น ๆ เช่นตัวต้านทาน ตัวประจุไฟฟ้า ตัวควบคุมกระแสไหลทางเดียวหรือ “ได โอด” ลงบนแผ่นซิลิกอนบาง ๆ อันเดียวกัน ในปัจจุบันตัวประมวลผลเพนเทียมสอง (Pentium II) ของอินเทลมีทรานซีสเตอร์มากกว่าแปดล้านตัวเป็นองค์ประกอบหลัก

สรุป

ทรานซีสเตอร์คือผลงานการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติในทศวรรษที่ 20 เนื่องจากมันส่งผลกระทบกับความเป็นอยู่ของทุกผู้คนในปัจจุบันและอนาคต นักวิทยาศาสตร์ใช้ เวลาเกือบครึ่งของต้นศตวรรษในการค้นคว้าวิจัยจนสามารถนำมาใช้งานได้ มนุษย์ได้รับ ประโยชน์จากทรานซีสเตอร์ตลอดครึ่งศตวรรษหลัง และต่อไปในอนาคตจนกว่าจะมีเทคโนโลยี ใหม่ที่มีความสามารถสูงกว่าซึ่งเรายังไม่เห็นวี่แววในปัจจุบัน กอร์ดอน มัวร์แห่งอินเทลทำนายว่า ทุก ๆ 12-18 เดือนจำนวนทรานซีสเตอร์ในไมโครโปรเซสเชอร์จะเพิ่มขึ่นเป็นสองเท่า


This page hosted by   Get your own Free Home Page 1