ความร้อน (heat)
แสงแดด(sunlight)
การโอเวอร์คล็อกซีพียู(overclockCPU)
การติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ถูกหรือวิธี(Cooling System)
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบกะทันหัน(Unexpected change
Tempperature)
ความชื้น (damp)
ไฟฟ้าสถิต(Static)
ฝุ่นละออง(dust)
กระแสไฟฟ้า (electric current)
การเปิดและปิดเครื่องบ่อยๆ (open and close many times)
น้ำหรือของเหลว(water and liguid)
แม่เหล็กไฟฟ้า (electricity and magnet)
ไม่มีทางที่คุณปฏิเสธเลยว่าคอมพิวเตอร์คุณซื้อมาราคาแพงแสนแพง และอยากใช้งานไปนานๆ
ถึงอายุการใช้งานเฉลี่ยโดยประมาณ 2-3ปีต่อเครื่อง เท่านั้นจริงๆแล้วเครื่องไม่ได้เสียตรงไหนหรอกแต่เพราะคอมพิวเตอร์ใหม่มาเก่าก็ต้องไปและความสามารถคอมพิวเตอร์ไม่สามารถใช้งานโปรแกรมใหม่ๆได้หรือไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร
นั่นคือตกรุ่น หรือล้าสมัยแล้ว การดูแลรักษาเป็นอีกวิธีที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ไปได้อีกนานขึ้น
ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ไปได้ก่อนถึงเวลาอันควร
เพราะความเผลอเรอประมาทในการใช้งาน เช่นทำกาแฟหกใส่เครื่อง ตุ๊กแกแมลงเข้าไปในเครื่อง
แต่สิ่งที่ต้องระวังในการใช้งานคอมพิวเตอร์มีอยู่หลายอย่าง คือ ความร้อน
ฝุ่น ไฟฟ้า น้ำ และแม่เหล็ก เป็นสาเหตุหลักๆที่จะทำให้อายุการใช้งานคอมพิวเตอร์หมดไปก่อนกำหนดและมีทางป้องกันได้ครับ
ความร้อน (heat)
ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในเครืองคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เกิดจากอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์แต่ละชิ้นที่ประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องจะต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน
เมื่อคุณทำงานไปจนถึงช่วงระยะหนึ่งก็จะเกิดความร้อนขึ้นจากไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนเป็นต้นเหตุของการเสื่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ดังนั้นการระบายความร้อนที่ดีก็เป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณาแต่คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่จะต้องป้องกันไม่ให้พีซีของคุณเกิดความร้อนขึ้น
หนทางที่คุณจะป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนขึ้นได้มีอยู่หลายวิธี เช่นการลดความร้อนด้วยการติดตั้งพัดลมที่มีขนาดใหญ่หรือการเพิ่มพัดลมเข้าไปอีกหนึ่งตัวเพื่อช่วยในการทำงาน
การตั้งคอมพิวเตอร์ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก การใช้เคสที่มีระบบระบายความร้อนดีพอ
การลดความร้อนด้วยการติดตั้งพัดลมเพิ่มเติมสามารถทำได้เฉพาะคอมพิวเตอร์แบบเดสก์ทอปแต่สำหรับคอมพิวเตอร์บางประเภท
เช่นเครื่องแลปทอปหรือโน้ตบุ๊กไม่สามารถทำได้เพราะข้อจำกัดทางด้านขนาดของเครื่องแต่เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ก็ได้รับการออกแบบมาให้สามารถระบายความร้อนได้ดีอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใช้พัดลมเข้ามาช่วย
ในกรณีเครื่องแบบตั้งโต๊ะหรือเดสก์ทอป (Desktop)สิ่งที่ทำให้ความร้อนภายในคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นได้
คือการที่มีอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์มาก แต่ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ทางแก้ไขก็คือการเพิ่มพัดลมหรืออีกทางหนึ่งก็คือ การเปลี่ยนไปใช้เคสที่มีระบบระบายความร้อนดีพอ
อย่างเช่น เคสรุ่นใหม่ที่เป็นเคสแบบ ATX ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับเมนบอร์ดแบบ
ATX ด้วย โดยที่เคสATXและเมนบอร์ดชนิดนี้ได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงหลักระบายความร้อนที่ดีการจัดวางคอมพิวเตอร์ให้สามารถถ่ายเทอากาศได้สะดวก
ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องปัญหาความร้อนได้ ถ้าเป็นเคสแบบเก่ารุ่น
AT การระบายความร้อนจะมีจำกัดคุณจำเป็นที่จะต้องดัดแปลงตัวเคสโดยการเจาะรูติดตั้งระบบระบายความร้อนเพิ่ม
ถ้าเมนบอร์ดคุณเป็นแบบสล็อตวันที่ไม่ใช่ซ็อกเก็ต7หรือซ็อกเก็ต370 อาจจะลำบากมากหน่อย
เพราะตัวซีพียูจะไปกินพื้นที่สำหรับติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายและไม่เหมาะกับการติดตั้งในเคสขนาดเล็ก(MiniCache)หรือขนาดกลาง(MidiumCache)
ซึ่งหลังจากผมลองทดสอบติดตั้งเมนบอร์ดสล็อตวันในเคสแบบATแล้วสามารถติดตั้งได้
แต่สายไฟสายแพและอุปกรณ์ต่างๆจะติดตั้งอยู่แออัดแน่นใกล้กันหมด ดูแล้วไม่น่าจะช่วยระบายความร้อนได้ดีนัก
ในการจัดวางคุณควรจัดให้ตำแหน่งด้านหลังคอมพิวเตอร์ อยู่ห่างจากผนังหรือกำแพงพอสมควร
เพื่อให้สามารถถ่ายเทอากาศได้อย่างสะดวก และอย่าให้ด้านหลังเครื่องมีฝุ่นจับสกปรกมากเกินไป
หมั่นทำความสะอาด 2 อาทิตย์ต่อครั้ง
แสงแดด(sunlight)
เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นได้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นไม่ถูกกับความร้อน
ดังนั้นการที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สัมผัสกับแสงแดดโดยตรงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะนัก
คุณลองยืนตากแดดตอนเที่ยงสักครึ่งชั่วโมงคุณก็รู้ว่าแสงแดดนั้นร้อนขนาดไหนและแน่นอนว่าคอมพิวเตอร์ของคุณก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน
การโอเวอร์คล็อกซีพียู(overclockCPU)
เป็นการบังคับให้คอมพิวเตอร์ของคุณเพิ่มความร้อนมากเกินกว่าปกติ
เพราะหลังจากโอเวอร์คล็อกซีพียูจะทำงานเร็วขึ้นและมีความร้อนสูงกว่าเดิมแล้ว
อุปกรณ์ต่างๆรอบข้างที่ถูกโอเวอร์คล็อกก็จะทำงานเร็วขึ้นตาม แต่จะเกิดความร้อนตามมาด้วย
ขึ้นอยู่กับวิธีการโอเวอร์คล็อกว่าจะให้ซีพียูเร็วอย่างเดียว หรือให้เร็วทั้งระบบ
แต่หากโอเวอร์คล็อกให้เร็วขึ้นทั้งระบบ ความร้อนทั้งระบบจะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
การระบายความร้อนวิธีเดิมๆจะใช้ไม่ได้ดีอีกต่อไป
ก็ต้องเพิ่มการระบายความร้อนที่ดีกว่าเดิม
ไม่นั้น อุปกรณ์ที่ถูกโอเวอร์คล็อกจะเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้น อายุการใช้งานลดลงกว่าเดิม1-5
ปี ถึงคุณไม่ได้โอเวอร์คล็อกก็ตามผู้ขายคอมพิวเตอร์ให้คุณเขาให้ระบบระบายความร้อนอย่างน้อยสุดคือพัดลมจากเพาวเวอร์ซัพพลายเพียงตัวเดียว
เท่านั้น เพราะเน้นราคาถูกในการขายพัดลมตัวเดียวกับเครื่องคอมที่เราต้องเปิดใช้งานตลอดคงระบายความร้อนไม่พอแน่นอน
การติดตั้งระบบระบายความร้อนที่ถูกหรือวิธี(Cooling
System)
เป็นสาเหตุที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ร้อนกว่าเดิมหรือจะเย็นลงกว่าเดิมก็ได้
ถึงคุณจะติดตั้งระบบระบายความร้อนดีแค่ไหน
หากไม่เลือกตำแหน่งและวิธีการติดตั้งที่ถูกยังไงก็คงไม่ช่วยเรื่องการระบายความร้อนมากนัก
พัดลมควรติดตั้งให้ดูดความร้อนออกจากเครื่องไม่ใช่เป่าใส่ หลายคนเข้าใจผิดว่าเป่าพัดลมใส่เครื่องคอมพิวเตอร์จะช่วยทำความเย็นได้เหมือนซีพียู
จริงๆแล้วในเคสที่ปิดอย่างมิดชิดนั้นความร้อนจากอุปกรณ์ต่างๆเช่น ฮาร์ดดิสก์
การ์ด 2D/3D
ซีพียูและความร้อนจากชิพเมนบอร์ด จะวนไปมาภายในเครื่องและถูกดูดออกโดยพัดลมจากเพาวเวอร์ซัพพลาย
และการติดตั้งพัดลมเป่าเข้าภายในก็เหมือนกับเร่งลมร้อนภายในเครื่องหมุนวนเร็วขึ้นเท่านั้น
ทำให้คอมพิวเตอร์ร้อนกว่าเดิม ดังนั้นต้องติดตั้งให้พัดลมกลับดูดลมร้อนออกจากเครื่อง
จะทำให้อุณหภูมิภายในลดลงกว่าเดิม 2-7องศา และพัดลมด้านที่ดูดออกนั้นต้องหันด้านที่มีตัวพัดลมเข้าหาอุปกรณ์ส่วนด้านที่มียี่ห้อพัดลมให้หันออกจากการ์ดหรือแผงวงจรนั้น
ลักษณะของการระบายความร้อนในเคสที่ไม่ถูกต้องกรณีเคสAT
พัดลมด้านล่างดูดลมและเคสATXที่ติดตั้งพัดลมด้านบนเป่าลมลงมา
เลือกชนิดของพัดลม พัดลมระบายความร้อนจะมี2ชนิด โดยทั่วไปจะเป็นชนิดSleeveBaring
ซึ่งจะหมุนไม่ดีนัก
และกินไฟมากราคาถูกและนิยมขายกันในร้านคอมพิวเตอร์ ส่วนแบบ Ball Bearinmg
ภายในจะมีตลับลูกปืนช่วยทำให้หมุนดีขึ้น
กินไฟน้อยกว่าแต่ราคาสูงกว่าแบบแรก หากจะหาซื้อตามร้านราคาถูกคงไม่มีขายเพราะมีแต่ของใหม่
คุณต้องไปเดินหาตามบ้านหม้อข้างโรงหนังเก่าจะมีแบบBallให้เลือกเยอะแยะทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กและเลือกได้ก็นำมาดัดแปลงติดตั้งเอง
หรือใช้คนขายเขาทำให้โดยเอาปลั๊กเสียบฮาร์ดดิสก์ไปให้เขาดูเทียบด้วย
หากนำพัดลมแบบBallชนิดนี้มาติดตั้งแทนพัดลมซีพียูและพัดลมระบบจะช่วยทำความเย็นได้ดีกว่าเดิมมาก
ลักษณะของการระบายความร้อนที่ถูกต้องคือ
ต้องเป่าลมจากด้านล่างพาความร้อนจากบอร์ดและซีพียูให้ลมร้อนลอยตัวขึ้นแล้วมีพัดลมดูดลมออก
เพราะความร้อนมักลอยตัวขึ้นข้างบนเสมอ
ส่วนตำแหน่งการวางพัดลมนั้น ไม่ควรเลือกในมุมอับและมีสายไฟสายแพมาโยงยางเกะกะ
ไม่นั้นอาจถูกใบพัดลมปั่นจนขาดแหว่ง ถ้าเป็นเคสATX จะมีตำแหน่งสำหรับติดตั้งพัดลมเพิ่มมาให้แล้ว
1ตัว และตรงด้านหลังเคสจะมีที่ติดตั้งพัดลมขนาดกลาง-ขนาดเล็กอีก1-4ตัว หากเป็นแบบ
เคสAT คุณจำเป็นต้องเตรียมสว่านเจาะรูดัดแปลงเพิ่มเอาเอง หากไม่สะดวกก็ยกเครื่องเปล่าไปให้ร้านตัดเชื่อมใกล้บ้านทำให้ก็ได้
ถ้าหากเป็นพัดลมซีพียู ก็ให้หันเป่าใส่ซีพียูจึงจะถูกต้องเพราะเป็นการระบายความร้อนอย่างเร็วในพื้นที่จำกัด
หากต้องการรู้ว่าดูดเข้าหรือเป่าออกสำหรับมือใหม่ ลองจุดธูปแล้วเอาไปจ่อใกล้ๆดูหาไม่ได้เอาควันบุหรี่ก็ได้ถ้าจำเป็น
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบกะทันหัน(Unexpected
change Tempperature)
ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง
ที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสื่อมได้ อุปกรณ์เหล่านี้มีส่วนประกอบของพลาสติกและทองแดง
ซึ่งสามารถขยายและหดตัวได้ เป็นตัวการหลักในการสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณได้
การใช้งานคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดีอย่างเลวร้ายที่สุด
มีเพียงแต่พัดลมเพาเวอร์ซัพพลายตัวเดียว ก็จะทำให้อุณหภูมิภายในคอมพิวเตอร์สูงขึ้นได้และเป็นต้นเหตุให้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่หยุดทำงาน
ดังนั้นถ้าคุณต้องการให้คอมพิวเตอร์ของคุณทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ก็ควรที่จะจัดหาระบบระบายความร้อน
พัดลมขนาดใหญ่หรือลงทุนติดตั้งเครื่องปรับอากาศและจัดวางคอมมพิวเตอร์ให้สามารถถ่ายเทความร้อนได้สะดวก
ก็จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างราบรื่น
ความชื้น (damp)
เป็นตัวการทำให้คอมพิวเตอร์เสื่อมสภาพเร็ว
และอาจทำให้อุปปกรณ์ภายในเป็นสนิมขึ้น สนิมคือออกไซด์ของเหล็กที่ทำปฏิกิริยากับอากาศและความชื้น
ทำให้เนื้อเหล็กเปลี่ยนสีส้มและกร่อนขึ้น
โดยเฉพาะตัวเคสที่เป็นเหล็ก นอตยึดเคสและเมนบอร์ด ฮาร์ดดิสก์ ที่ร้ายแรงอาจเกิดสนิมที่
ตัวเก็บประจุแบบกระบอกและขาของตัวต้านทานภายในแผงวงจร
หากสนิมกัดมากก็จะทำให้แผงวงจรขาดหรือเกิดไฟซ๊อตที่ตัวอุปกรณ์ในแผงวงจร เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะมีในคอมพิวเตอร์ของเรา
ห้องที่มีความชื้นสูงจะไม่เหมาะกับคอมพิวเตอร์ ถึงคุณมีเครื่องปรับอากาศแล้วไม่ได้หมายความว่าความชื้นจะหมดไป
เพราะเครื่องปรับอากาศตามบ้านถูกออกแบบมาสำหรับทำความเย็นให้แก่คนภายในบ้าน
ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าความชื้นยังมีสูงอยู่
การป้องกันความชื้น ทำได้โดยหาซิลิกาดูดความชื้นเป็นเม็ดกลมๆเล็กๆจำนวนเยอะๆ
เรียกว่า "สารดูดความชื้น" หาซื้อตามร้านขายอะไหล่แอร์บ้านแอร์รถยนต์
ใส่ไว้ในที่ว่างๆในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเอามาแปะไว้ข้างในเคสของคอมพิวเตอร์
เอาแบบถุงใหญ่
หากเป็นแบบกระดาษหุ้มก็ให้ระวังบ้างเพราะเม็ดซิลิกาอาจตกกระจายลงบนเคส ให้หาถุงพลาสติกเจาะรูเยอะๆ
แล้วเอาซองดูดความชื้นใส่ไว้และแปะเทปกาวข้างเคส ก็จะช่วยดูดความชื้นภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
ไฟฟ้าสถิต(Static)
ไฟฟ้าสถิตเป็นประจุไฟฟ้าที่เกิดจากการเสียดสีของวัตถุที่เป็นฉนวนเช่นฝุ่นกับพลาสติกบอร์ดหรือถูกัน
ซึ่งมีทั้งประจุบวกและประจุลบมีการถ่ายเทอิเล็กตรอน แบบที่เกิดในหน้าหนาวอากาศเย็นแห้ง
ใครที่เคยเอาไม้บรรทัดมาถูกันแล้วดูดกระดาษ หรือไม่ก็จับลูกบิดประตูแล้วถูดดูดคือไฟฟ้าสถิตนั่นล่ะครับ
ซึ่งเป็นอันตรายเงียบที่รุนแรงมากต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด สาเหตุเกิดจากอากาศเย็นแห้งและการเสียดสีของอากาศกับพลาสติกทำให้เกิดประจุไฟฟ้าสถิต
และฝุ่นก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้แผงวงจรคอมพิวเตอร์ เสียหายมากที่สุด
ยิ่งเป็นชิพเช็ตสำคัญๆ ที่อยู่ในเมนบอร์ด ซีพียู การ์ดต่างๆ ฮาร์ดดิสก์ ชิพของหน่วยความจำจะเสียหายง่ายที่จุดจากไฟฟ้าสถิต
ถ้าหากฝุ่นเกาะสะสมปริมาณมาก ก็กลายเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ผิวได้ ยิ่งเป็นฉนวนประจุไฟฟ้าจะออกันอยู่บริเวณผิวและหากเกิดการสะสมประจุปริมาณมากๆ
จะมีการถ่ายเทอิเล็กตรอน หรือเหนี่ยวนำขึ้นถ้าประจุไปสะสมที่ขาเสียบแหลมๆของบอร์ดหรือขาไอซี
ผลคือซ็อตครับ เสียหายได้ทันทีโดยไม่รู้ตัวด้วย
การป้องกันไฟฟ้าสถิตทำได้
2ทางคือ
1.กำจัดต้นตอของไฟฟ้าสถิต
ซึ่งได้แก่ ฝุ่นนั่นเอง ควรทำความสะอาดสม่ำเสมอเป็นครั้งคราวบ้าง เพื่อลดการเกิดไฟฟ้าสถิต
ก่อนทำความสะอาดให้ปิดเครื่อง ถอดสายไฟออก ทำกราวด์ด้วยมือให้สลายประจุก่อน
จะให้แน่ใจก็หาเสปรย์สลายไฟฟ้าสถิตพ่นก่อนทำความสะอาดครับ
จะทำให้ฝุ่นหลุดง่ายและทำความสะอาดได้ดีขึ้น
2.ทำกราวด์ให้คอมพิวเตอร์
เป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าสถิตออกไป ซึ่งลดอาการไฟดูดได้อีกด้วย
ให้หาสายเส้นเล็กๆ ต่อไว้กับตัวถังคอมพิวเตอร์
แล้วเอามาเชื่อมกับเหล็กแท่งยาวๆ และตอกลงดินไปเลยครับ หมายถึงไปต่อลงดินนั่นล่ะครับ
ตอกลึกๆจะช่วยได้เยอะเหมือนกันครับ และหากต้องการสลายประจุไฟฟ้าสถิตได้ผลจริงๆควรหาสายไฟที่ต่อจากสื่อนำไฟฟ้าของเมนบอร์ด
เช่นน็อตยึดเมนบอร์ด ให้ต่อจากตรงนั้น แล้วโยงไปที่ตัวเคสอีกทีก็เป็นการสลายประจุไฟฟ้าสถิตได้เช่นกันครับ
ฝุ่นละออง(dust)
เป็นปัจจัยที่ทำให้คอมพิวเตอร์เสื่อมสภาพก่อนถึงเวลาอันควรก็คือ
ฝุ่น การใช้งานคอมพิวเตอร์ในห้องที่มีฝุ่นมาก
ฝุ่นจะเข้าไปขัดขวางทางเดินของกระแสไฟฟ้าบนการ์ด และสล็อตต่างๆ
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์อีกชนิดหนึ่งที่กลัวฝุ่นเป็นอย่างยิ่งก็คือ พรินเตอร์
แรม เมนบอร์ด การ์ดPCI และฮาร์ดดิสก์
ผลของการมีฝุ่นเข้าเครื่อง
ฝุ่นเกาะพัดลม
ทำให้หมุนช้าลงแถมฮีทซิงค์ร้อน กว่าเดิม
ฝุ่นเกาะหนาเลยครับ
เพราะถ้าฝุ่นเข้าไปเกาะอยู่บนหัวพิมพ์ของเครื่องพรินเตอร์เมื่อไหร่
ก็จะเข้าไปขวางการทำงานของหัวพิมพ์ โดยเฉพาะเครื่องพรินเตอร์แบบอิงค์เจ็ต
ทำให้การพิมพ์ภาพและอักษรเลอะเลือนได้ พัดลมที่โดนฝุ่นเกาะขวางใบพัดไม่ก็ลูกปืน
ลูกปืนทำงานฝืดลงทำให้หมุนช้าผลคือระบายความร้อนได้น้อยลง และฝุ่นเป็นตัวฉนวนกันความร้อน
ประจุไฟฟ้าสถิตที่มากับฝุ่นก็เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิสก์ที่อยู่ในเมนบอร์ด
การ์ดPCIต่างที่เสียบใช้งานและการ์ดแสดงผลที่เป็นPCI,AGPและตัวฮาร์ดดิสก์เองด้วย
การ์ดVGAตัวนี้ไฟซ๊อตเสียชีวิตไปแล้วเพราะฝุ่นครับ
GF2 GTSเสียด้วย อูว....
นอกจากฝุ่นจะเข้าไปขัดขวางทางเดินกระแสไฟฟ้าบนการ์ดและสล็อตแล้วก็ยังจะเป็นตัวปิดกั้นไม่ให้ระบายความร้อนออกไปได้
หากมีฝุ่นจับเกาะมากเกินไปตัวฝุ่นเองจะสามารถนำไฟฟ้าที่ผิวได้เพราะมีประจุไฟฟ้าสถิตอยู่
จึงมีโอกาสสูงมากที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จนเสียหายได้ครับ
หากเรามี การระบายความร้อนใน
Case ทีดี(เกินไป) เราก็ควรต้องหมั่นตรวจสอบด้วยนะครับ แง้มๆ ฝา case 2 อาทิตย์
สักครั้งก็ดีครับ
หรือ หากเปิด ฝา Case ทิ้งไว้ก็ต้องดูด้วยนะครับ จากรูป Asus V6600 Delux
เจ๊งไปเพราะฝุ่นนี้แหละครับ
หากใน Case เรามีการหมุนเวียน ของอากาศมากเท่าไร ฝุ่นก็เยอะเท่านั้นครับ
เพราะพัดลมที่เพิ่มเข้าไปจะดูดอากาศและฝุ่นเข้าเครื่องมากกว่าปกติ โดยอันตรายของฝุ่นก็คือ
การไปจับเข้าที่ ส่วนที่เป็นแผงวงจร หรือ ว่า ใน Power Supply ก็ดี อาจจะทำให้อุปกรณ์นั้นๆ
เกิดความเสียหาย
หรือ อาจจะทำให้พัดลมหมุนช้าลงหรือไม่ทำงาน การระบายความร้อนแย่ลงเพราะฝุ่นเป็นตัวขวาง
และอีกอย่างครับ การฝุ่นมีความหนามากๆ ฝุ่นนี้สามารถเป็น ตัวนำไฟฟ้าได้ด้วยนะครับ
อย่างไรก็ ระวังกันหน่อย
อย่างน้อยคุณควรทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ทุก
3เดือน เป็นอย่างน้อยสุด หรือ 1 เดือนอย่างสม่ำเสมอ ให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดเอาจะดีกว่า
หากต้องการสลายไฟฟ้าสถิตจากฝุ่นเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น ให้ฉีดพ่นเสปรย์สลายไฟฟ้าสถิตก่อน
แล้วตามด้วยเครื่องพ่นลม หรือโบโว่เป่าใส่อีกทีฝุ่นจะหลุดออกง่ายขึ้นครับ
ฝุ่นที่เกิดจากขี้เถ้าบุหรี่ เศษฝุ่นทั่วไปเศษเส้นผมก็ใช่ซึ่งเป็นตัวการทำอันตรายแก่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้
หากคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ขณะทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขี้บุหรี่อาจจะร่วงไปตกบนคีย์บอร์ดได้หรือเข้าไปสะสมบนช่องคีย์บอร์ดอาจทำให้คีย์บอร์ดกดไม่ออก
หากห้องทำงานมีความชื้นหรือเป็นห้องอับชื้น หากควันบุหรี่ถูกพัดลมระบายความร้อนดูดเข้าเครื่องด้วย
ความชื้นก็จะทำปฏิกิริยากับควันบุหรี่กลายเป็นกรดไปกัดลายวงจรคอมพิวเตอร์ทำให้ลายวงจรสึกกร่อน
สังเกตได้จากคราบดำๆในแผงวงจร
กระแสไฟฟ้า (electric current)
กระแสไฟฟ้านอกจากจะหล่อเลี้ยงคอมพิวเตอร์ให้ทำงานได้แล้ว
ยังสร้างความเสียหายได้โดยที่คุณไม่รู้ตัว สาเหตุที่คอมพิวเตอร์จะเสียมาจากกระแสไฟฟ้านั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นไฟฟ้าที่ไม่ปกติ5ชนิดคือ
ไฟดับ (CutVoltage) เกิดไฟกระชากขณะดับ
มีผลเสียต่ออุปกรณ์ภายในโดยเฉพาะ ฮาร์ดดิสก์ เพราะหัวอ่านจะกระแทกหรือแกว่งตามกระแสไฟทำให้เพลตหรือบริเวณข้อมูลฮาร์ดดิสก์เสียหายตามมา
ไฟตก(UnderVoltage)
เป็นอาการไฟฟ้าต่ำกว่าปกติ เช่น 220โวลต์ ตกลงมาเหลือ 170โวลต์
และกระแสไฟตกลงมาตาม หรือใช้งานคอมพิวเตอร์ใกล้โรงงานที่มีการเดินเครื่องจักรขนาดใหญ่
ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเกิดแรงดันไฟตก ทางแก้คือ ใช้คอมพิวเตอร์กับสายไฟคนละไลน์กัน
หากจำเป็นก็ย้ายเครื่องไปใช้งานจุดอื่นที่ไม่มีการรบกวนจากไฟตก
ไฟกระชาก(Surge)หากใช้สายไฟต่อคอมพิวเตอร์เส้นเดียวกันหรือไลน์เดียวกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟมากเช่นเครื่องปรับอากาศ
เพราะขณะเดินเครื่องจะมีการดึงกระแสไฟรอบๆมาใช้งานตอนแรกทำให้ไฟกระชากทางแก้คือใช้คอมพิวเตอร์กับสายไฟคนละไลน์กัน
ไฟกระเพื่อม อาการเหมือนกับมีคลื่นสั่นขึ้นลงเป็นระยะ
คือมีศักย์สูงต่ำไปมา
ไฟเกิน(OverVoltage)มักเกิดจากฟ้าผ่าและกระแสไฟไหลผ่านทางสายไฟบ้านหรือทางสายโทรศัพท์ขณะใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่
ไหลเข้ามายังคอมพิวเตอร์ทันทีทันใด จาก เดิม220โวลต์ จะกระโดดถึง 270โวลต์
แน่นอนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พังแน่ ทางป้องกันคือ ปลั๊กเสียบที่ต่อควรมีฟิวส์เอาไว้
และยูพีเอสทุกรุ่นจะมีฟิวส์อยู่ในตัว หากไฟเกินกำหนดฟิวส์จะขาดก่อนที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะเสียหายซึ่งอาจจะช่วยได้บ้าง
ไฟฟ้าสถิต(StaticElectricity)มักเกิดในเมืองหนาวและห้องแอร์ที่ปูพรมหากจะทำการเปลี่ยนอุปกรณ์หรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ควรระวังก่อนที่จะสัมผัสแผงวงจรเพราะไฟฟ้าสถิตอาจยังอยู่ในคอมพิวเตอร์และตัวมือจะมีการถ่ายเทประจุทำอันตรายแก่วงจรได้
จึงทำกราวด์โดยสัมผัสตัวเคสหลังดึงปลั๊กไฟออกหมดทุกเส้นก่อนสัมผัสคอมพิวเตอร์
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น คือจัดหางบซื้ออุปกรณ์สำรองไฟฟ้าและอุปกรณ์กันไฟกระชาก
เช่น ยูพีเอส(UPS Uninterrupt Power Supply) หรือมีการเชื่อมต่อสายไฟเข้าปลั๊กที่มีฟิวส์ในตัว
การเปิดและปิดเครื่องบ่อยๆ (shutdown many times)
เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการกระชากไฟของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน
เพราะเมื่อคุณเปิดเครื่องเพื่อใช้งานจะมีกระแสไฟฟ้าเข้าไปทัน และกระแสไฟฟ้าจะเข้าไปปลุกการทำงานของเครื่อง
เมื่อกระแสไฟฟ้าเข้าไปครั้งแรกจะเกิดการกระชากของกระแสไฟฟ้าขึ้น หากไม่จำเป็นจริงๆก็อย่าเปิดปิดเครื่องบ่อยนัก
น้ำหรือของเหลว(water and liguid)
แน่ล่ะครับคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในการทำงาน
หากโดนน้ำ ก็จะลัดวงจรหรือไฟซ๊อตล่ะครับ
ในสำนักงานเป็นบ่อยที่ชอบเอาชา กาแฟ มาวางบริเวณใกล้เครื่องคอมพิวเตอร์
เผลอเรอทำน้ำหกใส่คอมพิวเตอร์หรือคีย์บอร์ด และน้ำอัดลม ชา กาแฟ มีกรดผสมอยู่ด้วยกรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลม
จะไปทำความเสียหายกับแผงวงจร และน้ำตาลก็เป็นอาหารของแบคทีเรียทำให้เกิดของเสียที่ไปทำลายแผงวงจรคอมพิวเตอร์ด้วย
ฉะนั้นควรเอาออกไปห่างๆไว้จะดีที่สุด
หรือควรระมัดระวังให้มากเมื่อเอาเครื่องดื่มต่างๆมาใกล้คอมพิวเตอร์
แม่เหล็กไฟฟ้า (electricity and magnet)
มักเกิดจากอุปกรณ์ตัวอื่นเช่น
ลำโพงมัลติมีเดียทั่วไปที่ไม่ได้ป้องกันสนามแม่เหล็ก หากเอามาวางใกล้จอมอนิเตอร์
สนามแม่เหล็กที่แผ่กระจายจากลำโพงออกมาจะทำอันตรายกับการส่งสัญญาณภายในหลอดภาพที่อยู่ภายในจอคอมพิวเตอร์
ทำให้สีเพี้ยนหากใช้ไปนานๆก็ทำให้หลอดภาพเสื่อมเร็วกว่าปกติ และอย่าลืมว่าสนามแม่เหล็กจะรบกวนการทำงานของอิเล็กทรอนิกส์บางตัวในเครื่องคอมพิวเตอร์
และฮาร์ดดิสก์กับฟล็อปปี้ดิสก์ไม่ให้ใกล้สนามแม่เหล็กเด็ดขาด เพราะข้อมูลจะถูกทำลายจนเสียหายใช้การไม่ได้
และตู้เก็บเอกสารที่ทำจากเหล็กไม่ควรวางใกล้คอมพิวเตอร์ เนื่องจากสนามแม่เหล็กจากจอมอนิเตอร์อาจไปรบกวน
ทำให้จอกระเพื่อม ให้จัดวางไว้ห่างจากตู้จะดีกว่า
สรุปว่า
สรุปว่า มันมีสาเหตุต่างที่อาจจะทำให้คอมพิวเตอร์เสียได้หลายอย่าง
บางทีเกิดจากการกระทำของผุ้ใช้เองที่ใช้งานผิดเงื่อนไข
เช่นโอเวอร์คล็อกวิธีไม่ธรรมดามากเกินไป การปรับแต่งไม่ถูกต้อง อย่างน้อยควรมีการดูแลรักษาเสียบ้างให้คุ้มกับเงินที่ซื้อไป
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสีย ได้แก่ ภัยธรรมชาติ
แผ่นดินไหว น้ำท่วม โคลนถล่ม พายุ อุบัติเหตุต่างๆ ไฟไหม้ การตกกระแทก
ก็เป็นสาเหตุรองๆที่อาจจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เสียโดยสุดวิสัยได้เช่นกัน
ดังรูปข้างบนที่ถูกไฟไหม้มาครับ อึ๋ย.......
|