แปรรูปการศึกษาไทย บริหารใหม่โดย….ภาคเอกชน

เอดีบีพิจารณาว่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยใช้งบประมาณสนับสนุนการศึกษาสูงเกินจำเป็นซึ่งงบประมาณด้านการศึกษาเป็นงบประมาณ
รายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จึงเสนอให้รัฐบาลไทยแปรรูประบบการศึกษาโดยให้ภาคเอกชนเข้ามารับช่วงดำเนินธุรกิจด้านการศึกษาแทนรัฐบาล

โดยทิศทางการศึกษาไทยต่อไปจะถูกกำกับควบคุมโดยภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งจะเข้ามาจัดการควบคุมให้ระบบการศึกษาผลิตแรงงานที่เอื้อต่อการลงทุนทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของแรงงานในระดับพื้นฐาน (การศึกษาในระดับมัธยมต้น) การขยายการศึกษาด้านอาชีพเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตอบสนองตลาด และการพัฒนาฝีมือแรงงานหญิง เป็นต้น

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามากำกับดูแลระบบการศึกษาคือ ต่อไประบบการศึกษาจะถูกบริหารในเชิงธุรกิจ ค่าใช้จ่ายการศึกษาและค่าเล่าเรียนจะสูง รัฐจะไม่อุดหนุนภาคการศึกษาให้กับลูกคนยากจนอีกต่อไป ลูกหลานคนจนที่ไม่มีทุน จะไม่สามารถศึกษาต่อในระดับสูงหรือในระกับมหาวิทยาลัยได้ แต่จะต้องเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพให้กับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจเอกชน
เงื่อนไขที่ให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งออกนอกระบบภายในปี 2545 มีผลต่อสถาบันราชภัฎ และสถาบันราชมงคลด้วย แต่การถกถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับอยู่ในแวดวงของมหาวิทยาลัยมากว่า และการถกเถียงจะให้น้ำหนักกับประเด็นการบริหารบุคลากร และการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจกับประเด็นสำคัญที่ว่าเมื่อออกนอกระบบแล้ว บทบาทของมหาวิทยาลัยต่อสังคมและคนด้อยโอกาสจะเป็นอย่างไร

ข้อสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้ก็คือ มีแนวโน้มว่าการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย จะเกิดผลดังนี้

  • คนจนจะมีโอกาสเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาน้อยลง เมื่อผู้เรียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามจริงจะทำให้กลุ่มคนรวยเท่านั้นที่มีโอกาสได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ในขณะที่คนจนต้องพึ่งกองทุนกู้ยืมฯ หรือทุนการศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีจำกัดเนื่องจากรัฐต้องการลดค่าใช้จ่าย นอกจานี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่ทุนการศึกษาหรือเงินกู้จะกระจายอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
  • งานทางวิชาการสำหรับภาคที่ด้อยโอกาส จะน้อยลงหรือเป็นไปได้ยาก เมื่อรัฐต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย มหาวิทยาลัยก็ต้องหาเงินเองมากขึ้น
    แลเพื่อดึงดูดคนให้มาสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการ มหาวิทยาลัยก็ต้องมีงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น ทางออกคือการพึ่งพาภาคธุรกิจ - อุตสาหกรรม
    โดยการรับจ้างวิจัย ด้วยเหตุผลนี้ประเด็นการค้นคว้าจึงย่อมถูกกำหนดโดยเจ้าของเงิน
  • คณะ สาขา และสถาบันที่มีประโยชน์แต่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินจะอยู่ได้ยาก เมือมหาวิทยาลัยต้องหาเงินเอง บริหารเงินเอง คณะ สาขา เช่น
    สาขาปรัชญา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน หรือสถาบันที่ทำประโยชน์แต่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่ชัดเจนคงได้รับการสนับสนุนน้อยลง
    หรือไม่ได้รับการสนับสนุนเลย
  • จำนวนอาจารย์ที่มีสำนึกต่อสังคมและคนด้อยโอกาสจะยิ่งน้อยลง เพราะมหาวิทยาลัยย่อมมีทิศทางในการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการที่ขายได้
    ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกับความเป็นเลิศในการเข้าใจและแก้ปัญหาสังคม บรรยากาศเช่นนี้จึงไม่น่าส่งเสริมให้มีอาจารย์
    ที่มีสำนึกต่อสังคมเพิ่มขึ้นจากที่มีน้อยอยู่แล้ว
ในส่วนของการส่งเสริมภาคธุรกิจในการจัดการศึกษาและฝึกอบรมอบรม เงื่อนไขข้อนี้สะท้อนชัดเจนว่า ADB จะรักษาผลประโยชน์ของภาคเอกชนจนถึงกับให้รัฐบาลช่วยเหลือเอกชนทุกด้าน และแก้ไขระเบียบให้สามารถใช้เงินจากกองทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้รัฐบาลไทยต้องเสียงบประมาณไปกับการนี้มากเพียงไรและสังคมรวมทั้งคนด้อยโอกาสจะได้อะไรจากการส่งเสริมภาคธุรกิจในลักษณะน
 
  หน้าแรก ADB.  

 

1