.. ทุก ๆ เย็น ผมจะต้องคอยเดินไปเดินมาจาก เครื่องนี้ไปเครื่องโน้น เพื่อแนะนำ และแก้ไขปัญหาให้กับเด็ก ๆ ที่บางคนยังคลิกเม้าส์ไม่เป็นด้วยซ้ำ อาจเป็นไปได้ว่า ร้านผมไม่มีเกมส์ประเภทยิงกันผ่านระบบแลนที่แสนอึกทึก ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจเด็กผู้ชาย ดังนั้น ลูกค้าเกือบทั้งหมดในร้านเล็ก ๆ ของผมจึงเป็นเด็กผู้หญิง ผมต้องคอยเตือน เด็กผู้หญิงเหล่านั้นเสมอว่า อย่าเที่ยวแจกเบอร์เพจ หรือเบอร์โทรศัพท์ให้กับเพื่อนที่ เพิ่งเจอกันบนอินเตอร์เน็ต อย่าเที่ยวรีบร้อนนัดพบเพื่อนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเหล่านั้น เพราะลูกสาวผมเองก็อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับกลุ่ม ลูกค้าส่วนใหญ่ เช่นกัน ทั้งยังเคยได้ยินข่าวอยู่เนือง ๆ ว่าเด็กสาวหลายคน ต้องพบกับประสบการณ์อันเลวร้ายจากเพื่อนบนอินเตอร์เน็ต ด้วยเหตุเพราะการนัดพบกับเพื่อนใหม่ที่ยังไม่เคยรู้จักหน้าค่าตา
...ร้านอินเตอร์เน็ตของผม จะปิดไม่เกิน 19.30 น. จะช้ากว่านั้นไม่เกินครึ่งชั่วโมง ด้วยเห็นว่า เป็นเวลาที่เด็ก ๆ ควรกลับไปบ้าน รับประทานอาหารกับครอบครัว และทำการบ้านอ่านหนังสือ ผมมักจะรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เมื่อมีผู้ปกครองของเด็กบางคน ทั้งที่เป็นและไม่เป็นลูกค้าของผม ชะโงกหน้าเข้ามาในร้าน ถามหาลูกที่ยังไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่เลิกเรียน เวลาปิดร้านของผมจึงถูกร่นเร็วขึ้นมาเรื่อย ๆ และมาได้ข้อสรุปว่า ร้านอินเตอร์เน็ตแห่งนี้ปิดเวลา 18.30 น.!
..... คำเตือน และเวลาการปิดร้านของผมจะได้ผลตามเจตนารมณ์ของผมหรือไม่ผมไม่อาจทราบได้ แต่ผมคิดเสมอว่า เด็กเหล่านั้น ต่างก็มีพ่อมีแม่ ที่รอคอยอยู่ที่บ้าน พ่อแม่ของเด็ก ๆ เหล่านั้นคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผม ในยามที่ต้องชะเง้อ รอลูกสาว การกระทำของผมเช่นนี้ อาจทำให้เด็กบางคนรำคาญ เมื่อมีร้านใหม่เปิดขึ้นมา เจ้าของร้านเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ไม่จู้จี้ขี้บ่นเหมือนผม เปิดให้บริการตั้งแต่เช้ายันดึก ถึงตี 2 ตี 3 เด็กหลายคนที่เคยเป็นลูกค้าประจำของผมก็ค่อย ๆ หายหน้าไป "ยุคทอง" ของร้านผมจึงสั้นมากเมื่อเทียบกับร้านแนวเดียวกันร้านอื่น
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากนัก เพราะผมคิดเสมอว่าอย่างน้อยที่สุด ผมได้ทำหน้าที่ของผมในฐานะเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ตเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้ดีสุดความสามารถแล้ว
.... ในช่วงนั้น โปรแกรม IRC เป็นสิ่งแรก ๆ ที่เด็กที่เข้ามาใช้บริการจะคลิกเปิด ส่วน Browser จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเด็กคนนั้น จะเช็คอีเมล์ที่สมัครไว้กับบริการฟรีอีเมล์ การ surf web เพื่อหาข้อมูลความรู้ที่มีอยู่อย่างหลากหลายบนอินเตอร์เน็ต กลายเป็นเรื่องที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็น
อาทิตย์ละครั้ง จะมีเด็กหนุ่มหน้าตาดี
รูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง
เข้ามาใช้บริการที่ร้านของผม
เขาเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลาย
ที่ผมจำได้แม่นก็เพราะเขาเป็นเด็กผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เหลือเป็นลูกค้าประจำของร้านผม
และเขาแตกต่างจากลูกค้ารายอื่น ๆ ตรงที่เขาจะเปิด
Browser เป็นสิ่งแรก
เอกลักษณ์ของเด็กหนุ่มคนนี้คือจะมีสมุดเล่มเล็ก ๆ ติดตัวมาด้วยเสมอ ทุกครั้งที่ เขาค้นพบสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะจดลงในสมุดเล่มนั้น
ผมเคยเดินผ่านเครื่องที่เขาเล่นอยู่ พอชำเลืองเห็นได้ว่า เขาสนใจเว็บไซต์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ ต่างจากเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ที่จะใช้ browser เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับดารานักร้องคนโปรด ทำให้ผมแอบชื่นชมความใฝ่รู้ของเด็กหนุ่มคนนี้อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้
ถึงเขาจะได้ชื่อว่าเป็นลูกค้าขาประจำของร้านผม แต่เขาจะมาใช้บริการไม่เกินอาทิตย์ละครั้ง และครั้งละไม่เกินชั่วโมงเดียว แม้ในบางครั้งผมใจดีจะแถมให้เขาเล่นต่อ เขาก็ปฏิเสธ โดยเหตุผลว่าเขาต้องกลับบ้านด้วยรถไฟ หากพลาดรถไฟขบวน นั้นแล้ว เขาจะไม่มีรถกลับบ้าน
....และทุกครั้งที่เขาจ่ายค่าบริการในอัตราชั่วโมงละ 20 บาท ผมมักจะไดัรับเงิน 20 บาทนั้นจากเขาเป็นเศษเหรียญ ทั้งเหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท หรือแม้แต่เหรียญบาทเสมอ มาทราบเอาภายหลังจากที่ได้พูดคุยกันจนสนิทสนมว่า เงิน 20 บาทนั้น ได้มากจากการเก็บออมค่าขนมเป็นเวลา 1 อาทิตย์
“ ผมอยากเรียนต่อด้านคอมพิวเตอร์ครับอา ผมสนใจเรื่องคอมพิวเตอร์จริง ๆ” เขาเคยบอกผมในวันหนึ่ง เมื่อเรามีโอกาสได้คุยกัน มันเป็นความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มที่ผมมักเก็บมาชื่นชมเสมอ
....ร้านของผมในปีนี้ ผ่าน "ยุคทอง" มานานมากแล้ว เปรียบไปตอนนี้มันคงเข้าสู่ "วัยทอง" เครื่องที่เคยให้บริการเต็มร้าน ก็ค่อย ๆ ถูกลดปลดระวางเหลือเพียง 3-4 เครื่อง ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการกลับกลายเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ในขณะที่เด็ก ๆ เลิกเห่อการ chat ผ่าน IRC ไปนานแล้ว และผมก็ทำใจไม่ได้ที่จะใช้เกมส์ประเภทไล่ล่าฆ่ายิง มาเป็นหนทาง ในการเสริมรายได้ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็ก ๆ ไม่มีให้ได้ยิน ลูกค้าผู้ใหญ่ต่างคนต่างค้นหาข้อมูล รับ-ส่งอีเมล์อย่างเงียบ ๆ ผลประกอบการของร้านเมื่อเทียบกับครั้งเปิดใหม่ ๆ ลดต่ำลงอย่างน่าตกใจ และมีเค้าลางว่าคงจะต้องปิดตัวเองลง ในเวลาไม่นานนัก ผมพยายามหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทั้งรับซ่อม หรือซื้อฮาร์ดแวร์และ Accessories พวกหมึกพิมพ์ Diskett มาขาย ก็พอปะทะปะทังไปได้แบบเดือนแทบไม่ชนเดือน
.... และแล้ว ในวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะที่ผมกำลังประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กับเพื่อนที่อุตส่าห์สั่งซื้อ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวอยู่ถึงกรุงเทพฯ เด็กหนุ่มคนนั้นก็กลับมาที่ร้านผมอีกครั้ง คราวนี้เขามาในชุดนักศึกษาอาชีวะ ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ ขึ้นมาก เมื่อเทียบกับตอนที่ได้พบกันในชุดกางเกงขาสั้นของนักเรียนมัธยมปลาย
เราทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย ถามไถ่ ได้ความว่าเขากำลังศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ที่วิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดในสาขาคอมพิวเตอร์ ผมแสดงความยินดี กับเขาที่ได้มีโอกาสเรียนในสาขาวิชาที่ตนเองชอบและใฝ่ฝันไว้แต่แรก เขาได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ
“ แย่ครับอา” เขาเริ่มปรับทุกข์ขณะที่นั่งลงข้าง ๆ ดูผมประกอบคอมพิวเตอร์
"อ้าว ทำไมล่ะ เราชอบไม่ใช่หรือ" ผมถาม ขณะใส่ CPU ลงบนเมนบอร์ด
"ตัวที่อาถืออยู่นี่เขาเรียกว่า CPU ใช่ไหมครับ" เขาถามแทนคำตอบ
"อ้าว ไหนว่าเรียนสาขาคอมฯ ไม่รู้จัก CPU เลยหรือ?" ผมชะงัก และหันไปถาม
"เรียนครับ แต่ทั้งวิทยาลัย ยังไม่มีคอมฯ เลยสักตัว มีแต่สอนกันบนกระดาน" เขาตอบ
"อ้าว เฮ้ย สอนคอมฯได้ไงกันหว่า ไม่มีคอมฯสักตัว?" ผมถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อ
"จริง ๆ ครับอา วิทยาลัยนี้เพิ่งเปิดใหม่ อาจารย์บอกว่ากำลังสั่งซื้อ นี่เรียนมาตั้งครึ่งเทอมแล้วยังไม่มีคอมฯให้เรียนสักตัว" เขาตอบ และจากสีหน้าแววตาของเขา ผมมองไม่เห็นเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องโกหกผม
"ขนาดเรียนคำสั่ง DOS ยังต้องเรียนต้องสอบกันบนกระดาษเลยครับ" เขาเล่าต่อ สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
"เฮ้ย โรงเรียนเฮงซวยอย่างนี้มีด้วยหรือ? ไปเรียนทำไมหว่า?" ผมถามไป รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา
"มันไม่มีทางเลือกครับอา" เขาตอบด้วยเสียงเบา ๆ
"ผมไม่มีทุนเรียนต่อ ต้องกู้เงินเพื่อการศึกษา แล้วโรงเรียนนี้เขาจัดการให้หมด จะเรียนที่อื่นก็กู้ไม่ได้ครับ"
...เขาคงหมายกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ผมก็เคยได้ยินข่าวแว่ว ๆ มาว่าโรงเรียนเอกชนบางแห่ง ใช้นโยบายดึงเด็ก ที่ไม่มีทุน โดยจัดการเดินเรื่องกู้ยืมเงินให้ทั้งหมด เพื่อให้มีจำนวนนักเรียน นักศึกษามากพอที่จะทำให้สถาบันนั้น ถึงจุด "คุ้มทุน"
"อันนี้เรียกว่า RAM ใช่ไหมครับ" เขาถามต่อ พร้อมกับหยิบ RAM ที่ผมวางไว้ข้าง ๆ ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เพิ่งพบสะสารชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยมีผู้ใดค้นพบมาก่อน
แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะตอบ คำถามเขาเสียแล้วในตอนนั้น
ใจของผมกระเจิดกระเจิงไปกับความฉงน สนเท่ห์ระคนสมเพช
กับระบบการศึกษา
ของประเทศนี้
หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดหนอ
ที่อนุญาตให้สถาบันการศึกษาที่ขาดความพร้อมเช่นนี้เปิดดำเนินการได้?
เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีการติดตามตรวจสอบความพร้อมของสถาบันการศึกษาเหล่านั้นเลยหรือ?
กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่รัฐบาลจัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน
จะถูกใช้ละเลงไปกับการศึกษา ที่ไร้ประสิทธิผลเช่นนี้
ไปอีกเท่าใด?
ผู้บริหารหรือเจ้าของสถานศึกษาเหล่านั้น
ยังมีจิตสำนึกของความเป็นคนเหลืออยู่หรือไม่ ทั้งนี้
โดยยังมิพักต้องทวงถามถึงความเป็นครู??
"เออ " เสียงเด็กหนุ่มคนนั้นทำให้ผมตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิดคำนึง
"ช่วงปิดเทอม ผมจะมาขอฝึกงานกับอาได้ไหมครับ" เขาถามอย่างเกรงใจ
"มาเลย มาฝึกกับอานี่แหละ" ผมตอบอย่างไม่ต้องคิด
คุณเคยเห็นแววตาของเด็กที่เปิดกล่องของขวัญในงานวันเกิด และพบว่าของที่อยู่ในกล่อง เป็นของเล่นที่เขาใฝ่ฝันอยาก ได้มานานนับเป็นปี ๆไหม?
แววตาแบบนั้นแหละที่ผมเห็นจากเด็กหนุ่มคนนั้นเมื่อเขาได้ฟังคำตอบจากผม .
"ครับ ผมมาแน่นอนครับ" เขารับปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เราพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยกมือไหว้ผม และลาจากไปในวันนั้น
อดคิดต่อไม่ได้ว่า ยังมีเพื่อนของเขาอีกสักกี่สิบกี่ร้อยคน ที่ยังคงต้องรู้จัก CPU, RAM, Mainboard, Harddisk ฯลฯ เพียงแค่จากรูปในหนังสือ
.... และอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อเขาจบการศึกษาจากสถาบันนี้ นอกจากกระดาษที่เรียกว่า ใบประกาศนียบัตร 1 แผ่นที่แสดงวุฒิการศึกษาระดับ ปวส. แล้ว เด็กหนุ่มเด็กสาวจากสถาบันนี้ จะมีความรู้อะไรติดตัวออกมาสักแค่ไหน?
และ .อีกกี่ปีหลังจากนั้น เขาจึงจะใช้เงินกู้ยืมที่เขาได้รับมาคืนให้แก่รัฐบาลได้หมด?
เขียนเมล์มาคุยกัน ได้ที่ pae@4u.net