EVE Burst Error
ภาค โคะจิโร่
วันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 19xx
(กลางคืน)

การขายข่าวครั้งสุดท้าย


“เผียะ เผียะ”
“หืมห์??”
ไม่เอาน่า อย่ามารบกวนเวลานอนอย่างนี้เลยขอผม
นอนต่ออีกนิดหนึ่งน่า
“หึ หึ จะตื่นรึไม่ตื่น” คราวนี้ มีนิ้วเรียวยาวของใคร
บางคนหนีบจมูกผมไว้ ผมเริ่มได้สติและรู้สึกถึงน้ำ
หนักตัวของใครบางคนที่กดทับอยู่บนตัวผม
เอ สถานการณ์อย่างนี้่ดูเหมือนว่าผมจะเคยเจอมา
ก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เอ เมื่อไหร่น้า อ๋อ ใช่แล้ว ตอน
เช้าวันที่ผ่านมานี้เอง และฝ่ายตรงข้ามก็คือ…
ผมใจหายวาบ ตื่นจากภวังค์ และลืมตาขึ้นเพื่อพบ
กับ…
“!!!”
ซิเรียนั่นเอง กำลังนั่งทับตัวผมอยู่ แต่เจ้าหล่อนไม่
เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไร รีบเลื่อนมือที่บีบจมูกของ
ผมอยู่ลงมาปิดปากผมไว้ด้วยอาการพิรุธที่ผม
สังเกตได้ว่า หล่อนใช้ตัวหล่อนเองบังการกระทำ
ของหล่อนไว้จากใครบางคนที่อยู่ด้านหลังออกไป
“ตื่นแล้วค่ะ เจ้านาย” ซิเรียพูดขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังมองที่
ผมเขม็ง สายตาส่งสัญญานอะไรบางอย่างให้ผม
และแล้วผมก็ได้ยินเสียงหล่อนพูดเบาเกือบจะไม่ได้
ยินว่า
“เราสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เข้าใจไหม!!!”
ผมพยักหน้ารับทันที ซิเรียคลายมือออกและลุกขึ้น
จากตัวผม โดยขยุ้มคอเสื้อผมดึงให้ลุกขึ้นตามไป
ด้วย ผมรู้ตัวในตอนนี้เองว่า ตัวเองถูกพันธนาการ
ไว้ มือทั้งสองข้างถูกมัดอย่างแน่นหนาด้วยเชือก
และไขว้ไว้ที่หลัง ในใจผมนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อ
ก่อนหน้าที่ผมจะหมดสติไป ผมจำได้ว่าผมวิ่งเข้า
หาพวกหน่วยจู่โจมซึ่งมีอยู่นับสิบ โดยที่ปืนในมือ
ผมเหลือกระสุนเพียงสี่นัด ทั้งสี่นัดถูกส่งไปกลางวง
ของพวกนั้น ส่งผลให้มีคนร่วงลงไปสามคน พร้อม
กับที่ตัวผมเผ่นพรวดเข้าไปกลางกลุ่ม แจกหมัดส่ง
สองคนแรกลงไปร่วงกับพื้นได้ แต่… หลังจากนั้น
เกิดอะไรขึ้นกับผมจนกระทั่งผมหมดฤทธิ์ถูกพวก
มันจับตัวพันธนาการมาได้นั้น ผมเองก็จำได้ไม่แน่
ชัด
เมื่อผมยืนขึ้นเต็มที่แล้ว หญิงสาวผู้คุมตัวผมอยู่ก็
ผลักตัวผมลงเฉียง ๆ ให้ผมทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัว
หนึ่ง จากนั้นก็ถอยหลังไปยืนสมทบกับคนอีกสาม
คนที่อยู่ในห้องนั้น
ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อพบว่าหนึ่งในสามคนนั้น
เป็นคนที่ผมรู้จักดี
“ไอ้หมูตอน!”
“โอ๊ะโอ่ ปากกล้าเหมือนเดิมนะครับ คุณอะมะกิ”
ฝ่ายนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบตามสไตล์
เดิม ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ นายหมูตอนที่แอบ
อ้างตัวเป็นคุณโคและหลอกจ้างผมให้ทำงานหา
ของให้นั่นเอง ส่วนข้าง ๆ ของมัน (เรียกมันซะเลย)
ขนาบข้างไว้ด้วยสตรีสาวหน้าตาผิวพรรณบ่งบอก
ว่าเป็นชาวเอเชียตะวันออกสองคน (ไม่แน่ใจว่าเป็น
คนญี่ปุ่นหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่) คนหนึ่งอยู่ใน
ชุดรัดกุมค่อนข้างเปิดเผยสัดส่วน และอีกคนหนึ่ง
อยู่ในชุดกี่เพ้าแบบจีน สาวคนแรกถือแส้เส้นยาวอยู่
ในมือทั้งสองและกำลังคลึงแส้เส้นนั้นเล่น สายตา
ของสตรีทั้งสองซึ่งเพิ่งพบเห็นผมเป็นครั้งแรกทอด
มาที่ผมด้วยประกายแสดงความสนอกสนใจเต็มที่
“ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวอีกครั้ง กรุณาอย่าเรียกผม
อย่างนั้นอีก ไม่งั้นผมคงไม่อาจรับประกันสวัสดิ
ภาพของคุณได้ ผมชื่อดีฟครับ ยินดีมากเลย ที่ได้
พบกับคุณอีกครั้ง คุณอะมะกิ” เจ้าหมูอ้วนพูดต่อ
ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม หากแต่
ผมรู้สึกได้ถึงความเลือดเย็นและเหี้ยมเกรียมที่แฝง
อยู่ในรอยยิ้มนั้น
“เฮอะ แต่ฉันโค-ตระ-ระไม่ดีใจเลยว่ะ” ผมตอบ
เสียงกระชาก “พวกแกเองสินะที่อยู่ ๆ ก็ส่งหน่วยจู่
โจมบุกเข้าไปน่ะ พวกแกรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นั่น” ใน
เมื่อมันไม่อยากให้ผมเรียกมันว่า เจ้าหมูตอน ผมก็
ไม่เรียกล่ะ แต่จะให้เรียกคุณดีฟเหรอ ฝันไปเถอะ!
แต่ที่ผมถามไปอย่างนั้น ก็เพราะหลังจากผมตั้ง
หลักประมวลความคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วได้แล้ว ผมก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลขึ้น
มา ตลอดเวลาที่เดินทางออกจากสำนักงานพร้อม
กับพริน ผมได้ใช้ความสังเกตสังกาอย่างละเอียดถี่
ถ้วนแล้วเชียวนา ว่าไม่มีใครที่น่าสงสัยสะกดรอย
ตามพวกผมมา หรือไม่มีใครที่ลอบมองพวกผมนาน
ผิดสังเกต ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกมันจะบุกเข้าไปได้
อย่างเหมาะเจาะเช่นนี้ อา… เจ้าหญิงพริเซียหรือพ
รินจะหนีรอดไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งหรือไม่หนอ
“หึ หึ หึ” เจ้าโคตัวปลอมหัวเราะเสียงต่ำ “แปลกใจ
หรือครับคุณอะมะกิ ที่จริงตอนนี้คุณไม่อยู่ในฐานะ
จะถามอะไรผมนะครับ แต่เอาล่ะในเมื่อเมื่อกี้ตอนที่
เราส่งคนไป ‘เชิญ’ คุณมาคุณก็ให้ความเมตตาเด็ก
ๆ ของผมอย่างดี ไม่มีใครเสียชีวิตเลยแค่รับบาด
เจ็บกันถ้วนหน้า ผมจะยอมตอบคำถามนี้ของคุณก็
ได้”
“เออ ว่ามา” ผมแกล้งยืดอกพูด
“คุณอะมะกิเป็นนักสืบมือดีนี่ครับ คงจะทราบว่าสิ่ง
สำคัญของงานสืบสวนคือ แหล่งข่าวที่ดี…” นาย
อ้วนดีฟเฉลย “ทางพวกผมก็เช่นกัน แค่พวกผม ‘ซื้อ’
ข่าวจากแหล่งข่าวเดียวกันกับคุณอะมะกิเท่านั้น
เอง”
“แก… หมายความว่า” ผมประหวัดนึกถึง… ให้ตาย
เถอะ ขอให้ผมคาดการณ์ผิดด้วยเถิด แต่ร่างของ
ใครคนหนึ่งซึ่งคุ้นตาผมเหลือเกินได้ก้าวเข้ามาใน
คลองจักษุผมจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าผม ทำให้ผม
ไม่อาจปฏิเสธความจริงไปได้
“เหอะ ๆ ๆ” หมอนั่นหัวเราะตามสไตล์เดิม “สวัสดี
ครับคุณโคะจิโร่ คงไม่โกรธผมนะครับที่ ‘ขาย’ ข้อ
มูลนี้ไป”
หมอนี่หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดว่า ‘ขาย’ ผม แต่มันก็
เหมือนกันนะแหละ
“เกล็น!” ผมครางเสียงแห้ง “ทำไม?”
ในใจนึกถึงโทรศัพท์ที่เกล็นโทรฯ มาหาผมก่อนที่ผม
จะมุ่งหน้ามาที่โรงแรมปรินเซส ผมไม่น่าปากไวไป
บอกเกล็นเรื่องที่ผมอยู่กับพรินเลย
“คุณโคะจิโร่ก็น่าจะเข้าใจนะครับ” เกล็นตอบมา
“ผมก็ต้องทำมาหากินเหมือนกัน และงานของผมก็
คือการขายข้อมูล ในเมื่อมีผู้ต้องการซื้อ ผมก็ขาย
หากมีการขัดผลประโยชน์กันในหมู่ผู้ซื้อ ผมก็ต้อง
เลือกขายให้เฉพาะผู้ที่ให้ราคาดีที่สุด”
เกล็นยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง “ซึ่งก็คือพวกคุณดีฟ”
“อ้อ เข้าใจล่ะ” ผมนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ “ที่นายบอก
ว่าพักนี้กำลังทำงานให้ลูกค้ารายใหญ่ก็… รายนี้
เองล่ะสิ”
“เหอะ ๆ แม่นแล้วคุณโคะจิโร่”
“เฮ้อ!” ผมถอนหายใจ ที่จริงเกล็นก็ไม่ใช่คนเลว
อะไรนักหรอก การที่เกล็นตัดสินใจทำแบบนี้ก็นับว่า
ถูกแล้วแต่… น่าเสียดายที่คู่ค้าเลวร้ายเกินไป เกล็น
เองเคยเป็นคนเตือนผมว่าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคดีที่
ใหญ่เกินตัว แต่ตัวเขาเองกลับ… “เอาเถอะ เกล็น
ฉันไม่ว่าอะไรนายหรอก”
“โอ้! ขอบคุณครับคุณโคะจิโร่ คุณเป็นคนที่เข้าใจ
อะไรได้ดีเสมอ” เกล็นยิ้มกระลิ่มกระเหลี่ยแต่เสียง
ของนายดีฟดังขัดขึ้นมาจากด้านหลังของนักค้าข่าว
ว่า “แต่น่าเสียดายที่คุณเกล็นไม่เข้าใจอะไรเลยนะ
ครับ”
“ปัง” “!?”
เสียงปืนพกขนาดเล็กดังขึ้น เกล็นสะดุ้งสุดตัวแต่ไม่
มีเสียงร้องใด ๆ หลุดออกจากลำคอ หากแต่สิ่งที่
หลุดออกจากลำคอของเขาคือ กระสุนที่ยิงจากข้าง
หลังทะลุออกตรงบริเวณคอหอยนั่นเอง ร่างของนัก
ค้าข่าวค่อย ๆ ทรุดฮวบลง นัยน์ตายังคงเบิ่งโพลง
เหมือนกับไม่เชื่อว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของตน ผม
ได้แต่นึกอโหสิกรรมให้เกล็นในใจ นักค้าข้อมูลผู้ยิ่ง
ใหญ่ต้องมาพลาดเพราะเลือกลูกค้าผิดเพียงครั้ง
เดียวแท้ ๆ จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผมประสบมาใน
วันนี้ทำให้ผมทราบว่า พวกนายดีฟคงไม่ปล่อยให้ผู้
ที่รู้เห็นการกระทำของพวกมันไม่ว่าจะมากหรือน้อย
มีชีวิตรอดไปได้แน่ ๆ
นายโคตัวปลอมมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ต่างจาก
เดิม ผมทราบได้โดยสัญชาตญานว่า หมดเวลาพูด
เล่นแล้ว
“เอาล่ะทีนี้เราก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่า คุณอะมะกิ สิ่ง
ที่คุณอยากทราบ ผมก็ตอบให้คุณไปแล้ว ผมหวัง
ว่า ตาผมถามคุณบ้างคุณจะตอบผมดี ๆ นะ ซิเรีย!”
สุดท้ายเจ้าดีฟหันไปสั่งลูกน้อง คือ ซิเรีย ซึ่งเดินตรง
เข้ามาหาผมทันทีพร้อมกับเข็มฉีดยา ผมทำท่าจะ
ดิ้นเมื่อสาวเจ้าถลกแขนเสื้อขึ้นจะฉีดยาซึ่งยังไม่
ทราบว่าเป็นยาอะไรเข้าเส้นเลือดของผม แต่เสียง
ดีฟสำทับมาว่า
“อย่าดิ้นเลย คุณอะมะกิ เดี๋ยวเข็มหักจะยิ่งลำบาก
กันเข้าไปใหญ่นะ”
และด้วยสายตาซิเรียที่สบตากับผมด้วย ทำให้ผม
ปล่อยให้เธอฉีดยาเข้าแขนแต่โดยดี
“ซิเรีย ฉีดให้หมดหลอดเลย”
“เอ๊ะ!?” จารชนสาวชะงักมือ หันขวับไปทางนาย
ของเธอ ผมสังเกตเห็นแววร้อนรนแวบหนึ่งในตา
ของเธอ “ไหนว่าจะใช้ครึ่งเดียวไงคะ? นาย”
“ทำตามที่ฉันบอก!” ดีฟยืนกรานเสียงเย็นชา ซิเรีย
หันกลับมาสบตาผมอีกแวบหนึ่งด้วยสายตาที่แสดง
ถึงความเป็นห่วงและขอโทษ ก่อนที่จะลงมือทำ
ตามคำสั่ง เสียงของดีฟดังต่อมาว่า “ยากล่อม
ประสาทของกรมข่าวกรองเอลเดียเก่าน่ะครับ คุณ
อะมะกิ คุณช่างเป็นบุคคลที่มีเกียรติแท้ ๆ ที่ได้ใช้
ยานี้นะครับ”
“เฮอะ ขอบคุณ” ผมตอบประชด ขณะที่ซิเรียถอน
เข็มออกจากแขนผม
“น่าเสียดายที่กว่ายานี้จะออกฤทธิ์ก็ต้องอีกสองชั่ว
โมง เมื่อถึงตอนนั้น คุณจะไม่มีอะไรปิดบังผมอีก
แต่ระหว่างที่รอ เราลองคุยกันพลาง ๆ ก็ละกันดี
ไหมครับคือ… ผมมีของต้องทวงถามจากคุณให้ได้
อยู่อย่างหนึ่ง” นายดีฟพูดช้า ๆ แล้วสุดท้ายก็
เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโทนเสียงเหี้ยมเกรียม ซักต่อว่า
“คุณเอาของสำคัญของนายโคไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
“ของสำคัญ?” ผมงง จับต้นชนปลายไม่ถูก อด
ชำเลืองสายตาไปยังรอยเข็มบนต้นแขนแวบหนึ่งไม่
ได้ “ก็แกเป็นคนจ้างฉันหาภาพลายเส้นอะไรนั่น ฉัน
ก็หาให้เจอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ใช่!!!” แกนนำกรมข่าวกรองเอลเดียเก่าสวนทัน
ควัน “ของสำคัญคือ ของที่อยู่กับภาพนั้นต่างหาก
‘พวก’ แกแน่มากนะ แสดงละครตบตาฉันได้” สรรพ
นามที่เจ้าดีฟใช้กับผมก็เริ่มเปลี่ยนไปเสียแล้ว แสดง
ให้เห็นว่าทางมันก็เริ่มมีอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา
เช่นกัน
“พวกฉัน?” ผมทวนคำ
“ใช่ ‘พวก’ แกแหละ ก็แกกับไอ้เจ้านิไคโดของสำนัก
งานนักสืบคะทสึระงิไง ทำทีเป็นว่าไม่ถูกกัน แล้วก็
ค้นหาภาพนั้นต่อหน้าต่อตาฉัน แล้ว… สุดท้ายพวก
แกก็แอบดึงเอาของสำคัญไปตั้งแต่แรก”
นิไคโด? ชื่อปรากฏเข้ามาในการเจรจาครั้งนี้อย่าง
ไม่คาดฝันทำให้ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก นิไคโดมา
เกี่ยวอะไรด้วย? เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน นิไคโดทำงานให้
กับนายมิโดนี่นา นี่หมายความว่ายังไง?
“ยังตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องอีกหรือ นายอะมะกิ” ชายร่าง
อ้วนรุกต่อ ท่าทางหมอจะปักใจเชื่อว่าผมกับนิไคโด
สมรู้ร่วมคิดกัน
“เดี๋ยวก่อน ขอเวลาฉันหน่อย ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่
ได้ร่วมมือกับนายนิไคโดจริง ๆ สาบานได้”
ผมระล่ำระลัก
“ฮึ! แล้วแกปฏิเสธรึไง ว่าแกไม่ได้มารับงานจากฉัน
ด้วยการแนะนำของนักข่าวผู้หญิงคนนั้น”
“เอ๊ะ! … แกหมายถึง … อะคะเนะเหรอ” ผมสะดุ้ง
วาบ ในใจนึกสังหรณ์ร้ายขึ้นมากระทันหัน ให้ตาย
เถอะขอให้ลางสังหรณ์ของผมครั้งนี้ผิดด้วยเถิด
“ก็จะมีใครเสียอีกล่ะ” นายดีฟยิ้มเหี้ยมเกรียม “ของ
สำคัญของโคที่แกกับนิไคโดเอาไปนั้นน่ะ ตอนนี้ครึ่ง
หนึ่งอยู่ที่ฉันแล้ว จะบอกให้ก็ได้มันอยู่ในกล้องถ่าย
รูปของยัยนักข่าวนั่นไง เป็นไงหน้าเปลี่ยนสีเลย
เชียวนะ” ตอนท้ายดีฟพูดดักคอเมื่อสังเกตเห็นว่า
ดวงตาผมทอประกายวูบขึ้นมาเมื่อพูดถึงคำว่า
‘กล้องถ่ายรูปของอะคะเนะ’ แต่อย่างไรก็ตามมันยัง
คงเข้าใจผิดอยู่ดีเพราะผมไม่ได้รู้เห็นกับเรื่องพวกนี้
เลย หากแต่ผมเริ่มมองภาพออกเป็นฉาก ๆ เมื่อ
วิเคราะห์ได้ว่านิไคโดกับอะคะเนะร่วมมือกันตั้งแต่
แรก คงจะไม่ยากเลยที่เจ้านิไคโดจะหลอกใช้ (หรือ
ไม่หลอกใช้ก็ตามเถอะ) ยัยอะคะเนะโดยเอา
สัญญาว่าเรื่องที่หมอนั่นกำลังจะทำจะกลายเป็นส
กู๊ปข่าวใหญ่มาล่อใจนักข่าวสาว จากนั้นอะคะเนะก็
มาติดต่อให้ผมไปช่วยสืบเรื่องนี้อีกทีซึ่งในตอนนี้จะ
เป็นด้วยไอเดียของยัยอะคะเนะเองหรือเป็นของนิ
ไคโดก็ตามเถิด เรื่องก็กลายเป็นว่าผมถูกทั้งสอง
หลอกใช้งานอีกทีหนึ่ง เพราะจุดประสงค์ของทั้ง
สามคนคือ นายโคตัวปลอม และนิไคโดกับอะ
คะเนะไม่ได้อยู่ที่รูปวาดนั้นจริง ๆ หากแต่อยู่ที่
“สถานที่ซ่อนรูปวาด” ต่างหาก มิน่าล่ะ ในสัญญาที่
นายโค (ตัวปลอม) จ้างผมจึงระบุว่า ไม่ต้องหาของ
มาคืนก็ได้ หากแต่ให้บอกแค่สถานที่ที่พบของนั้นก็
พอ ผมนึกออกได้อีกถึงตอนที่ค้นพบรูปวาดลายเส้น
นั้นในลิ้นชักเจ้าปัญหา ตอนที่หยิบลิ้นชักอันเป็นที่
ซ่อนของรูปวาดออกมานั้นผมให้นิไคโดเป็นคนหยิบ
เอง โดยที่ผมเองก็สังเกตเหมือนกันว่ามีเสียงกุกกัก
เล็กน้อยเวลาเขย่าลิ้นชักแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
เมื่อนิไคโดเปิดแผ่นไม้ที่ซ้อนอยู่ตรงก้นลิ้นชักขึ้นมา
แล้วพบภาพวาดลายเส้นนั้นอยู่ ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้
เองว่า นิไคโดคงจะฉวยโอกาสตอนนั้น หยิบ “ของ
สำคัญ” ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของงานครั้งนี้
ไปในตอนนั้นเอง
“ว่าไง เงียบไปเลยรึ อะมะกิ” นายดีฟเร่งมาอีก
“ของอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ไหน?”
โดยสัตย์จริง ผมเองไม่รู้เรื่องเลยว่าของอีกครึ่งนั้น
อยู่ที่ไหน หรืออย่าว่าแต่จะรู้เลย ของที่ว่าคืออะไร
ผมยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อถูกเข้าใจผิดเข้า
เต็มเปาแบบนี้แล้วผมเลยตกกระไดพลอยโจนว่า
“บังเอิญฉันไม่ถูกชะตากับแกว่ะ ฉันเลยตั้งใจว่าจะ
ไม่บอกแกซะอย่าง? แกจะทำไมฉันได้”
“ฮะ ๆ ๆ” ชายร่างอ้วนหัวเราะขึ้นสีหน้ามีแววสมใจ
ทั้งที่ถูกผมปฏิเสธ วูบหนึ่งที่ผมนึกถึงยาที่ถูกฉีดเข้า
ตัวผม เจ้านี่คงเชื่อฤทธิ์ยาว่าจะทำให้ผมคลาย
ความลับได้กระมัง แต่ประโยคต่อมาของมันก็ทำให้
ผมทราบว่าผมคาดผิด “สมกับเป็นคุณอะมะกิจริง
ๆ ครับ ผมทราบดีว่าคนที่ล้มลูกน้องผมจำนวนมาก
ได้โดยที่ไม่มีใครถึงตายนั้นน่ะ ย่อมใช้วิธีธรรมดา ๆ
ไม่ได้หรอก อย่างเช่น จะซ้อมหรือทรมานคุณให้
สารภาพออกมาก็คงไม่ได้ผล ใช่ไหมครับ?”
น้ำเสียงนายดีฟกลับไปเป็นแบบเดิมและสรรพนาม
ที่ใช้กับผมก็เหมือนเดิม
“เออ สิวะ” ผมตอบเสียงแข็ง วินาทีถัดมาผมก็ต้อง
ชาวูบไปทั้งตัวเมื่อฝ่ายนั้นตอบว่า
“แต่คุณอะมะกิคงจะไม่ใจดำเห็นพวกของคุณ โดย
เฉพาะสุภาพสตรีต้องเจ็บตัวสินะครับ โอ ไม่สิ ผม
พูดผิดไปหน่อย ที่จริงท่านสุภาพสตรีท่านนั้นน่ะเจ็บ
ตัวมามากพอสมควรแล้วล่ะครับ ตอนที่เราทำให้
หล่อนคายเรื่องกล้องถ่ายรูปออกมา!”
พูดจบหมูตอนก็หัวเราะอย่างน่าเกลียด พลางผาย
มือไปทางผนังห้องข้างหนึ่งที่มีโทรทัศน์ขนาดยี่สิบ
นิ้วตั้งอยู่ สมุนสาวคนที่ถือแส้ในมือเดินไปกดสวิทช์
เปิดโทรทัศน์ขึ้น หันหน้ามาทางผมพลางเอ่ยปาก
ขึ้นเป็นครั้งแรกว่า
“นี่เป็นโทรทัศน์ที่ต่อจากกล้องวีดีโอในห้องอีกห้อง
หนึ่งนะคะคุณอะมะกิ เป็นไงคะ? ผลงานของฉัน?”
ผมตะลึงจ้องภาพที่ปรากฏในโทรทัศน์โดยไม่กระ
พริบตา ริมฝีปากหลุดเสียงครางออกมาว่า
“ยัยอะคะเนะ!…”
back index next 1