มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

เนฟเวอร์แลนด์เดือนสี่ปีที่ 997: อสมานฉันท์แห่งมวลมนุษย์

ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางแห่งนักผจญภัย คลาคร่ำด้วยบรรดานักเผชิญโชคทุกชั้นความชำนาญ (คลาส เช่น นักดาบ นักบวช จอมขมังเวทย์ นินจา ฯลฯ) ที่ผ่านมาพักแรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตามโรงเตี๊ยม (โรงแรมสำหรับนักเดินทาง) ที่มีอยู่ดาษดื่นภายในอาณาเขตกำแพงเมืองอันมั่นคงที่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ

ตกค่ำ ตามร้านเหล้า ซึ่งมักจะเป็นชั้นล่างของโรงเตี๊ยมก็จะเนืองแน่นด้วยเหล่านักสู้ที่นั่งประจำตามโต๊ะต่าง ๆ บ้างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน บ้างก็แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ขุดหาสมบัติ บ้างก็แลกเปลี่ยนหรือปลุกเสกอาวุธ บางโต๊ะมีนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงเป็นศูนย์กลาง รายล้อมด้วยนักผจญภัยหน้าใหม่ที่หวังจะฟังประสบการณ์พิสดารหรือเคล็ดลับในการผจญภัยดี ๆ เพื่อที่ตนจะได้เอาไปใช้บ้าง บางโต๊ะก็มีคนนั่งเพียงสองสามคน แต่ที่เหมือนกันคือ เกือบทุกโต๊ะมีโถเหล้าโถใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เพื่อทำหน้าที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้มิตรภาพของผู้ที่เพิ่งรู้จักกันเบ่งบานอย่างรวดเร็ว

หากแต่ในวันนี้ หัวข้อที่พวกเขากำลังสนทนากันนั้น ไม่ใช่เรื่องของการผจญภัยเสียแล้ว แต่เป็นข่าวการสถาปนากองทัพอสูรสายเลือดใหม่ของเจ้าหญิงอสูรฮิโระ พร้อมกับข่าวการล่มสลายของแคว้นโททัสบูร์กนั่นเอง

“โดฟานแห่งโททัสบูร์กก็ไม่ได้เก่งสักเท่าไรเลยนี่หว่า แพ้กระทั่งเด็กอสูรตัวเล็ก ๆ ตนหนึ่ง” นักดาบคนหนึ่งซึ่งคงจะ “ร่ำ” น้ำเปลี่ยนนิสัยเข้าไปพอสมควร กล่าวขึ้นอย่างดูแคลนเจ้าของนามทั้งสองนั้น

“อ้าว ท่านทราบได้อย่างไรว่า มันเป็นเด็กอสูรตัวเล็ก ๆ น่ะ” อีกคนขัดคอขึ้น

“ตามข่าวบอกว่าเพิ่งอายุได้สิบหกสิบเจ็ดเองมิใช่หรอกรึ?” คนแรกย้อนถาม “ทัพอัศวินโรซ่าต้องสิ้นชื่อด้วยน้ำมือของเด็กผู้หญิงคนนึง เอ๊ย ตนนึงนี่ แสดงว่ามีแต่ชื่อเสียงจอมปลอม น่าสังเวชสิ้นดี”

“…” ไม่มีใครตอบคำหมิ่นปรามาสของเขา ทุกคนในวงทราบดีว่า นั่นเป็นเพียงคำพูดปลอบประโลมใจตัวเองเท่านั้น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า ทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำของเจ้าหญิงฮิโระทรงพลานุภาพเกรียงไกรยิ่งนักจริง ๆ… ซึ่งแน่นอน ไม่เป็นผลดีต่อปวงมนุษย์เลย

การสนทนาดำเนินไปอย่างจืดชืดได้พักหนึ่ง ก็เริ่มเขม็งเกลียวขึ้น เมื่อมีใครคนหนึ่งเปรยขึ้นว่า

“ว่าแต่ … บุตรีของจาเนสนางนี้ หน้าตารูปพรรณเป็นยังไงบ้าง มีใครเคยเห็นรึเปล่า”

เสียงฮือฮาดังขึ้นรับคำถามนี้ทันที ส่วนใหญ่เป็นคำปฏิเสธว่าตนไม่เคยเห็น

“ตามข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วเนฟเวอร์แลนด์ นางมีมือปิศาจที่น่ากลัวอยู่นี่”

“แล้วก็ถือเคียวซาตานเป็นอาวุธ อ้างตัวว่าเป็นยมทูตแห่งความตาย”

“หลายปีก่อน นางออกตระเวณเนฟเวอร์แลนด์อยู่พักหนึ่งนะ ได้ข่าวว่า เคยทำลายล้างกองทหารของเผ่าทะเลทรายกองหนึ่งราพนาสูรด้วยตัวนางเพียงคนเดียว เพียงเพราะเหตุผลว่า พวกนั้นล่วงล้ำเข้าไปใกล้ ๆ น่ะ”

“ร้ายกาจจริง”

“มีอีกหลายข่าวบอกว่า เคยพบเห็นนางบ้างเหมือนกัน แต่ระยะหลังนี่เงียบไป เข้าใจว่ากลับไปยังนีโอกลาดเมื่อหลายปีก่อนแล้ว”

ฯลฯ

“ได้ยินว่า นางเป็นคนแรกที่เข้าไปในหอคอยสเปกตรัลแล้วกลับออกมาได้”

“ฮ้า… จริงหรือท่าน?” หลายเสียงสอดขึ้นมาอย่างตื่นตระหนกทันที แน่นอน ในทัศนะของนักผจญภัย การมีชีวิตรอดกลับออกจากหอคอยสเปกตรัลอันเลื่องชื่อ ย่อมเป็นประกาศนียบัตรรับประกันถึงความสามารถของบุคคลผู้นั้นได้อย่างดี อย่าว่าแต่จะมีชีวิตรอดกลับออกจากหอคอยนั้นเลย แค่ชั้นจะได้มีสิทธิ์บอกนายทวารที่เฝ้าประตูหอคอยให้เปิดประตูให้ตนเข้าไปนั้นก็เป็นเป้าหมายที่นักผจญภัยหลายต่อหลายคนไปไม่ถึงเสียแล้ว

“ตามบันทึกของหอคอยสเปกตรัลนะ นางเป็นคนแรกจริง ๆ ที่กลับออกมา… หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคน ที่พวกเรารู้จักกันดีก็ท่านผู้กล้าซิฟอนไงล่ะ” ผู้รู้จริงคนหนึ่งเสริมขึ้น

“โอ้…ท่านซิฟอน… จริงสิ ท่านผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ผ่านหอคอยสเปกตรัลนี่นา”

หนึ่งในสามผู้กล้าหาญพิชิตอสูร นักดาบมือหนึ่งแห่งยุค ซิฟอนยอดขุนพลแห่งแคว้นอิปซิลอยเออร์ที่พวกเขากำลังพำนักอยู่นี้นั่นเอง

“จริงสิ พวกเราจะกลัวอะไรไป ขนาดจอมราชันย์อสูรจาเนสยังสิ้นชีพด้วยมือท่านผู้กล้าซิฟอนมาแล้ว นับประสาอะไรกับแค่ลูกสาวของมัน”

“ใช่ ๆ” หลายเสียงสนับสนุนขึ้น

“แต่อย่างไรก็ตาม เร็ว ๆ นี้คงมีประกาศระดมพลจากท่านราชาราดิวอิแหละ” ชายนักดาบอีกคนหนึ่งซึ่งท่าทางเป็นเจ้าถิ่น กล่าวคือ เป็นผู้มีถิ่นฐานอยู่ในแคว้นอิปซิลอยเออร์นี้เอง กล่าวขึ้น

“ท่านราชาไม่อยู่เฉยกับเรื่องนี้แน่ ๆ ข้าคนหนึ่งแหละจะรีบไปสมัครเป็นทหารก่อนเลย”

“ข้าด้วยสิ เขาไม่จำกัดใช่ไหมว่าต้องเป็นชาวแคว้นนี้เท่านั้น”

“หามิได้ พวกเรายินดีต้อนรับอยู่แล้ว”

วงสนทนาทวีความคึกคักยิ่งขึ้น พร้อมกับที่เหล้าเหยือกใหม่ ๆ ถูกลำเลียงมาที่วงนี้อย่างรวดเร็ว

ไม่มีใครสังเกตว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเงียบ ๆ อย่างไม่ยอมให้ตนเป็นจุดสังเกตอาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังชุลมุนกับการชนจอกเหล้ากันพาตัวเองหนีออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว

ที่บริเวณถนนหน้าโรงเตี๊ยมนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนรออยู่แล้ว จึงตรงเข้าไปดึงแขนอีกฝ่ายทันที

“มาทางนี้ อย่าเพิ่งเข้าไป”

“อ้าว จะไปไหนเหรอ? คริส” ชายหน้าอ่อนผู้มีผมสีม่วง ถามขึ้น

“ท่านเข้าไปเดี๋ยวคนก็แตกตื่นกันใหญ่หรอก ท่านผู้กล้าซิฟอน” ชายคนแรก หรือ คริส นินจาหนุ่มหนึ่งในสามผู้กล้าพิชิตอสูรบอก “พวกนั้นกำลังพูดถึงท่านอยู่พอดี”

“ฮะ ๆ” ซิฟอนแค่นหัวเราะ พลางเดินตามคริสมาแต่โดยดี “เป็นคนดังนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ”

“หึ” คริสทำเสียงในลำคอ ยากที่จะจับความรู้สึกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่

สองผู้กล้าพิชิตอสูรเดินไปตามถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าสู่วังอิปซิลอยเออร์ เพื่อกลับคืนสู่สถานที่พำนักของพวกเขาซึ่งเป็นห้องพักภายในวังนั้นเอง

ทันทีที่สังเกตว่ารอบข้างเริ่มมีผู้คนบางเบาลงแล้ว ซึ่งแสดงว่าพวกตนเดินห่างจากย่านชุมชนมาแล้ว ซิฟอนก็ถามขึ้น

“ได้ความว่าไงบ้าง ท่านคริส”

“ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกันทีเดียว” เป็นคำตอบจากผู้ซึ่งปลอมตัวเข้าไปสำรวจขวัญและกำลังใจของประชาชนในแคว้นนั่นเอง “แต่ก็สมกับเป็นเมืองแห่งนักผจญภัยอิปซิลอยเออร์ล่ะ ตื่นตระหนกแต่ไม่ถึงกับระส่ำระสาย”

“อย่างนั้นหรือ?”

“ส่วนหนึ่งก็เพราะบารมีของท่านราดิวอิแหละนะ แล้วก็…เพราะชื่อเสียงของท่านด้วย ทุกคนกำลังฝากความหวังไว้ที่ท่านนะ”

“เฮ้อ…เอาอีกแล้วหรือ” ซิฟอนถอนใจ

“ช่วยไม่ได้นี่นา ภาระความรับผิดชอบมันมาพร้อมกับชื่อเสียงเกียรติยศนั่นแหละ หากไม่อยากมีภาระ ก็อย่าได้หาเกียรติยศใส่ตัวเลย… อ้า โทษที ข้ามิได้ว่าท่านนะ”

“ฮึ ท่านก็รู้อยู่ ข้าทำไปไม่ได้หวังชื่อเสียงใด ๆ เลย ข้าเพียงแต่ทำสิ่งที่สมควรทำและคิดว่าตัวเองทำได้ เท่านั้นเอง”

“…” คราวนี้คริสไม่ตอบอย่างไร

“คงหนีไม่พ้นต้องเกิดสงครามจนได้สินะ…” ซิฟอนรำพึงขึ้นหลังจากต่างฝ่ายเงียบกันไปสักพัก

ทหารยามหน้าประตูวังทำความเคารพเมื่อทั้งสองเดินผ่าน

คริสทอดระยะครู่หนึ่งเมื่อเดินเข้ามาในอาณาเขตของวังได้พอควรแล้ว จึงพูดขึ้นต่อ

“อีกสองวันข้าจะไประดมพลล่ะ เจ้าก็ไปด้วยนะ คงได้ทหารอาสามาเยอะเชียว” เขานึกถึงเหตุการณ์ในร้านเหล้าเมื่อครู่

“ได้สิ แต่…เฮ้อ… ข้าไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นอย่างนี้”

“ไม่มีใครคิดทั้งนั้นแหละ”

ในใจของทั้งสอง หวนนึกถึงเหตุการณ์ในตอนบ่ายวันนี้ ที่จู่ ๆ ก็มีคำสั่งจากราชาราดิวอิ เรียกให้เข้าพบโดยด่วนพร้อมกับรันเจ นักบวชสาวผู้เป็นผู้กล้าพิชิตอสูรอีกคนหนึ่ง

…

“มากันครบแล้วสินะ”

ราชาราดิวอิเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่ซิฟอนเดินเข้าไปในห้องทรงอักษรของท่าน ภายในห้องคริสกับรันเจมารออยู่ก่อนแล้ว

“พวกเจ้าคงทราบดี ถึงข่าวที่กำลังแพร่อยู่ในเนฟเวอร์แลนด์ขณะนี้”

“ข่าวสถาปนากองทัพอสูรของเจ้าหญิงฮิโระ… ใช่ไหมขอรับ?” คริสซึ่งอาวุโสที่สุดในบรรดาสามคนที่เหลืออยู่ตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดเช่นเดียวกัน ประสาทของซิฟอนเขม็งเครียดขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้

“ใช่แล้ว” ราชาของแคว้นตอบ “และพร้อมกับข่าวการล่มสลายของโททัสบูร์ก ทั้ง ๆ ที่ท่านจักรพรรดิโดริฟานได้กรุณาประกาศเตือนแล้วเชียว ถึงกระแสแห่งความชั่วร้ายที่จับกลุ่มหนาแน่นอยู่ทางทิศตะวันตก แต่… ก็เกิดเหตุเลวร้ายเช่นนี้จนได้”

ตอนท้าย ท่านกล่าวเป็นเชิงตำหนิกองกำลังอัศวินโรซ่า ผู้ประสบหายนะในปฐมศึกแห่งกองทัพอสูรใหม่

“…”

สามผู้กล้ามองหน้ากัน ในใจนั้นก็มีคำตอบอยู่แล้วว่า เหตุใดพวกตนจึงถูกเรียกตัวมาพบเช่นนี้ ราชาราดิวอิกล่าวแทงใจดำของทุกคนขึ้นมาในทันทีนั้นเองว่า

“ทำไม? พวกเจ้าถึงได้ปล่อยเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายนี้ไว้เมื่อปีก่อน”

แน่นอน นี่หมายถึงฮิโระนั่นเอง

“ตามรายงานของพวกเจ้า พวกเจ้ามีโอกาสสังหารนางมิใช่หรือ”

“…”

คริสกับซิฟอนสบตากัน ในใจประหวัดนึกถึงเหตุการณ์ ‘ปฏิบัติการลอบสังหาร’ จอมราชันย์อสูรเมื่อปีกลาย แล้วซิฟอนก็เป็นคนตอบคำถามของเจ้าแคว้น

“ใช่ แต่ตอนนั้น…ข้าไม่อาจปักใจคิดได้ว่านางเป็นคนชั่วร้าย”

“ข้าเองก็….” คริสตอบช้า ๆ “คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”

มิฉะนั้นเขาคงไม่เชื่อคำของซิฟอนที่ห้ามมิให้เขาลงมือ

“ฮิโระร้องไห้… เราทั้งสามคนเห็นน้ำตาของเธออย่างชัดเจน เธอก็มีจิตใจเหมือนกับมนุษย์เราดี ๆ นี่เองค่ะ”

รันเจเสริมขึ้นเบา ๆ

อสูรซึ่งเป็นเผ่าที่ดุร้าย มีจิตใจแข็งกระด้าง ยึดถือใน ‘พลังและอำนาจ’ เป็นหลัก ปกครองดินแดนเนฟเวอร์แลนด์ในครั้งอดีตกาลด้วยความเข้มงวดเป็นที่เกรงขามแก่สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น หากแต่สำหรับสามหนุ่มสาวแล้ว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเห็น…หรืออาจกล่าวได้ว่า มีเฉพาะพวกเขาเท่านั้นที่ได้มีโอกาสพบเห็นน้ำตาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอสูร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ทั้งสามคนถอนตัวจากปราสาทนีโอกลาดแต่โดยดี

“ฮึ น้ำตาของปิศาจร้ายอย่างนั้นหรือ” ราดิวอิแค่นเสียง

“เอาเถิด พวกเจ้าอาจจะคิดเห็นอย่างนั้นก็ได้ในตอนนั้นนะ แต่ ณ บัดนี้ผลของมันเป็นเช่นไรเล่า พวกเจ้าย่อมทราบดีแก่ใจแล้วนี่”

“…”

ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศในห้องนั้นอีกคราหนึ่ง ก่อนที่นินจาหนุ่มจะพูดเสียงแผ่วว่า

“คงหลีกเลี่ยงสงครามไม่พ้นใช่ไหมขอรับ”

“สงครามอีกแล้วหรือ” ซิฟอนทวนคำด้วยอาการเลื่อนลอยทันที

“ใช่ สงคราม!” อดีตผู้นำของห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรตอบ “การปฏิบัติการสังหารจาเนสไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง พวกเราคาดหวังไว้ว่าสิ้นจาเนส จะสิ้นยุคแห่งสงคราม แต่กาลกลับตรงกันข้าม แล้วนี่พวกเราสังหารจาเนสไปเพื่ออะไรกันเล่า?” สุดท้าย ท่านระบายความอึดอัดใจออกมา

…

หวนคิดถึงตอนนี้ ซิฟอนก็ต้องถอนหายใจออกมายาว เหลียวไปมองทางคริสพบว่าฝ่ายนั้นจับตามองที่ตนอยู่แล้ว

“คิดเรื่องอะไรอยู่?” อีกฝ่ายถามมาก่อน

“… ก็คงเป็นเรื่องเดียวกับที่ท่านกำลังคิดนั่นแหละ”

“สงคราม?”

“…”

ไม่ตอบ แต่อาการนิ่งคือการยอมรับโดยดุษฎี แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ ซิฟอนจึงเสริมขึ้นเองว่า

“จริงอย่างที่ท่านราดิวอิกล่าว พวกเราฆ่าจาเนสไปเพื่ออะไรกัน? จุดชนวนสงครามขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?”

ก่อนที่จอมราชันย์อสูรจะสิ้นชีพ เนฟเวอร์แลนด์อยู่ในสภาวะปลอดสงครามมานานนับสิบปี หลังจากอุบัติศึกเทพ-อสูรขึ้นเป็นศึกครั้งสุดท้าย แต่นับจากที่สิ้นจาเนสแล้ว ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่า แผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์กลับลุกเป็นไฟ…แม้บางพื้นที่ยังไม่ถูกแผดเผาด้วยไฟสงครามก็ตาม แต่ก็เริ่มมีควันปะทุครุกรุ่นขึ้นบ้างแล้ว

“เมื่อก่อน พวกเราชาวมนุษย์มีความหวาดเกรงต่อศัตรูร่วมกันนี่น้า…” คริสพูดทอดเสียงยาวอย่างประชดประชัน “พวกเราถึงได้ร่วมมือกันได้สมัครสมานปานนั้น แต่พอสิ้นศัตรูแล้ว แต่ละคนก็แสดงธาตุแท้ออกมา”

“เฮ้อ นั่นสินะ” ซิฟอนเสริม “อย่างราชาซาฟรักนั่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน”

ราชาซาฟรักกรีฑาทัพเคลาสเตอร์เข้ายึดแคว้นโกลเด้น (หรือโฮลโมน-หากจะเรียกตามชื่อกองกำลังที่ปกครอง) เป็นเมืองขึ้น และตามข่าวที่สืบมาได้ เขามิได้หยุดเพียงนั้น หากแต่ยังคงส้องสุมกำลังพลอย่างต่อเนื่อง เพื่อแผ่ขยายอิทธิพลของตัวเองออกไป

“แล้วก็ยังมีพวกโจรภูเขาอีก” คริสเสริม “ส้องสุมกำลังอยู่ข้าง ๆ เรานี่เอง”

“อยู่ข้าง ๆ แคว้นของท่านรอยด์ต่างหากเล่า…พูดถึงท่านรอยด์แล้วก็…เฮ้อ” ซิฟอนแย้ง ตอนท้ายกลับถอนหายใจยาว “โซฟรันเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ วันนี้ยังไม่ได้เจอหน้าเลย”

ทันทีที่สิ้นจอมราชันย์อสูร รอยด์-ชายาของราดิวอิ ซึ่งมีเรื่องระหองระแหงกับสวามีมานานแล้วในระยะหลัง ๆ ก็หมดสิ้นความอดทนที่จะอยู่ร่วมกันทันที เธอเดินทางกลับแคว้นของตนซึ่งอยู่ข้างเคียงกับแคว้นอิปซิลอยเออร์นั่นเอง ทิ้งให้บุตรีตัวน้อยอยู่กับฝายบิดา ทั้งนี้ ซิฟอนจำได้ดีถึงวันที่รอยด์เก็บสัมภาระเดินทางออกไป วันนั้นโซฟรันร้องไห้ทั้งวันและร่ำร้องพยายามจะให้บิดามารดาคืนดีกัน แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเสียแล้ว ท้ายที่สุด รอยด์ฝากฝังโซฟรันไว้ให้ซิฟอนช่วยดูแล เพราะทราบดีว่าบุตรสาวของตนค่อนข้างติด ‘พี่ชาย’ คนนี้

“… เดี๋ยวไปหาแกหน่อยสิ” คริสแนะนำ

“อืมห์” ซิฟอนพยักหน้ารับแต่แล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ… นึกว่าเด็กคนนี้จะไม่ต้องเห็นสงครามเสียแล้ว”

“…”

“ว่าแต่… ศึกคราวนี้จะมีสักกี่แคว้นกันหนอที่ร่วมมือกับเราอีก?” นักดาบหน้าอ่อนถามขึ้น

“… ตอบยาก จะให้มากันครบครันเหมือนเมื่อครั้งก่อนคงเป็นไปไม่ได้” นินจาตอบ พลางยกมือขึ้นมาลูบคางอย่างใช้ความคิด

ขณะนี้ทั้งสองหยุดยืนที่หน้าอาคารห้องพักของตน ตำแหน่งนั้นเป็นจุดที่ทั้งสองจะต้องแยกทางกัน หากซิฟอนจะไปหาธิดาของเจ้าของปราสาทก่อนตามที่พูดไว้จริง

“ที่แน่ ๆ ก็คงมีทัพอัศวินซีลีนิกของท่านกรีเซอร์ล่ะ นอกนั้น…บอกไม่ถูก ราชากิวฟิที่ 2 ก็ยังเด็ก ราชินีมิวราก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ แคว้นของท่านข่านฮันก็กำลังมีศึกภายในอยู่ ทัพมุโรมาจิก็บอบช้ำจากยุทธนาวีปีที่แล้ว และที่สำคัญ…”

“?” ซิฟอนมองหน้าเป็นเชิงถาม

“เส้นทางการเดินทัพของพวกเราจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เลย แคว้นจาปิโตสคือตัวแปรหลักของเราล่ะ ตั้งแต่เปลี่ยนประมุขนี่ นโบบายการเมืองก็เปลี่ยนไป”

แคว้นจาปิโตส ดินแดนแห่งทะเลทราย กินอาณาบริเวณกว้างขวางในใจกลางทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ประมุขคนก่อนของเผ่าจาปิโตสผู้เป็นเจ้าทะเลทรายให้ความร่วมมือในการเดินทัพของฝ่ายมนุษย์เป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาสามารถลัดเส้นทางได้โดยการเดินทัพตัดผ่านแคว้นจาปิโตส อันส่งผลให้สามารถสู้ศึกกับพวกฝักใฝ่อสูรไปพร้อม ๆ กับการรุกล้อมนีโอกลาดได้

“อืมห์ แล้ว…ท่านราชาซิกม่าล่ะ คงเป็นกำลังหลักของพวกเราเหมือนครั้งก่อนกระมัง?” ผู้อ่อนวัยกว่าคาดหวัง

“อ๋อ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว … และศึกครั้งนี้คงมีสมรภูมิอยู่ที่นั่นด้วยแหละ” คริสหมายถึงแคว้นซิกโรด

และนี่เป็นบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันไป

…


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1