มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

เนฟเวอร์แลนด์เดือนสี่ปีที่ 997: การศึก ณ เทือกเขาสูง

ลุเดือนสี่ปีเก้าร้อยเก้าสิบเจ็ดครานั้น

อันเป็นปีแห่งสถาปนาทัพอสูรใหม่

ในองค์รัชทายาทแห่งจอมราชันย์อสูรจาเนสผู้เกรียงไกร

ไฟสงครามก็เริ่มลุกโชนไปทั่วผืนปฐพีเนฟเวอร์แลนด์

แสนสุดที่จะหลีกเลี่ยงภาวะสงครามได้

ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนแห่งภูเขาสูงอันศักดิ์สิทธิ์

ชิดขอบทวีปเนฟเวอร์แลนด์ทางทิศเหนือ

เครือเผ่าแห่งมนุษย์วิหคผู้สืบสายแห่งเบิร์ดแมนแต่โบราณ

นานนับพันปีที่พวกเขาครองดินแดนเทือกเขาโบลโฮโกะนี้

มีพันธะสัญญากับมวลมนุษย์ทั้งหลายในพื้นราบ

ทราบความทั่วว่าดินแดนแห่งเทือกเขาคือพื้นที่ติดต่อกับสรวงสวรรค์

อันมนุษย์ทุกผู้ร่วมให้ความเคารพและศรัทธา

หาได้กล้ามาบุกรุกกล้ำกรายไม่

ในยุคของเจ้าครองแคว้นโบลโฮโกะนามว่าบลูมาร์ค

จากทิศใต้พลันปรากฏทัพศัตรูผู้รุกราน

หาญกล้าเข้ามาเหยียบดินแดนต้องห้าม

ความทราบถึงฝ่ายมนุษย์วิหค จึ่งจัดทัพอย่างกระทันหัน

ดั้นด้นออกไปเพื่อตั้งรับทัพอริราช นั้นแล

...

“ใครกันหนอ บังอาจมาบุกรุกแดนเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา”

มนุษย์วิหคร่างสูงใหญ่ รูปร่างกำยำบึกบึน กล่าวถามอัศวินชาวมนุษย์วิหคอีกคนที่กำลัง ‘บิน’ อยู่ข้าง ๆ เบื้องหลังของทั้งสองกองกำลังชาวเผ่าพันธุ์เดียวกันนับร้อยกำลังบินตามมา ทั้งหมดมีอาวุธครบมือและกำลังรีบเร่งบินต่ำลงไปทางเชิงเขาเบื้องล่าง

“พวกมันอ้างตัวว่าเป็นทัพของแม่มดเกรชัทโทราขอรับ ท่านบลูมาร์ก” ขุนพลคู่ใจตอบ

ชายร่างใหญ่ หรือบลูมาร์กพยักหน้ารับทราบ เขาคือหัวหน้าเผ่ามนุษย์วิหค อันเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีปีกงอกอยู่ที่หลังและสามารถบินได้ กล่าวกันว่ามนุษย์วิหคสืบเชื้อสายจากเหล่าเทวดาในสมัยโบราณที่อพยพลงมาตั้งถิ่นฐานในภพของมนุษย์นั่นเอง โดยที่ถิ่นฐานที่มั่นของชาวมนุษย์วิหค ก็อยู่ในดินแดนเทือกเขาสูงโบลโฮโกะ อันเป็นเทือกเขาที่ถือกันว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะสูงเยี่ยมเทียมฟ้า และใกล้ชิดกับสรวงสวรรค์มากที่สุดในเนฟเวอร์แลนด์… หากไม่นับหอคอยสเปกตรัลที่สูงทะลุเมฆจนไม่มีใครทราบว่ามันมีกี่ชั้นกันแน่แล้ว

“ข้าประมาทไปเอง ทาเรล ดินแดนแห่งเทือกเขาของเราไม่เคยมีสงครามมานานแล้ว” บลูมาร์คตำหนิตนเอง “ค่อนข้างเสียเปรียบนะ หนึ่งร้อยต่อหกร้อยนี่”

“ขอรับ แต่เราก็ต้องสู้ จะยอมให้พวกมนุษย์บาปหนามารุกล้ำดินแดนที่พวกเราอาศัยกันมานานแต่ครั้งบรรพบุรุษไม่ได้” ทาเรลขุนพลคู่ใจตอบ

ฝ่ายตรงข้าม ตามรายงานของกองลาดตระเวณ มีกำลังพลถึงหกร้อย ในขณะที่บลูมาร์คและทาเรลช่วยกันระดมพลนักรบเผ่ามนุษย์วิหคแล้วก็ได้กำลังแค่ร้อยเศษ ที่เหลือล้วนเป็นพลเรือนที่ไม่มีความสามารถในเชิงยุทธเลย … จริงอย่างที่บลูมาร์คเปรย พวกเขาอยู่กันมาอย่างสงบสุขนานเกินไปเสียแล้ว ใครกันหนอเคยกล่าวคำว่า ‘หากรักสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ’

“โอ พวกมันเข้ามาถึงนี่แล้วหรือ” บลูมาร์คอุทาน แล้วสั่งต่อทันที “แปรขบวน พลดาบเตรียมประจันบาญ ส่วนพลธนูบินสูงขึ้นไป ยิงจากด้านบนลงมา!”

เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของชาวเผ่ามนุษย์วิหคซึ่งบังเอิญมาตั้งรกรากอยู่ห่างลงมาจากยอดโบลโฮโกะมากที่สุด กำลังถูกเผาทำลายด้วยฝีมือของสัตว์ร้ายจำนวนมาก เจ้าของหมู่บ้านบางส่วนนอนทอดกายเป็นศพเห็นอยู่ประปราย แต่ส่วนใหญ่ คาดว่าสามารถบินหนีขึ้นไปรวมกับพรรคพวกของตนบนยอดเขาได้สำเร็จ

บรรดาสัตว์ร้ายที่กำลังโจมตีทำลายหมู่บ้านอยู่นั้น มีลักษณะเป็นสัตว์ตัวโตเท่าคน ยืนสองขา ขาหน้ามีเล็บแหลมคม ใช้เป็นอาวุธได้อย่างดี ลำตัวมีเกล็ดหนาซึ่งเป็นเกราะกำบังคมศัตราวุธได้ ปาก-หรือจะงอยปาก-แหลมและมีฟันแหลมคม ทั้งหมดนี้เคลื่อนขบวนอย่างเป็นระเบียบภายใต้การควบคุมของผู้นำซึ่งฝ่ายมนุษย์วิหคยังไม่สามารถสังเกตพบได้

อย่างไรก็ตาม บลูมาร์คและทาเรลทราบได้ทันทีว่า นี่เป็น ‘สัตว์อาคม’ หรือสัตว์ร้ายที่เกิดจากการปลุกเสกด้วยคาถาอาคมและตบะอันแก่กล้าของใครบางคนนั่นเอง ซึ่งคนผู้นั้นก็ควรจะเป็น ‘แม่มดเกรชัทโทรา’ ผู้สิงสถิตย์อยู่ในปราสาทร้างบนที่ราบห่างจากเทือกเขาโบลโฮโกะไปไม่ไกลนัก

“พลธนูโจมตี!” ขาดคำของบลูมาร์ค พลธนูก็สาดอาวุธลงสู่ฝูงสัตว์อาคมเบื้องล่างทันที หากแต่… ลูกธนูเหล่านั้น ไม่อาจทำร้ายพวกมันได้แม้แต่น้อยนิด พากันกระเด้งกระดอนออกมาเมื่อกระทบกับเกล็ดหนาบนลำตัวของพวกมัน

“ฮึ่ม ไม่ได้ผลหรือนี่” ทาเรลสบถอย่างหัวเสีย เขาและบลูมาร์คตระหนักดีแก่ใจ ทันทีที่พบว่านี่เป็นสัตว์อาคม ถึงความจริงที่ว่า สัตว์อาคมนั้นชำนาญการรบบนภูมิประเทศเป็นหน้าผาและภูเขาเช่นนี้ด้วย ดังนั้น สภาพได้เปรียบในเรื่องของภูมิประเทศของฝ่ายเจ้าของบ้านย่อมหมดไปเสียแล้ว เหลือแต่ความจริงอันเจ็บปวดว่า กำลังพลของสองฝ่ายต่างกันถึงหกเท่า ซ้ำร้าย บางส่วนของฝ่ายน้อยกว่า ยังเป็นพลธนูที่ไม่ถนัดการรบประชิดอีก

“ไม่มีทางเลือก ประจันบาญ!” บลูมาร์คสั่งตัวผู้นำของมนุษย์วิหคนำขบวนพุ่งหลาวลงสู่พื้นดิน ตรงเข้าหาฝูงศัตรูทันที ร่างของเขาปกคลุมด้วยออร่าของพลังลมปราณบาง ๆ มองเห็นเป็นสีส้มได้ชัด เมื่อได้ระยะพอเหมาะแล้ว

“หมัดลมปราณ!”

ท่าไม้ตายของบลูมาร์คก็ถูกนำออกมาใช้ เขาชกหมัดออกไปทั้งสองข้างสลับไปมา ทุกครั้งที่เหยียดแขนสุด พลังลมปราณในรูปของออร่าก็พวยพุ่งออกจากปลายหมัด มองดูคล้ายก้อนไฟลูกเขื่องพุ่งเข้าใส่ฝูงสัตว์อาคม

“แกร๊กกกกก”

สัตว์อาคมบางตัวที่หลบหมัดลมปราณไม่ทันต่างพากันแผดร้องอย่างเจ็บปวดแล้วกระเด็นไปตามแรงประทะ ล้มลงโดยไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นอีก ร่างของสัตว์อาคมที่ตายไป เลือนสลายเหลือแต่กองทรายอาคมกองหนึ่ง อันเป็นสภาพตั้งต้นที่แท้จริงของพวกมันก่อนได้รับการปลุกเสกขึ้นมา

“ย้ากกก”

กำลังของทั้งสองฝ่ายตรงเข้าประทะกัน บลูมาร์คร่ายรำกระบวนท่ากังฟูของตนอย่างดุเดือด บุกทะลวงเข้าไปที่ใด ทัพของสัตว์อาคมก็แตกกระจายที่นั่น เบื้องหลังของเขานักดาบมีปีกก็พยายามบุกทะลวงฟันฝ่าเข้าไปตามผู้นำของตนอย่างห้าวหาญเช่นกัน หากแต่ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เมื่อเวลาผ่านไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง บลูมาร์คและทาเรลก็พบว่า ตนเองกำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝูงสัตว์อาคมโดยลำพังเสียแล้ว เหล่านักดาบที่ร่วมรบด้วย ต่างพากันทอดกายเป็นศพอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเหล่าอริไปแล้ว เบื้องบนสูงขึ้นไป พลธนูอีกสามสิบเศษ บินคุมเชิงอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

“ฮึ่ม” บลูมาร์คและทาเรลยืนหันหลังเข้าหากัน สอดส่ายสายตามองไปรอบตัวซึ่งบัดนี้เห็นเพียงสัตว์อาคมเต็มไปหมด ร่างของทั้งสองลอยสูงจากพื้นเล็กน้อย เจ้าพวกสัตว์อาคมเหล่านี้ร้ายกาจไม่เบาทีเดียว และที่สำคัญพวกมันรบอย่างเป็นระเบียบแบบแผนเสียด้วย ในขณะนี้ก็เช่นกัน เหมือนกับพวกมันกำลังรอคำสั่งให้เข้าตะลุมบอนเท่านั้นเอง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ทางเลือกสุดท้ายของทั้งสองคือ ‘หนี’

“ฮะ ๆ ๆ”

เสียงของสตรีดังขึ้น เป็นเสียงห้าว ๆ ลึก ๆ เต็มไปด้วยอำนาจ “อย่าคิดหนีเลยท่านทั้งสอง ท่านก็เปรียบเหมือน ‘นก’ อยู่ในกรงแล้วล่ะ ข้าจะฆ่าเสียเมื่อไรก็ได้”

“ใคร?” บลูมาร์คตวาดถามออกไปแทนคำตอบ

ฝูงสัตว์อาคมขยับตัวเปิดเป็นทางยาว ให้ร่าง ๆ หนึ่งเดินตรงเข้ามากลางวงล้อมมาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าบลูมาร์คและทาเรลอย่างช้า ๆ

“ยินดีที่ได้พบท่านหัวหน้าเผ่ามนุษย์นก”

สตรีวัยกลางคน บนใบหน้าละเลงลวดลายอักขระอาคมลายพร้อย แต่งกายในชุดคล้ายชุดราตรีกระโปรงยาวกรอมเท้า หากแต่ผู้พบเห็นย่อมหยั่งรู้ได้ถึงพลังเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็น ‘ความมืด’ ที่ปกคลุมร่างร่างนี้อยู่ “ข้านึกว่าจะได้พบท่านบนยอดเขาเสียอีก กลับออกมาต้อนรับข้าถึงที่นี่เชียวรึ”

“เจ้าคือ…”

“ข้า แม่มดเกรชัทโทรา”

“เจ้าบุกรุกพวกเราทำไม เราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนมิใช่รึ?” บลูมาร์คถาม

“ก็ใช่ แต่พวกท่านกระทำผิดอย่างมหันต์”

“???”

“ดินแดนแห่งเทือกเขาสูงโบลโฮโกะนี้ไม่สมควรที่พวกท่านจะอาศัยอยู่” แม่มดกล่าวต่อเหมือนกำลังอ่านคำพิพากษาความผิดของอีกฝ่าย “มันเหมาะกับข้าต่างหาก เพราะฉะนั้น จงอพยพไปเสีย มิฉะนั้น ก็…ตายเสีย”

“บ้าที่สุด พูดเอาแต่ได้” ทาเรลหันขวับไปตวาดใส่

“พวกเจ้าไม่รู้อะไร” สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกเปลี่ยนไปโดยที่สีหน้าอีกฝ่ายยังคงเป็นสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม “ด้วยญาณทิพย์ของข้า ข้าหยั่งรู้ได้แล้วว่า บนยอดเขานี่เป็นแดนอาคมที่ต้องตามตำราไสยอย่างแท้จริง เหมาะสำหรับการปลุกเสกสัตว์อาคมจำนวนมาก ท่านดูเถิด ขนาดข้าอาศัยสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยอย่างปราสาทเอจูของข้า ยังสามารถปลุกเสกได้ถึงขนาดนี้เลย”

แม่มดผายมือไปรอบ ๆ ในเชิงอวดจำนวนสัตว์อาคมในอาณัติของตน

“เจ้า… ที่แท้ก็กระหายสงครามนี่เอง” บลูมาร์คพูดอย่างปลง ในน้ำเสียงมีแววสังเวชอยู่ด้วย

“ฮึ พวกเจ้ามันรักสบายเกินไป มองโลกง่ายเกินไป เคยรับรู้บ้างไหมว่าโลกภายนอกเขาเป็นอย่างไรกันแล้วบ้าง” แม่มดทำตาวาว “สิ้นจอมราชันย์อสูรแล้ว ไฟสงครามลุกโชนขึ้นทุกหย่อมหญ้า ในยุคเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญคือ กองกำลังของตนเองต่างหากเล่า เจ้าไม่รุกรานคนอื่น คนอื่นก็รุกรานเจ้าอยู่ดี เหมือนเช่นที่ข้ากำลังทำกับพวกเจ้าไงล่ะ แล้วเป็นไงมีใครช่วยพวกเจ้าได้บ้าง?”

“เรื่องของอสูรมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” ผู้นำมนุษย์วิหคแย้ง “เจ้าอ้างเหตุผลอะไรก็อ้างได้แหละ”

“ฮึ” เกรชัทโทราส่ายศีรษะ “จะช้าเร็ว ทัพอสูรใหม่ของเด็กน้อยฮิโระก็ต้องบุกมาถึงที่นี่อยู่ดี ถึงตอนนั้นเจ้ายังปฏิเสธว่าพวกเจ้าไม่เกี่ยวอีกรึ ดีไม่ดี คนที่บุกรุกที่นี่ก่อนอาจจะเป็นพวกมนุษย์เองก็ได้ ที่ข้าจับตาไว้ก็มีเจ้าซาฟรัก, ขุนโจรแมมบีแล้วก็จอมทะเลทรายคาร์มา-รา-รู แล้วยังมีอัศวินดำไกเซอร์อีกล้วนแต่ไว้ใจมิได้เลย หรือพวกเจ้าไม่เคยสนใจความเป็นไปในโลกภายนอกจริง ๆ กระมัง”

ท้ายน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอน็จอนาจและเย้ยเยาะ

“พวกมนุษย์ไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก” บลูมาร์คตอบ “มนุษย์หน้าไหนหาญมารบในภูมิประเทศเช่นนี้เล่า”

“ก็จริงของเจ้าแต่… พวกมันสามารถรบในที่ราบนี่” แม่มดตอบ “และปราสาทของข้าก็อยู่ในที่ราบเสียด้วย”

“…”

“…”


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1