มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

เนฟเวอร์แลนด์เดือนสี่ปีที่ 997: ทูตสวรรค์จุติ (ไอร่าโคริน)

ทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบกันไป ฝ่ายบุกรุกเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อนว่า

“เอาล่ะ หมดเวลาสนทนากันแล้ว พวกเจ้าจะเลือกการอพยพ หรือเลือกความตาย”

“…” บลูมาร์คนิ่ง อึดใจถัดมาก็โผนทะยานพาตัวเองขึ้นสู่เบื้องบนทันที ทาเรลบินตามขึ้นไปติด ๆ อย่างทันกันกับความคิดของนายเหนือของตน

“ฮึ ยังคิดจะปักหลักสู้บนยอดเขาอีกหรือ”

ด้วยคำพูดนี้ทำให้บลูมาร์คกับทาเรลหน้าถอดสี ใช่แล้ว เขาทั้งสองตั้งใจว่าจะหนีกลับไปปักหลักสู้บนฐานที่มั่นชุมชนใหญ่ของตนบนยอดเขานั่นเอง หรืออย่างน้อย เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ก็ควรจะได้รับการแจ้งข่าวเรื่องนี้ล่วงหน้าบ้าง พวกเขาทั้งสองยังไม่สามารถจะทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ได้ หากแม่มดร้ายก็กลับรู้ทันเสียนี่

“กลับ!”

อย่างไรก็ตามบลูมาร์คสั่งการยืนตามความคิดของตน ฝูงมนุษย์วิหคตั้งท่าจะบินย้อนกลับขึ้นยอดเขาทันที หากแต่…

“โอม…. ด้วยอำนาจแห่งรัตติกาลและสนธยา จงดลบันดาลความตายให้แก่ศัตรูของข้าด้วยเถิด อำนาจสนธยา-หมอกกลืนวิญญาน!”

แม่มดร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว ขาดคำของเธอ ท้องฟ้าก็มืดมัวลงในทันใด เบื้องหน้าของเหล่ามนุษย์วิหคปรากฏหมอกสีดำลอยล่องเข้าหาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร พวกเขาก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำกลุ่มนั้นเสียแล้ว และ…

“อ้าก!”

ร่างแล้วร่างเล่าที่ร่วงหล่นลงบนพื้นดิน ศพของมนุษย์วิหคซึ่งเป็นพลธนูเหล่านั้น กลายเป็นสีดำและเหี่ยวแห้งบิดงออย่างรวดเร็ว คงเหลือแต่บลูมาร์คและทาเรลที่มีพลังเวทย์สูงพอจะต่อต้านอาถรรพ์จากเวทย์ฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ทั้งสองคนก็ชาดิกไปทั่วร่าง ไม่สามารถขยับกายได้อีก และค่อย ๆ เลื่อนตัวต่ำลงจนมายืนตัวแข็งบนพื้นดินนั่นเอง

“หนีไม่พ้นหรอก เจ้าทั้งสอง” แม่มดกล่าวอย่างกำชัย “ข้ากระดิกนิ้วอีกทีเดียว สมุนที่น่ารักของข้าก็จะกรูเข้าฉีกเนื้อพวกเจ้าเป็นชิ้น ๆ แล้วล่ะ! ฮะ ๆ ๆ”

บลูมาร์คกับทาเรลชำเลืองตามองกัน อา! นี่เป็นวาระสุดท้ายของพวกเขาแล้วหรือนี่ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีกไม่นานญาติพี่น้องบนยอดเขาก็คงต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน ผู้นำแห่งเผ่ามนุษย์นกหลับตาลงอย่างหมดหวัง รอความตายที่กำลังจะกร้ำกรายเข้าหาตนในไม่ช้า แต่แล้วเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้นกลางใจของตน

‘บลูมาร์คเอย สูเจ้ายอมแพ้แก่ความชั่วร้ายเพียงเท่านี้หรือ ไม่สมกับที่เป็นเผ่ามนุษย์วิหคอันทรงเกียรติเลย’

‘เอ๊ะ?!!!’ บลูมาร์คอุทานในใจแล้วลืมตาขึ้นมา ‘เสียงนี้…ท่านมหาเทพโคเรีย!!!’

‘ถูกต้อง เราเองแหละ’ เสียงนั้นกล่าวต่อ ‘พวกของสูยังมีภารกิจอีก เราขอฝากคนของเราไว้กับสูคนหนึ่ง จงเชื่อฟังนางเหมือนกับที่สูเชื่อฟังเรา ที่เหลือนางจะบอกสูเองว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป’

‘อา! ขอรับ ท่านมหาเทพฯ’

ฉับพลันนั้นเอง ท้องฟ้าที่มืดมัวด้วยฤทธิ์อาคมของเกรชัทโทราก็กลับสว่างไสวขึ้นดังเดิม แม่มดหญิงเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนอย่างตระหนก นางกำลังจะตัดสินวาระสุดท้ายของสองมนุษย์วิหคที่อยู่ตรงหน้าอยู่แล้วเทียว

“เกิดอะไรขึ้น?!!!”

เป็นคำอุทานเบา ๆ ของแม่มด

…

บัดนั้นเองบนท้องฟ้าเบื้องบนก็กลับสว่างไสว

ในสายตาทุกผู้มองเห็นได้ประจักษ์แจ้ง

แห่งลำแสงกลมที่ฉายสาดส่องจากเบื้องบนลงมา

พาให้พิศวงกับความเจิดจ้าของลำแสงนั้น

อันสามารถมองได้โดยตรงอย่างเย็นตา

มากับลำแสงนั้น ปรากฏร่างอรชรอ้อนแอ้น

แสนงดงามวิจิตร และศักดิ์สิทธิ์พิศวง

ตรงกลางหลังมีปีกใหญ่ขาวบริสุทธิ์

ดุจปีกหงษ์ขาว สยายแผ่อย่างสง่างาม

ทรามวัยเป็นสตรีวัยเบญจเพส

เนตรงามพริ้มพลันลืมตาขึ้นในทันใดนั้น

มั่นคงด้วยประกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง

สองมือพลันชูขึ้นสูงสู่เบื้องนภา

ฟ้าก็กลับมืดครึ้มลงอีกในทันใด

ให้ปรากฏคำ “เฮอร์เคนเมเทโอล” จากปากผู้มาใหม่

ในบัดนั้นเอง ลำแสงรูปหอกก็พวยพุ่ง

มุ่งตรงจากฟากฟ้าลงกลางฝูงสัตว์อาคม

ขรมลั่นคือเสียงระเบิดกึกก้อง

ผองสัตว์อาคมก็พลันแตกสลาย

กลายสภาพกลับสู่กองทรายอาคมแทบทุกตัวตน

จนชั้นนางแม่มดเกรชัทโทราเองเล่า

เจ้าก็รับบาดเจ็บมิใช่น้อย

ถอยกายไปสองสามก้าวแล้วหันหน้าขึ้นมอง

สองสายตาสบกันพลัน จึงไต่ถาม

นามเจ้าคือกระไร ท่าทางเป็นมนุษย์วิหคเช่นกัน

“อันนามเรานั้นคือ… ทูตสวรรค์ ไอร่า”

…

airakourin

“ทูตสวรรค์ … ไอร่า?” เกรชัทโทราทวนคำ “ทูตสวรรค์หรือ??? อั๊ก!”

สุดท้ายนางก็ซวนเซไปพิงกับสัตว์อาคมตัวหนึ่งซึ่งยังเหลือรอดจากอำนาจ ‘เฮอร์เคนเมเทโอล’ หอกแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์มาได้ เลือดสด ๆ ทะลักจากปากของแม่มดเป็นลิ่ม ๆ ด้านหลังของนาง สัตว์อาคมซึ่งเดิมมีถึงหกร้อยตัว มาบัดนี้เหลืออยู่รอดเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น…และล้วนรับบาดเจ็บถ้วนหน้า

ร่างอรชรของทูตสวรรค์นามว่าไอร่า ลอยละล่องลงมาจากเบื้องบนจนหยุดห่างอยู่เบื้องหน้าของเกรชัทโทร่าไปไม่กี่เมตร แต่ยังคงกระพือปีกพาร่างลอยอยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม น้ำเสียงไพเราะดังเอื้อนเอ่ยจากริมฝีปากงามของทูตสวรรค์อีกว่า

“เกรชัทโทราเอย เห็นแก่อาจารย์ของเจ้า องค์มหาเทพโคเรียจึ่งมีบัญชาให้ละเว้นชีวิตของเจ้าเสีย จงกลับไปซะ และรับรู้ด้วยว่า ดินแดนเทือกเขาโบลโฮโกะ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามมิให้มนุษย์ผู้ใดย่ำกรายเข้ามาอีก

‘???’ บลูมาร์คฟังคำพูดของทูตสวรรค์แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แอบนึกในใจว่า ‘น้ำเสียงทรงอำนาจดีหรอก แต่…เหมือนไม่ได้พูดเองยังไงก็ไม่รู้แฮะ’

อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าคิดมากไปกว่านั้น

“และจงรับรู้ไว้ด้วยว่า พระเจ้ามิได้ทอดทิ้งการณ์บนโลกมนุษย์ เหล่ามนุษย์ทุกผู้ล้วนต้องรับการชี้นำจากพระองค์ผ่านทางเราผู้เป็นทูตแห่งพระองค์ จงมองนั่นสิ”

สายตาของทุกคนในที่นั้นซึ่งรวมทั้งพวกบลูมาร์คด้วย มองตามที่ไอร่าชี้ก็พบจุดสีดำปรากฏบนท้องฟ้า เป็นอะไรบางอย่างที่กำลังพุ่งเข้ามาทางนี้ด้วยความเร็วสูงนั่นเอง ต่อเมื่ออะไรบางอย่างนั้นเข้ามาใกล้แล้ว จึงเห็นได้ว่านั่นคือ…

“โอ!” ผู้นำเผ่ามนุษย์วิหคอดเปล่งเสียงอุทานออกมามิได้

สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา คือ กองทัพมนุษย์วิหคในชุดพร้อมรบ ถือดาบและโล่ห์เล็กอย่างทะมัดทะแมง จำนวนที่ประมาณด้วยสายตาห้าร้อยคน มองเผิน ๆ เหมือนเป็นกองทัพของเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์

“เข้าใจแล้วใช่ไหม” ไอร่าหันหน้าไปมองเกรชัทโทราตรง ๆ

“… ค่ะ”

แม่มดหมดฤทธิ์โดยสิ้นเชิง หันกายเดินกลับไป โดยมีสัตว์อาคมช่วยพยุงกันไป

ไอร่าหมดความสนใจต่ออีกฝ่ายเพียงเท่านั้น เธอหันกายกลับมาทางบลูมาร์ค แล้วก็ยื่นมือขวาออกไปข้างตัว ปรากฏลำแสงสว่างขึ้นที่มือขวาของเธอแวบหนึ่ง แล้วหอกสีดำเล่มยาวเล่มหนึ่งก็มาปรากฏในมือของเธออย่างน่าอัศจรรย์ หอกยาวเล่มนี้ ทราบภายหลังว่า มันมีนาม ‘เฮอร์เคนเมเทโอล’ อันเป็นชื่อเดียวกันท่าไม้ตายสุดยอดของไอร่าเมื่อสักครู่ และเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มหาเทพโคเรียประดิษฐ์ขึ้นเพื่อไอร่าโดยเฉพาะ ต่อให้ผู้อื่นนำไปใช้ก็ไม่สามารถดึงพลานุภาพของอาวุธนี้ออกมาได้ดังใจ

ไอร่าพาตัวเองลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าของบลูมาร์คและทาเรล แล้วยกใบหอก วางแตะบนบ่าของทั้งสองคนคนละครั้ง ทั้งบลูมาร์คและทาเรลก็พ้นจากอำนาจร้ายของเวทย์มนต์ที่ได้รับจากเกรชัทโทรา

“รอดแล้ว” ทาเรลร้องครางออกมา เข่าอ่อนจนต้องทรุดตัวลงไปนั่ง

ฝ่ายบลูมาร์ค มองใบหน้าของทูตสวรรค์แวบหนึ่ง ก่อนย่อตัวลงทำความคารวะอย่างสูงสุด

“ข้าพเจ้า บลูมาร์ค ขอต้อนรับท่านทูตสวรรค์”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เราต่างหากขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย บลูมาร์ค”

“ขอรับ” ผู้นำเผ่าเงยหน้าขึ้น “ขอเชิญท่านทูตสวรรค์กลับไปที่ที่พำนักของพวกเราก่อนเถิดขอรับ”

“…” ไอร่าเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น

“ทาเรล ฝากจัดการสำรวจความเสียหายของหมู่บ้านนี้ด้วย” บลูมาร์คหันไปสั่งขุนพลคู่ใจ

“ขอรับ”

จากนั้น ร่างของมนุษย์วิหคห้าร้อยกว่าชีวิตก็โบยบินหายลับขึ้นไปบนยอดเขาโบลโฮโกะ

เดือนสี่ ปีอสุรศักราชที่ 997 ทูตสวรรค์นามไอร่า ก็จุติลงจากสรวงสวรรค์ มาอุบัติบนภพมนุษย์ ณ เทือกเขาโบลโฮโกะ เป็นที่แน่นอนว่า เธอผู้นี้คือผู้กำกุญแจสำคัญในการหมุนกงล้อประวัติศาสตร์เนฟเวอร์แลนด์อีกผู้หนึ่งนั่นเอง


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านถ้อยแถลง ๑ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1