มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: วิกฤติกลางทะเลเพลิง


“บุก!” เสียงสั่งการจากผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทดังลั่นหลังจากที่พลังเวทมนต์พระเพลิงของท่านกับเจ้าหญิงอสูรประทะกันย้อมสีท้องฟ้าบริเวณนั้นจนแดงฉานไปทั่ว สัตว์อาคมในอาณัติทั้งห้าร้อยตัววิ่งกรูออกจากที่โดยมีนักดาบ-เกรย์ ผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรวิ่งเป็นหัวหอกอยู่ข้างหน้า

“ประจันบาญ!” ฮิโระสั่งการแก่ไพร่พลของตนบ้าง บรรดาทหารผีโครงกระดูกส่งเสียงโห่ร้องแล้ววิ่งตรงเข้าหาศัตรูทันที ส่วนตัวของฮิโระเองบังคับม้าของตนหันรีหันขวางยืนหยุดกับที่ เพียงแต่ขยับเคียวในมือเล็กน้อยให้กระชับรอรับขุนศึกฝ่ายตรงข้ามที่กำลังวิ่งตรงเข้าหาตนเท่านั้น

“โฮะ ๆ โฮ่ รูปขบวนมาตรฐานหรือนี่” ผู้เฒ่าแห่งอัคคีเวทย์รำพึงด้วยสำเนียงชมเชยในรูปขบวนและความแข็งแกร่งพร้อมพรักของทหารอีกฝ่าย หากแต่ท่านยกไม้เท้าขึ้นโบกไปมาเบื้องหน้าทันที

“พรึบ ๆ ๆ” พลันบังเกิดดวงไฟสามดวงพุ่งวาบออกจากเบื้องหน้าของอัจฉริยภาพแห่งเพลิงเข้าหาไพร่พลสเกลตันที่วิ่งอยู่แนวหน้าโดยมิพักให้ท่านต้องร่ายเวทมนต์ ดวงไฟทั้งสามพุ่งเข้าเผาผลาญบรรดาสเกลตันเหล่านั้นไปหลายสิบตน แต่ไม่สามารถหยุดยั้งพวกสเกลตันที่เหลือซึ่งวิ่งต่อไปประดุจกระแสน้ำเชี่ยวได้

“?” ฮิโระบนหลังม้านึกแปลกใจครามครัน อำนาจเวทย์แห่งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยภาพแห่งเพลิงมีเท่านี้เองหรือ? ช่างแตกต่างลิบลับกับพลังพระเพลิงที่หักล้างกับ “มะโชเรนโกะกุ” ของเธอเมื่อครู่นี้ หากแต่เธอไม่มีเวลาสังเกตสังกาได้มาก เพราะเบื้องหน้าของเธอปรากฏร่างของสเกลตันที่ล้มตายราวใบไม้ร่วง ร่างของนักดาบผมทองวิ่งเข้ามาใกล้ตัวเธอทุกขณะ ความสนใจของเธอถูกเบนมาทางนี้มากกว่า

“ฮึ ขยับตัวไม่ออกเลยนะ องค์หญิงอสูร” เกรย์สบัดดาบฟันสเกลตันตรงหน้าขาดเป็นสามท่อนด้วยเพลงดาบที่รวดเร็วคมกริบประดุจสายฟ้าแลบ “หากเจ้าขยับตัวไม่ได้ เราจักเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าเอง!”

เขามิได้ครั่นคร้ามต่อศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายหนึ่งเลย คงมุ่งตรงเข้ามาเช่นนั้น หากด้วยบรรดาสเกลตันอีกหลายสิบตนที่พยายามวิ่งเข้าไปขวางไว้ด้วยความจงรักภักดีต่อนายของตนต่างหาก ที่ทำให้เขายังเข้าใกล้ตัวฮิโระไม่ได้เสียที

การรบในกองเพลิงยักษ์ที่กินอาณาเขตทั่วท้องทุ่งนั้นดำเนินไปอย่างดุเดือด ทหารสเกลตันกับฝูงสัตว์อาคมของบ๊ากรู้ทเริ่มเข้าประทะกันแล้ว เสียงประคมอาวุธ เสียงร้องตวาด เสียงโหยหวน ดังอื้ออึงแข่งกับเสียงลุกลามของเปลวไฟอันร้อนระอุ อีกอึดใจต่อมา เกรย์ก็ทะลวงฝ่าฝูงสเกลตันมาถึงเบื้องหน้าของฮิโระจนสำเร็จ เขากระชับดาบยาวในมือให้มั่นอีกครั้ง แล้วกระโจนเข้าหาเธอจากทางเบื้องหน้าทันที

“ข้าขอชีวิตเจ้าเถิด องค์หญิงอสูร”

“...”

เจ้าหญิงอสูรกวัดแกว่งเกทออฟเฮฟเว่นเข้าปัดป้องอาวุธของอีกฝ่าย ด้วยความแตกต่างของแรงประทะของอาวุธทั้งสอง เธอสามารถปัดป่ายให้ดาบของเกรย์พ้นวิถีเดิมไปได้ไม่ยากนัก หากแต่คมดาบที่ถูกปัดห่างออกไปนั้นกลับตวัดเข้าหาเธอได้ใหม่อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่เพลงที่ประอาวุธกัน เธอก็ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ คอยหันม้าไปรอบทิศ เพื่อต้านรับการบุกจากเกรย์ที่วนเวียนอยู่รอบตัวเธออย่างติดพัน

“เคร้ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

จังหวะหนึ่งที่เกรย์กระโดดเข้ามาจากด้านข้างพร้อมเงื้อดาบฟันเข้ามา ฮิโระยกคมเคียวขึ้นรับได้อย่างหวุดหวิด แต่เกรย์ก็ยังสามารถฟันดาบเข้ามาอีกได้ถึงห้าดาบระหว่างที่ร่างของเขายังคงลอยอยู่ในอากาศก่อนที่จะตกลงยืนบนพื้นดินตามแรงโน้มถ่วงของโลก เสียงเคร้งดังขึ้นถี่ยิบในช่วงนี้เอง แต่คราวนี้เมื่อเกรย์ลงไปยืนบนพื้นแล้วยังคงปักหลักแลกอาวุธกับฮิโระอยู่อย่างนั้นเอง โดยฮิโระต้องหันด้านข้างให้ และใช้ปลายเคียวตั้งรับกระบวนท่าของอีกฝ่ายอย่างเหนียวแน่น

“เคร้ง ๆ ๆ ๆ ๆ”

เสียงเคร้งสุดท้ายดังขึ้นก่อนที่จะเงียบไปนานกว่าทุกครา ไม่ใช่เพราะเกรย์ถอยฉากออกไปตั้งหลักก่อนที่จะโจมตีเข้ามาใหม่เช่นครั้งก่อน ๆ หากเป็นเพราะใบดาบของเขาถูกกดไว้เบื้องล่างโดยเคียวเกทออฟเฮฟเว่นที่พาดยาวจากมุมสูงบนหลังม้านั่นเอง

“ฮึ เพลงดาบไว ไม่เหมือนเป็นอัศวินเลยนี่” เด็กสาวบนอาชาศึกคู่ใจเอ่ยถาม

“อัศวินหรือ? นั่นมันสมัยสงครามเมื่อคราก่อน ตอนนี้ข้าเปลี่ยนคลาสกลับไปเป็นนักดาบเหมือนเดิมแล้ว”

“มิน่าเล่า เพลงดาบว่องไวนัก”

“ว่าแต่เจ้าเถิด หากเจ้าไม่สามารถเคลื่อนกายได้ดั่งใจแล้วไซร้ การยังอยู่บนหลังม้าจักมีประโยชน์อันใดเล่า เด็กน้อยเอ๋ย ลงมาสู้กับข้าบนพื้นเถิด”

“เจ้า...” ฮิโระคำรามลอดไรฟันออกมา รู้สึกได้ว่าตนเย็นสันหลังวาบด้วยความตระหนักในความเหนือชั้นกว่าของอีกฝ่าย เธอออกแรงกดบนเคียวจนใบดาบของเกรย์ถูกผลักต่ำลงไปอีก แล้วในพริบตานั้นเองคมเคียวของเธอก็ตวัดเข้าหาร่างของนักดาบที่อยู่บนพื้นดินข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสหลบพ้นเลยในระยะประชั้นชิดเช่นนี้

“เฟี้ยว!” “?!!!”

คมเคียวของเธอแหวกว่ายผ่านอากาศธาตุอย่างผิดคาด บริเวณที่มีร่างกายมนุษย์เมื่อหนึ่งพริบตาก่อนหน้าบัดนี้ว่างเปล่า คงมีแต่เสียงดาบหล่นกระทบพื้นที่บริเวณปลายเท้าม้าของเธอที่อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น

“นักดาบยอมทิ้งดาบเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยหรือนี่” ฮิโระเยาะ

เกรย์ซึ่งปรากฏกายขึ้นห่างจากเจ้าหญิงอสูรไปอีกห้าถึงหกก้าวแสยะยิ้มอย่างเย็นใจ กล่าวตอบว่า

“นักดาบที่ยึดคติ ‘ดาบอยู่คนอยู่ ดาบตายคนตาย’ นั่นมันพวกต่ำชั้นต่างหากเล่า และอีกอย่าง ในที่แห่งนี้ก็มีดาบให้ข้าใช้ได้เต็มไปหมดอยู่แล้ว...อย่างเช่น...”

ไม่ทันขาดคำ ร่างของเกรย์ดูเหมือนจะเลือนหายไปแวบหนึ่งก่อนที่ในมือขวาจะมีดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น ด้ามดาบนั้นยังคงอยู่ในอุ้งมือของสเกลตันตนหนึ่ง โดยที่ปลายดาบแทงเข้าไปในทรวงอกของสเกลตันตนนั้นจนมิดด้าม!

“เห็นไหม เท่านี้ สหายผู้นี้ก็ยอมให้ข้ายืมดาบแล้ว!” เกรย์ยิ้มเหี้ยมเกรียม ตวัดดาบในมือฟันร่างสเกลตันเคราะห์ร้ายเป็นสองท่อนแล้วดึงดาบมาไว้ในมือของตนเองโดยสมบูรณ์ ร่างสเกลตันที่ล้มลงไปถึงพื้นดิน ถูกไฟลุกแผดเผาจนเหลือเพียงคราบดำบนพื้นดินในพริบตาเดียว

“...”

ฮิโระนิ่งมองเกรย์ไม่วางตา ทันใดนั้นเองเธอก็ต้องผงะเมื่อสำเหนียกถึงอะไรบางอย่าง

“แกร๊กกกกกก”

“?!!!”

เสียงร้องคำรามอย่างลิงโลดของฝูงสัตว์อาคมดังลั่น ขณะที่บรรดาทหารสเกลตันร่นถอยกลับมาไม่เป็นขบวน แม่ทัพของพวกมันรับรู้ได้ทันทีว่าทหารของตนพ่ายแพ้ในการประทะครั้งแรกเสียแล้ว เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว

‘ห้าร้อย...สี่ร้อยเศษ หือม์...นั่นมันรูปขบวน...?’

ฮิโระหรี่สายตาเพ่งมองไปทางทิศที่บ๊ากรู้ทยืนอยู่อย่างเจ็บใจ การประทะกันครั้งแรก ทหารของเธอแตกร่นกลับมาและเหลือกำลังเพียงห้าร้อยตน นั่นคือความสูญเสียฝ่ายตนสามร้อย ขณะที่อีกฝ่ายสูญเสียไปไม่ถึงร้อย จำนวนทหารทั้งสองฝ่ายตอนนี้ต่างกันไม่ถึงร้อยแล้ว!

‘พวกมันจัดรูปขบวนหัวหอกตั้งแต่เมื่อไหร่?’ ฮิโระถามตัวเองในใจ รูปขบวนมาตรฐาน “วงเดือน” นั้นเป็นที่รู้กันดีว่า แพ้เชิงต่อรูปขบวนชนิดเดียวคือ รูปขบวนหัวหอก และผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทก็สั่งแปรขบวนสัตว์อาคมของตนเป็นรูปขบวนนั้นได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะประทะกันได้พอดิบพอดีเสียด้วย นี่เองเป็นที่มาของความปราชัยในยกแรก

“มองไปทางไหน องค์หญิงอสูร” เสียงเย็นชาดังขึ้นมาอีก ฮิโระหันขวับไปทางต้นเสียงทันที เกรย์ยืนมองมาอย่างทรนง มิได้ฉวยโอกาสลงมือขณะที่เธอเผลอ หากแต่ทันทีที่สายตาของฮิโระเบนกลับมาที่เขา ร่างของเขาก็หายวับไปจากคลองจักษุของผู้อยู่บนหลังม้าทันที

“?!!!” ฮิโระรวบรวมสมาธิอย่างรวดเร็ว พลางสอดส่ายสายตาไปรอบด้าน

‘ข้างซ้าย?’ เธอจับรังสีอำมหิตที่แผ่พุ่งจากด้านซ้ายของตนได้ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่คมดาบจะพุ่งเข้ามา ด้ามเคียวเกทออฟเฮฟเว่นถูกยกขึ้นกั้นไว้อย่างหวุดหวิด หากเกรย์ลงมือจากด้านนี้ จะเป็นด้านที่เธอหันด้ามเคียวเข้าหาพอดี ด้วยการถือเกทออฟเฮฟเว่นด้วยสองมือนั้น เธอถือโดยให้ด้านที่มีคมเคียวอยู่ทางขวา หากการณ์เป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเธอตกเป็นฝ่ายตั้งรับแต่สถานเดียวอีกคำรบหนึ่ง

“เคร้ง ๆ ๆ ๆ" เสียงดาบกระทบด้ามเคียวดังขึ้นอีกเป็นจังหวะ ๆ

อีกด้านหนึ่ง กองกำลังสัตว์อาคมก็กำลังวิ่งเข้ามาอีกครั้งด้วยรูปขบวนหัวหอกเหมือนครั้งแรก

“รูปขบวนปีกหงส์กลับ! อุ๊บ!” ฮิโระร้องสั่งการอย่างร้อนรน แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อปลายดาบของเกรย์เฉี่ยวเอวเธอไปในพริบตาที่ตนเองเสียสมาธิสั่งการแก่ทหารของตน โลหิตสีแดงเข้มของเธอไหลรินออกจากปากแผลช้า ๆ เป็นสายยาว

“...” เธอปล่อยมือซ้ายจากด้ามเคียว ยื่นมันออกไปด้านข้างพร้อมกับที่มีระเบิดเพลิงผุดขึ้นระหว่างตัวเธอกับเกรย์แล้วพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามทันที โดยไม่ต้องร่ายมนต์

“ฮึ” เกรย์กระโดดถอยหลัง พร้อมฟาดฟันดาบของตนใส่ดวงไฟเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว...อา...ใช่แล้ว ดาบคู่มือของเขากลับมาอยู่ในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ปรากฏ บัดนี้มันถูกฟันเข้าใส่ดวงระเบิดไฟเหล่านั้นพร้อมพลังยุทธในกายเกรย์ที่ถูกเร่งเร้าปลดปล่อยมากับดาบด้วย ทำให้ดวงไฟเหล่านั้นดับวูบลงในที่สุด แต่...นั่นก็ไม่เป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของฮิโระ ซึ่งบัดนี้กระโดดลงจากหลังม้ามายืนบนพื้นด้วยเท้าทั้งสองของตน ม้าปิศาจวิ่งหลบไปบริเวณอื่นอย่างรู้งาน

เปลวเพลิงจากเวทย์มนต์ของบ๊ากรู้ทพุ่งเข้าหาเหล่าแนวหน้าของสเกลตันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เสียงประทะกันระหว่างทหารสเกลตันซึ่งเพิ่งจัดรูปขบวนใหม่กับฝูงสัตว์อาคมดังขึ้นมาอีก ฮิโระขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเธอหยั่งรู้จากเสียงประทะนั้นได้ว่า “การประทะหนาแน่นกว่าที่ควรเป็น” หากเป็นรูปขบวนปีกหงส์กลับข้างประทะกับรูปขบวนหัวหอกจริง ฝ่ายหลังจะถูกรูปขบวนหลอกตาของฝ่ายแรกชักนำให้ไขว้เขว และการประทะกันจะเกิดขึ้นเพียงประปรายเท่านั้น อันเป็นเจตนาฮิโระที่สั่งแปรรูปขบวนนี้เพื่อจะถ่วงเวลาการรบนั่นเอง แต่นี่...ดูเหมือนการณ์จะไม่เป็นไปตามที่เธอคาดหวังไว้ การประทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายดำเนินไปอย่างดุเดือดยิ่งนัก

‘พวกมันอยู่ในรูปขบวนปีกหงส์ (มาตรฐาน) หรือนี่’ เธอเอะใจในที่สุด

“ลงจากหลังม้าจนได้นะ เด็กน้อยฮิโระเอย” เกรย์กระชับดาบมั่น “แต่ถึงอย่างไรก็หนีความตายไปไม่พ้นหรอก!”

เขากระโจนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง

ฮิโระร้องฮึในลำคออย่างขัดใจแล้วขยับอาวุธคู่มือเตรียมตั้งรับเช่นเคย

...

“ทำไมองค์หญิงตกเป็นรองได้ขนาดนี้นะ” อัศวินผมเกรียนที่ยืนอยู่ชายป่าถามบุรุษร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างร้อนรน สถานการณ์การสู้รบท่ามกลางทะเลเพลิงถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏเห็นชัดเจนต่อสายตาผู้อยู่เบื้องนอกก็จริง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงการตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบของฝ่ายตน

“ท่านสังเกตเห็นเหมือนข้าไหม?” ชิกลดหน้ากากผจญเพลิงที่มีกระจกสีชาติดอยู่ลงจากใบหน้า ด้วยกระจกสีชานี้เองทำให้เขามองฝ่าเข้าไปในกองเพลิงและเห็นสถานการณ์การรบในนั้นได้อย่างชัดเจน

“อะไรหรือ?” ซากิฟอนถาม พลางคว้าหน้ากากนั้นมาประกบบนหน้าตนเองบ้าง และมองเข้าไปในกองเพลิงอย่างร้อนใจ

“ข้อแรก องค์หญิงไม่ขยับตัวจากที่เดิมเลย ตกเป็นฝ่ายรับให้เจ้าเกรย์นั่นตลอด” ชิกเอ่ยข้อสังเกตของตนช้า ๆ “แบบฉบับการรบขององค์หญิงไม่ใช่แบบนี้ และข้อสอง... ทำไมทหารสัตว์อาคมของฝ่ายนั้น จัดขบวนยุทธได้รวดเร็วและเป็นรูปขบวนที่ ‘ข่ม’ รูปขบวนขององค์หญิงได้ทุกครั้ง”

“อืมห์... ข้อแรกข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ข้อสองนะ องค์หญิงต้องสู้กับเกรย์อยู่ตัวต่อตัวนะสิ ทำให้สั่งการรูปขบวนตัวเองได้ไม่เต็มที่ หมดโอกาสแก้สถานการณ์ให้ทหารของตน...”

“นั่นเป็นคำตอบครึ่งเดียว” ชิกแย้ง

“อืมห์...”

“ข้าคิดว่าข้ารู้คำตอบแล้ว จำยุทธวิธีที่เราใช้ที่นีโอกลาดเมื่อสองเดือนก่อนได้ไหม?”

“จำได้สิ...อ๊ะ...หรือว่า...”

“ใช่ ท่านผู้เฒ่าอัจฉริยภาพแห่งเพลิงกำลังใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ” ชิกขยับแว่นตาของตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนอาการกังวล “แล้วก็อีกข้อ ที่ว่าทำไมองค์หญิงสู้รบด้วยอาการแปลก ๆ ไป ตรงนี้ต้องถามก่อนว่า แล้วทำไมเกรย์ถึงอยู่ในสมรภูมิเพลิงนี้ได้ ทั้งที่เขาไม่ใช่สเกลตันขององค์หญิงและไม่ใช่สัตว์อาคมของบ๊ากรู้ทด้วย”

“นั่นสิ..หมายความว่า...” ซากิฟอนเริ่มตามทันความคิดของอีกฝ่าย

“ใช่ ถ้าข้าคาดไม่ผิดนะ เราถูกความคิดที่ว่า ต้องเป็นทหารใต้อาณัติของจอมขมังเวทย์พระเพลิงทั้งสองคนนั้นจึงจะเข้าไปในสนามรบที่ร้อนระอุนั้นได้แต่...ที่จริงแล้วผู้ที่เข้าได้คือ ผู้ที่ได้รับอนุญาตต่างหาก”

“เข้าใจล่ะ อย่างนี้นี่เอง...อ๊ะ... องค์หญิงระวัง...” สุดท้ายเขาอุทานออกมาเมื่อภาพที่เห็นคือ ฮิโระกำลังถูกไล่ต้อนตกอยู่ในภาวะคับขันเต็มที

“ข้าจะเข้าไปช่วยองค์หญิง...” ซากิฟอนกล่าว “มีวิธีส่งข้าเข้าไปในนั้นไหม? ชิก”

“มี... แต่...บอกตามตรง ข้าไม่รับประกันว่า หลังจากส่งท่านเข้าไปแล้ว องค์หญิงจะ ‘เชิญ’ ท่านอยู่ในนั้นต่อได้รึเปล่านะ วิธีของข้าทำให้ท่านอยู่ในนั้นได้เพียงนาทีเดียวเท่านั้น”

“หนึ่งนาทีก็เกินพอแล้ว องค์หญิงต้องทำได้แน่"

“เข้าใจแล้ว ขอข้าเตรียมตัวก่อน”

...

“พวกท่านเป็นอะไรไป? ทัพแวมไพร์ทำได้แค่นี้เองหรือ?”

ซาโต้ที่แยกทางกับฮิโระจากในทะเลเพลิง พาตัวเองมาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของแวมไพร์ลอร์ดหนุ่ม แล้วเอ่ยกระตุ้นขึ้นอย่างเผ็ดร้อน

“ท่าน?” คลาอุสแสดงสีหน้าที่จับความรู้สึกไม่ได้

“องค์หญิงบอกว่า...ต้องการเข้าไปพักผ่อนในป้อมนะ...หลังจากเผด็จศึกอาคันตุกะในกองเพลิงนั่นได้แล้ว”

“...” คลาอุสหันไปมองสบตากับนินจานิ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจได้ “เข้าใจล่ะ หากเจ้าหญิงประสงค์เช่นนั้น...”

เขาหันไปสั่งการทหารของตนต่อ “บุกต่อไป อย่าถอย... ท่านหญิงเมย์มี บุกต่อไป...” สุดท้ายเขาหันขึ้นฟ้าไปทางเมย์มีตะโกนบอกสั้น ๆ เพียงเท่านั้น แต่ซาโต้รับรู้ได้ว่า เขาคงคุยกับเมย์มีทางโทรจิตตามแบบฉบับของพวกแวมไพร์

ร่างของเมย์มีบนท้องฟ้ายังคงชะงักอยู่เช่นนั้น บางคราวก็หันมองไปทางทะเลเพลิงเบื้องล่างอย่างพะวักพะวน ในที่สุดเธอก็หันกลับไปโจมตีเหล่ากอบบลินบนป้อมปราการต่อไป เหล่าสัตว์อาคมของคลาอุสและสเกลตันของเมย์มีเริ่มกดดันกองกำลังกอบบลินบนป้อมอีกครั้งหนึ่ง เสียงเจ้าบริโมรินร้องตวาดลูกสมุนของตัวเองดังลั่นจากบนป้อมเป็นระยะ ๆ บริเวณด้านล่างป้อม ทหารม้าของลูเซย์เดอร์ส่วนหนึ่งหันมายิงธนูไฟขึ้นไปบนกำแพงเพื่อก่อกวนแนวรับของพวกกอบบลิน

“ท่านซาโต้ ข้าอยากจะให้ท่านลูเซย์เดอร์ร่วมในการรบโดยตรงสักทีนะ ท่านพอจะทำได้ไหม?” คลาอุสกล่าวขึ้นโดยไม่หันมามอง สายตาของเขาจับจ้องสถานการณ์บนกำแพงป้อมอย่างใจจดใจจ่อ ธนูไฟมีประสิทธิภาพน้อยเหลือเกิน คงเป็นเพราะเจ้าพวกกอบบลินเตรียมการไว้ดีแล้วนั่นเอง ทำให้ไม่มีวัตถุที่เป็นเชื้อไฟเหลืออยู่บนเชิงเทินเลย

“ได้สิ” ซาโต้เข้าใจเจตนาอีกฝ่ายทันที ก่อนที่เขาจะพุ่งทยานผ่านหน้าคลาอุสตรงเข้าไปที่กำแพงป้อม เสียงคลาอุสยังดังตามมาว่า “ท่านหญิงจะช่วยหลอกล่อให้ท่านเอง”

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1