บริโมรินยืนคุมการรบอยู่บนเชิงเทินอย่างห้าวหาญ เสียงมันตะโกนสั่งการลูกสมุนดังลั่นไปทั่วด้วยภาษาง่าย ๆ อันเป็นภาษาดั้งเดิมของเผ่ากอบบลินเอง... ใครเล่าจักเคยสนใจศึกษาว่า ชนเผ่าที่ถูกตราหน้าว่าเป็นชนเผ่าชั้นต่ำของเนฟเวอร์แลนด์นี้ก็มีอารยธรรมของมันเองด้วยเหมือนกัน “พวกแกอย่ารามือ ต้านไว้ ๆ ... เฮ้ย ตรงนั้นมีรูโหว่แล้ว เข้าไปเสริมเร็ว ... เรียกระดมพวกชายฉกรรจ์มาอีก นี่ไม่ใช่เวลาแบ่งทหารพลเรือนแล้ว ถ้าป้อมแตก พวกเราก็สิ้นเผ่าพันธุ์กันคราวนี้แหละโว้ยยยย!” เป็นเนื้อหาในคำพูดที่มันถ่ายทอดออกมาเป็นระยะ ๆ ใช่แล้ว ทำไมมันจักไม่สามารถวาดภาพได้เล่า ว่าหากป้อมแตก พวกพ้องของมันจะเป็นเช่นใด โทษทัณฑ์ที่เจ้าหญิงอสูรจะให้แก่มันในฐานะทรยศต่ออาณาจักรอสูร... แล้วยังพวกมนุษย์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกมันมาแต่ไหนแต่ไรที่อยู่ในกองทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยเล่า? พวกมันจะยอมแพ้มิได้เป็นอันขาด ‘หรือข้าคิดผิดไป?’ บริโมรินรำพึงในใจ ‘ทำไมหรือ กอบบลินจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์ สามารถยืดอกบอกว่าพวกข้าคือกอบบลิน เหมือนกับที่พวกมนุษย์และอสูรยืดอกบอกว่าตนเป็นมนุษย์หรืออสูรมิได้เชียวหรือ? พวกข้าไม่สามารถหลุดพ้นจากตราบาปที่ประทับไว้ว่าเป็นพลเมืองชั้นสองของเนฟเวอร์แลนด์ไปได้เลยหรือนี่’ พวกมันไม่ได้เชื่อถือ บูชาในพระเจ้า มิฉะนั้น ท้ายคำรำพึงของมันคงจะต้องตัดพ้อพระเจ้า...พระเจ้าของเนฟเวอร์แลนด์ซึ่งในขณะนั้นทราบกันดีว่าคือ มหาเทพโคเรียนั่นเอง...เข้าให้บ้าง นับแต่ปีอสุรศักราชที่ 983 อันเป็นปีที่บริโมรินขึ้นเป็นผู้นำของกอบบลินกลุ่มใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่บริเวณรอบหอคอยบาร์ฮาร่า มันได้รวบรวมสมัครพรรคพวกที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วทวีปเนฟเวอร์แลนด์ให้มาอยู่รวมเป็นปึกแผ่น ยึดเอาชั้นล่างสุดของหอคอยและตอนหลังก็เปลี่ยนไปยึดป้อมปราการบาร์ฮาร่าที่อยู่ไม่ไกลกัน เป็นถิ่นที่มั่นของพวกมัน ต่อมาในปีอสุรศักราชที่ 984 มันก็ได้นำกำลังของตนเข้าสวามิภักดิ์กับจอมราชันย์อสูรจาเนส ฝ่ายนั้นรับมันไว้ใต้ร่มธงเป็นอย่างดี ให้ตำแหน่งมันเป็นเจ้าครองแคว้นบาร์ฮาร่า รับรองสิทธิ์เหนือดินแดนบาร์ฮาร่าของเผ่ากอบบลิน และอำนวยพรให้มันมีอายุยืนยาวขึ้น ... แต่...ก็เท่านั้น เพราะมองจากสายตาฝ่ายรับแล้ว มันไม่ต้องเข้าเป็นพวกอสูรมันก็อยู่ในฐานะเช่นนั้นอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นแม้นจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาขุนพลของทัพอสูรอย่างไร บริโมรินก็ยังคงเป็นเพียงเจ้าครองแคว้นฝ่ายฝักใฝ่อสูร หาได้ยกระดับเทียบเท่ากับห้าขุนพลแห่งนีโอกลาดอันมีสิทธิ์มีเสียงในการเสนอข้อราชการแก่จอมราชันย์อสูรจาเนสไม่ มองจากสายตามนุษย์ หรือ แม้แต่สายตาของอสูรก็ตาม กอบบลินเป็นเผ่าดุร้ายป่าเถื่อน ไม่รู้จักวิธีเกษตรกรรม-ทั้งกสิกรรมและปศุสัตว์-เพื่อการดำรงชีพ พวกมันมีชีวิตอยู่ด้วยการหาของป่าตามธรรมชาติจนกระทั่งป่านั้นเสื่อมโทรมสัตว์ป่าร่อยหรอ ก็ย้ายแหล่งใหม่ หนัก ๆ เข้าหากพวกมันอยู่รวมเป็นกลุ่มใหญ่ก็จะพากันไปปล้นสดมภ์ โดยในสมัยก่อนก็ปล้นไม่เลือก ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านเผ่าอสูรหรือเผ่ามนุษย์หรือพวกที่อยู่ทางใต้ในบริเวณเกาะทรัยไอซ์แลนด์ ก็ปล้นพวกเอลฟ์ แต่หลังจากบริโมรินพาพวกตนเข้าสวามิภักดิ์ต่อนีโอกลาดแล้ว พวกมันก็เลิกปล้นในดินแดนของฝ่ายอสูร หากยังคงจ้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากับหมู่บ้านมนุษย์เท่านั้น แต่นั่นคือมุมมองของพวกมนุษย์ ในขณะที่พวกกอบบลินเอง รับรู้ดีว่าพวกมันในสมัยโบราณต่างหากที่ถูกผลักดันขับไล่จากเผ่าอื่น ๆ จนต้องพากันไปอาศัยในดินแดนทุรกันดารเสียนาน สูญเสียวิทยาการเกี่ยวกับการเกษตรกรรมไปจนหมดสิ้น ต้องอาศัยวิธีสุดท้ายคือ แย่งชิงอาหารจากผู้อื่น มิฉะนั้นพวกมันก็ต้องอดตายกันหมด อย่างไรก็ตามพวกมันก็แย่งชิงเฉพาะอาหาร...และผู้หญิงเท่านั้น ไม่เคยเหลือบแลบรรดาสิ่งที่พวกเผ่าอื่น-โดยเฉพาะมนุษย์-เห็นว่าเป็นของมีค่าอย่างเช่น เพชรนิลจินดา ทองคำ โลหะเงิน เลย ทำไมกอบบลินต้องฉุดคร่าสตรีจากเผ่าอื่นด้วย? นี่ก็เป็นตราบาปอีกตราหนึ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์นี้ถูกรังเกียจเดียดฉันท์มากนัก หากแต่..แท้จริงแล้วมันเป็นธรรมชาติของกอบบลินที่มักจะมีเพศชายมากกว่าเพศหญิง-เรียกว่าเกือบทั้งหมดเป็นเพศชายก็ว่าได้ ทำให้จำนวนสตรีเพศในเผ่าพวกมันไม่สมดุลกับบุรุษเพศอย่างมาก และที่แปลกคือ ‘เชื้อ’ หรือ ‘สายเลือด’ ของกอบบลินนั้นแรงนัก เด็กที่เกิดจากการผสมพันธุ์ข้ามเผ่าระหว่างกอบบลินชายกับสตรีเผ่าพันธุ์อื่นจักเกิดออกมาเป็นกอบบลินโดยสมบูรณ์ทุกประการ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาชดเชยกับข้อด้อยในพันธุกรรมของกอบบลินที่มักจะก่อกำเนิดทารกเพศชายเป็นส่วนใหญ่กระมัง หากแต่..ในเมื่อสตรีที่กอบบลินสรรหามาเพื่อดำรงคงเผ่าพันธุ์ของตนได้มาจากการฉุดคร่า ปล้นสดมภ์จากเผ่าพันธุ์อื่น...แน่นอน ย่อมเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่มิอาจอภัยให้ได้ สถานการณ์ในเนฟเวอร์แลนด์เลวร้ายลงตามลำดับจนกระทั่งเกิดสงครามใหญ่ครั้งล่าสุด ‘ศึกธรรม-อสูร’ ขึ้น บริโมรินตัดสินใจในครานั้นเองว่า พวกมันจักต้องมีอำนาจเหนือบางส่วนของเนฟเวอร์แลนด์ที่นอกเหนือไปจากบาร์ฮาร่าให้ได้เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์พวกมันเอง นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกมันยังคงรบกับแคว้นซิลเวสเตอร์อย่างดุเดือดเลือดพล่านต่อไป ทั้ง ๆ ที่ศึกธรรม-อสูรจบสิ้นลงแล้ว ครานั้น แม้นว่าในที่สุดพวกมันประสบความล้มเหลวเมื่อต้องถอนทัพกลับมาบาร์ฮาร่าเพื่อสู้กับขุนพลโกรมิลขั้นแตกหัก แต่มันก็จับเป็นโกรมิลไว้ได้ในที่สุด และจังหวะนั้นเอง ที่พวกมันเริ่มติดต่อกับ-ไม่สิ เรียกว่าได้รับการติดต่อจาก-จะถูกต้องกว่า...แคว้นเอ็กซ์ หรือสหพันธรัฐโดมอย่างลับ ๆ ต่อมา ในหอคอยกอบบลินมีอะไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่บริโมรินใส่ใจ ในเมื่อพวกมันก็ตระหนักว่าในนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย และสมัยหนึ่งพวกมันเองก็อาศัยอยู่ในนั้นได้เพียงชั้นล่างสุดเท่านั้น แต่มันมิใช่คนโง่ หลังจากรอจนอีกฝ่ายส่งเครื่องบรรณาการให้ตนมากมายพอสมควร รวมทั้ง ‘กองกำลังอัศวินบาร์ฮาร่า ภายใต้การนำของขุนศึกไร้อดีต’ แล้ว มันก็ปล่อยให้พวกแคว้นเอ็กซ์เข้าหอคอยได้อย่างเสรี จากข้อมูลที่ได้รับจากโดม บริโมรินใช้สมองเท่าที่มันมีอยู่เดิมพันครั้งสำคัญกับอนาคตของเผ่ากอบบลินทั้งเผ่าพันธุ์ การที่ชื่อของบริโมรินถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการเมื่อเข้าผจญภัยสำรวจในหอคอยสเปกตรัล อันเป็นดันเจี้ยนอันดับหนึ่งในโลกของเนฟเวอร์แลนด์ และกลับออกจากหอคอยเมื่อปีอสุรศักราชที่ 991 หลังจากผจญภัยเพิ่มขีดความสามารถให้ตนเองอยู่ได้หนึ่งปี ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการรบนั่นเอง...และในที่สุดเวลาที่มันคิดว่าเป็นฤกษ์ดีก็มาถึง เมื่อเจ้าหญิงฮิโระ สถาปนา ‘ทัพอสูรสายเลือดใหม่’ ขึ้นและยกพลไปตีโททัสบูร์ก มันส่งกำลังไปตีนีโอกลาดทันที ด้วยการข่าวชั้นดี-โดยความร่วมมือของโดมอีกนั่นแหละ--ที่สืบมาได้ว่าในนีโอกลาดเหลือเพียงกำลังเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็...พลาดจนได้ด้วยความหูเบาของบริกาโต้ ผู้นำแห่งกอบบลินรู้ดีว่า หากมันยึดนีโอกลาดได้ ย่อมส่งผลได้เปรียบต่อการศึกอย่างมหาศาล แต่ในเมื่อพลาดไปแล้ว มันก็เหลือทางออกสุดท้ายคือ ตั้งรับอย่างเหนียวแน่นในป้อมบาร์ฮาร่า พร้อมกับที่มันได้พิพากษาโทษของบริกาโต้ที่ทำงานพลาดแล้วว่า ต้อง ‘ตาย’ แต่ก่อนตายก็ต้องใช้งานกอบบลินหนุ่มผู้นี้ให้คุ้มด้วย ‘ยากระตุ้นพลัง’ ที่ได้รับมาจากสหพันธรัฐโดม แน่นอนในหัวของบริโมริน ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเลยที่ตนเองจะเสพยานี้เอง แลบัดนี้เบื้องหน้าของมันคือทัพอสูรใหม่ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาหักเอาค่ายที่มั่นของมันให้จงได้ การรบครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์อันอึมครึมของชนเผ่ากอบบลินกำลังเริ่มขึ้นแล้ว! “หน่วยพิเศษ เสริมกำลังป้อมซ้ายด่วน” บริโมรินชี้ไปทางจุดที่ลูกสมุนของตนแตกพ่ายด้วยถูกลูกธนูจากเมย์มีกราดยิงจากเบื้องบนประสานกับการโจมตีของสัตว์อาคมจากด้านล่างอย่างมีประสิทธิภาพ “ฮึ่ม ต้องจัดการนังนี่ก่อน” มันคำรามในลำคอแล้วขยับร่างกายอันอ้วนท้วนสมบูรณ์หันไปทางเมย์มี “ดาบเล็บมังกร ริวโซซัน!” ดาบเล่มโตถูกดึงมาถือในมือขวาของมันมั่นแล้วกวัดแกว่งเป็นจังหวะจนเกิดกระแสคลื่นสุญญากาศพุ่งจากคมดาบเข้าหาเมย์มีที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้านนอกป้อมออกไป รัศมีแสงสีดำที่ล้อมรอบกายเมย์มีกระพริบติด ๆ ดับ ๆ วูบวาบในจังหวะที่คลื่นสุญญากาศจากดาบเล็บมังกรเข้ากระแทกใส่ ในที่สุดรัศมีสีดำนั้นก็หายไป อันแสดงถึงเกราะคุ้มกันของเมย์มีหายไปแล้วนั่นเอง “พลังตบะของเจ้ากล้าแข็งนักนี่ จึงทำลายเกราะของเราได้” เมย์มีเอ่ยชมอีกฝ่ายโดยดุษฎี รางของเธอกลับลอยเข้าใกล้ตัวมัน ทั้งที่เกราะรอบกายหายไปแล้ว “หึหึ พวกเจ้าอย่าดูถูกกอบบลินมากไป” บริโมรินแสยะยิ้ม นึกกระหยิ่มใจว่าในเมื่อไร้ซึ่งเกราะกำบังก็ไม่ต้องหนักใจกับการสู้กับหญิงสาวชาวแวมไพร์ผู้นี้แล้ว “โจมตี!” ลูกสมุนกอบบลินที่อยู่ใกล้ตัว ระดมขว้างหอกแหลมใส่ร่างเมย์มีเป็นสายเดียว หญิงสาวขยับมือวูบหนึ่งปรากฏแส้สีดำเส้นหนึ่งในมือเธอ กวัดแกว่งฉวัดเฉวียนดุจงูเลื้อย ปัดเบนหอกซัดเหล่านั้นเบี่ยงวิถีออกไปจากตัวเธอจนหมดสิ้น “ด้วยอำนาจแห่งแวมไพร์ผู้ทรงฤทธิ์ ขออำนวยชัยให้ทหารของข้า จงแข็งแกร่งประดุจหินผา ณ บัดนี้!” คาถาช่วยรบดังกระหึ่มจากริมฝีปากงามได้รูปของบุตรีเจ้าแวมไพร์ พลันบังเกิดแสงสีดำสาดส่องจากฝ่ามือของเธอฉายไปยังบรรดาสเกลตันภายใต้อาณัติของตัวเอง สเกลตันเหล่านั้นพลันฮึกเหิมขึ้นมาทันที ถาโถมขึ้นไปบนเชิงเทินอย่างไม่ย่นระย่อ คมดาบและกระบองหนามที่บรรดากอบบลินกวัดแกว่งเข้าใส่ร่างของพวกสเกลตันเหล่านี้ หาได้ทำอันตรายแก่พวกมันไม่ ด้วยเพราะพวกมันได้รับการคุ้มครองจากพลังเวทย์ของเมย์มีนั่นเอง “ฮึ่ม” บริโมรินคว้าหอกได้อันหนึ่ง ขว้างไปสุดแรงใส่เหล่าสเกลตันเดนตายเหล่านั้น คมหอกพุ่งทะลุร่างของพวกมันสี่ร่างพร้อมกัน ด้วยแรงที่มหาศาลพาให้ร่างทั้งสี่นั้นกระเด็นปลิวไปจากเชิงเทิน แต่สเกลตันภายใต้คาถาเสริมความแข็งแกร่งก็ยังคงหนุนเนื่องขึ้นมาบนเชิงเทินนับสิบตน และรบตะลุมบอนกับกอบบลินบนนั้นอย่างดุเดือด กวาดสายตามองไปทั่วเชิงเทิน บางตำแหน่งก็เริ่มปรากฏสัตว์อาคมของคลาอุสทะลุทะลวงตีฝ่าขึ้นมาบนเชิงเทินได้หลายจุดแล้วเช่นกัน “หลีกไป!” บริโมรินตัดสินใจเข้าร่วมการสู้รบตรงจุดที่ทหารของเมย์มีบุกเข้ามาได้ก่อน ด้วยตระหนักว่าจุดนี้เป็นจุดวิกฤติที่สุด ในจุดอื่น ๆ บรรดาลูกสมุนของตนคงจะยังพอต้านทานได้อยู่ ‘บริโมรินพุ่งความสนใจไปทางนั้นหมดแล้ว ดีล่ะ’ ซาโต้ฉวยโอกาสไต่กำแพงตามหลังฝูงสัตว์อาคมกลุ่มหนึ่งขึ้นมาทันที เขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วเล็ดลอดผ่านบรรดากอบบลินบนเชิงเทินไปโดยไม่ยี่หระต่อพวกมันแม้แต่น้อย ปล่อยให้สัตว์อาคมของคลาอุสประทะพวกมันอย่างดุเดือด เขาเล็ดลอดกายไปตามเชิงเทินจนถึงบันไดที่ลงไปสู่พื้นด้านล่างแล้วก็ตรงลงไป จุดหมายคือ ประตูป้อม! ทันทีที่ร่างของเขาหยุดที่ข้างคันบังคับกลไกเปิดปิดประตูป้อม กอบบลินสองสามตนก็สังเกตเห็นเขา พากันตกใจแต่ก็วิ่งเข้ามาหาอย่างประสงค์ร้ายทันที ช่างตระหนักถึงภัยของพวกตนได้อย่างรวดเร็วดีเหลือเกิน แต่ซาโต้ไม่ยอมเสียเวลากับพวกมันแม้แต่น้อย “ดาวกระจายไร้รูป!” ท่าไม้ตายถูกนำออกมาใช้โดยไม่เสียดายพลัง ดาวกระจายดอกหนึ่งพุ่งบินออกจากปลายมือของซาโต้ ขณะที่มันหลุดออกจากแหล่งก็มีขนาดเหมือนดาวกระจายปกติ แต่ยิ่งห่างจากตัวซาโต้เท่าไร ขนาดของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นเท่านั้น จนขณะที่มันพุ่งเข้าตัดร่างของพวกลิ่วล้อกอบบลินที่วิ่งเข้ามาใกล้กลุ่มนั้นขาดเป็นสองท่อนในพริบตาเดียวนั้น ดาวกระจายมีขนาดใหญ่เกือบเมตร เมื่อมันพุ่งเข้ากระทบกับผนังป้อมก็พลันสลายหายไปเป็นอากาศธาตุ มือทั้งสองของซาโต้เอื้อมไปปลดคันบังคับ เขางงไปนิดหนึ่งเมื่อไม่ปรากฏว่าประตูมีความเคลื่อนไหวใด แต่แล้วก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว ลงมือสาวโซ่อีกเส้นหนึ่งทันที คราวนี้ประตูป้อมทั้งสองบานค่อย ๆ แง้มเปิดออกจากกัน “ประตูเปิดแล้ว พวกเราบุก!!!” เสียงของลูเซย์เดอร์ดังลั่นเข้ามาก่อนได้ยินชัดถึงด้านในป้อม อึดใจถัดมาเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับปรากฎขึ้นพร้อมกับร่างของบรรดาอัศวินบนหลังม้าเกือบร้อยนายที่พากันถาโถมเข้ามาในป้อมประดุจเสือหิว พวกอัศวินของนีโอกลาดเข้าร่วมในแนวรบจนได้! กำลังรบของกอบบลิน เท่าที่ระดมได้ เพียงหกร้อยตนเศษ ในจำนวนนี้ยกเว้นทหารในสังกัดของบริโมรินจำนวนสองร้อยแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นพลเรือนที่เพิ่งกะเกณฑ์มาทั้งสิ้น ในขณะที่กำลังฝ่ายโจมตีได้แก่ อัศวินหนึ่งร้อย สัตว์อาคมสามร้อยและสเกลตันสี่ร้อย (จำนวน ณ เริ่มต้นศึก) วาระสุดท้ายของกอบบลินเข้ามาใกล้ทุกขณะ ... “เคร้ง ๆ ๆ ๆ” ภายในทะเลเพลิงอันร้อนระอุ ฮิโระยังคงประทะอาวุธกับเกรย์ยอดนักดาบอย่างดุเดือด ในตอนนี้ฮิโระเคลื่อนไหวกายได้คล่องแคล่วกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่บนหลังม้า แต่เธอก็ยังตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ดี “...” ถึงจะเหนื่อยเพียงใด หนักใจเพียงใด ก็ไม่ปรากฏเสียงร้องอุทธรณ์เล็ดลอดจากริมฝีปากน้อย ๆ คู่นั้น เม็ดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเธอ แต่ก่อนที่มันจะหยาดหยดลงมาตามใบหน้ามันก็เหือดแห้งไปด้วยความร้อนจากเปลวเพลิง เลือดที่เอวด้านซ้ายของเธอยังคงไหลซึมออกมาเป็นระยะ แต่ปากแผลเริ่มแห้งเกรอะกรังแล้ว เช่นเดียวกับคราบโลหิตที่แห้งติดอาภรณ์บริเวณนั้นเป็นดวงโต รอบข้างพลันปรากฏผลการประทะระหว่างทัพสเกลตันกับทัพสัตว์อาคมในรอบที่สองซึ่งกินเวลาแสนจะยาวนาน ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนกายผละออกจากกันช้า ๆ ทัพสเกลตันถอยกลับมาด้านหลังฮิโระอย่างเงื่องหงอย พวกมันต้องเดินผ่านบริเวณที่เกรย์ยืนนิ่งจดจ้องกับฮิโระอยู่ด้วย แต่ในตอนนี้ไม่มีใครสนใจใครอีกแล้ว ฮิโระรับรู้ได้ว่า ผลการประทะคราวนี้ดุเดือดรุนแรงกว่าคราวก่อนนัก ทหารของตนบัดนี้เหลืออยู่เพียงร้อยเศษ ขณะที่สัตว์อาคมฝ่ายผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทเหลืออยู่อีกราวสองร้อยเศษ ฝ่ายตนตกเป็นฝ่ายปราชัยย่อยยับอีกครั้งหนึ่ง “...” มือทั้งสองที่กำด้ามเกทออฟเฮฟเว่นบีบแน่นอย่างตึงเครียด สายตาที่ฮิโระจ้องมองเกรย์ยังคงเต็มไปด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ หากแต่สถานการณ์ขณะนี้ชัดเจนเหลือเกิน “รอบต่อไป ก็ถึงคราวเผด็จศึกเสียทีหนา เด็กชาวอสูรเอ๋ย” ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทเดินถือไม้เท้ากระย่องกระแย่งขึ้นมาหน้าแถวทหารของตนช้า ๆ พลางเอ่ยทักขึ้น “...อย่างนี้นี่เอง เราควรจะฉุกคิดได้ตั้งนานแล้วนะ” ฮิโระยิ้มเครียด ๆ มีแววเจ็บใจตัวเองอยู่ด้วย “คาถาไฟที่ผู้เฒ่าปล่อยใส่ทหารของเราก่อนประทะเป็นสัญญานแปรขบวนนั่นเอง หาใช่มุ่งหมายทำร้ายทหารของเราไม่” “เหอ ๆ ๆ ถูกแล้ว” อัจฉริยภาพแห่งเพลิงตอบ “หากมุ่งเน้นที่อำนาจทำลายล้าง ไหนเลยข้าจักเร่งเร้าพลังเวทย์ออกมาได้รวดเร็วปานนั้นเล่า?” “...” ฮิโระไม่ตอบประการใด สมองครุ่นคิดวิธีแก้มืออย่างรวดเร็ว หากแต่ยังมองไม่เห็นหนทางที่เป็นไปได้เลย เพราะยังอีกประเด็นหนึ่งที่เธอเสียเปรียบ ประเด็นที่ฝ่ายตรงข้ามมีสองคนนั่นเอง “รูปขบวนปีกหงส์กลับข้างนี้ ได้ยินว่าทัพอสูรใหม่ของเจ้านำมาใช้เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่” ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทถามขึ้น “เป็นรูปขบวนที่ดี สวยงาม มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในการรบหน่วงเวลา หรือยามเสียเปรียบ และที่สำคัญมันช่วยลดความสูญเสียไพร่พลได้มหาศาล...หากไม่ประทะกับรูปขบวนปีกหงส์มาตรฐานเข้าเสียก่อนนะ อืมห์... เจ้าเป็นห่วงไพร่พลผีตายซากของเจ้าปานนี้เชียวหรือ?” “จะเป็นผีสเกลตันก็เป็น ‘ชีวิต’ ชีวิตหนึ่งเหมือนกัน หรือผู้เฒ่าเห็นว่าสัตว์อาคมของท่านมีค่าเพียงกรวดทราย เป็นเพียงตัวเบี้ยที่มีไว้สังเวยเกมเท่านั้นหรือ?” “หึหึหึ นั่นย่อมแล้วแต่กลยุทธ” ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทตอบ “อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าอีกหน่อยรูปขบวนนี้จักเป็นที่นิยมใช้ในเนฟเวอร์แลนด์แน่" “ฮึ แล้วผู้เฒ่าคิดว่ามันเป็นเรื่องดีเช่นนั้นหรือ?” ฮิโระตอบเสียงราบเรียบ “การที่มีผู้ใช้รูปขบวนนี้...หรือรูปขบวนใด ๆ ก็ตาม นั่นหมายความว่า ณ ที่แห่งนั้น มีสงคราม!” “อา..จริงของเจ้า” บ๊ากรู้ทยกมือซ้ายมาลูบหนวดช้า ๆ “เจ้าไม่ปรารถนาสงครามหรอกรึ” “เราไม่ปรารถนาสงครามที่สามารถหลีกเลี่ยงได้” เป็นคำตอบจากเจ้าหญิงอสูร “แต่เจ้าก็เป็นฝ่ายก่อสงคราม ทั้งที่โททัสบูร์กและที่นี่ ... ฮา ฮา เจ้าไม่คิดว่าความคิดของเจ้าขัดแย้งกันเองหรือ?” “นี่คือเรา” “อืมห์...” “ท่านบ๊ากรู้ท คุยกับนางไปก็เสียเวลาเปล่า ข้าขออนุญาตท่านปลิดชีพนางเดี๋ยวนี้เลยจักได้หรือไม่” เกรย์สอดคำขึ้นมา “เอาเลยพ่อหนุ่ม จะดวลกับนางตัวต่อตัวใช่ไหมล่ะ” “แน่นอน” นักดาบตอบ “และหวังว่าเจ้าจะไม่หนีด้วย” ตอนท้ายหันมาทางฮิโระ “เราไม่มีความจำเป็นต้องหนี” ฮิโระตอบเสียงเย็นชา แววตาทอประกายขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด “เจ้ามีเปรียบเพียงเล็กน้อยก็หลงระเริงตนแล้วหรือ ช่างน่าอนาจนัก” “ฮึ่ม ไม่หนีก็ดี...” เกรย์ขยับท่าร่างช้า ๆ ฮิโระรับรู้ได้ทันทีถึงพลังตบะอันรุนแรงที่เร่งเร้าขึ้นมาจากร่างศัตรู เธอโบกมือไปข้าง ๆ ให้ทหารของตนขยับห่างออกจากตน ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทหรี่ตามองกริยาตอนนี้ของฮิโระอย่างครุ่นคิด “พลัง...” เกรย์ยกดาบชี้ขึ้นฟ้า ออร่าสีฟ้าบาง ๆ ทอประกายปกคลุมทั่วร่างของเขา และมันกำลังไหลรวมขึ้นไปที่ใบดาบยาวนั้น จนเนื้อดาบกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ทอแสงเป็นประกาย “เพลงดาบสยบเทพ....ฟูจินเซน!” เขาฟาดดาบลงมาตรง ๆ ทางเบื้องหน้าอย่างรุนแรงจนตำแหน่งปลายดาบชี้เฉียง ๆ ลงพื้นดินแล้วก็พลิกคมดาบ ฟันตวัดขึ้นเฉียง ๆ ไปทางขวาอีกครั้งหนึ่ง พลังออร่าที่อัดแน่นระเบิดพุ่งออกมาจากคมดาบเป็นรูปตัว V พุ่งตรงเข้าหาฮิโระซึ่งยืนตั้งรับอยู่ สองมือของเธอยกเกทออฟเฮฟเว่นพาดระหว่างนิ้วโป้งกับฝ่ามือขวางในแนวระดับอยู่เบื้องหน้า เร่งพลังในตัวขึ้นต้านรับอำนาจทะลุทะลวงของพลังดาบจากฝ่ายตรงข้าม “โครมมมมมมมมม” เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ ไฟบนพื้นรอบข้างฮิโระดับไปชั่วครู่เมื่อถูกกระแสกดดันจากแรงระเบิดนั้น แต่แล้วก็ลุกโชนขึ้นมาใหม่ ควันระเบิดยังคงปกคลุมรอบบริเวณที่ฮิโระยืนอยู่เมื่อครู่จนเมื่อมันจางลงก็สังเกตเห็นว่า ร่างของฮิโระยังยืนนิ่งไม่ไหวติง เคียวซาตานถูกถือในแนวระดับสูงเสมอไหล่อยู่เช่นนั้น ใบหน้าของเธอก้มลงเล็กน้อยหลับตานิ่งอย่างสำรวมสมาธิ เกราะอ่อนที่บริเวณทรวงอกปรากฏรอยแตกร้าวไปทั่ว แต่มันยังคงเกาะกันเป็นรูปร่างอยู่ได้ ในขณะที่เกราะอ่อนที่บริเวณบ่าทั้งสองนั้นกระเด็นหลุดหายไปแล้ว ต้นแขนทั้งสองข้างมีรอยถูกของมีคมบาดลึกจนโลหิตสีแดงฉานไหลรินลงมาจากแขนทั้งสองข้างถึงบริเวณข้อศอก เธอลืมตาขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน ไอเบา ๆ สองสามคำก่อนที่จะกระอักโลหิตแดงฉานออกจากปากคำหนึ่ง ยามเมื่อเธอเม้มริมฝีปากเข้าหากันยังปรากฏโลหิตสายหนึ่งไหลซึมจากมุมปากช้า ๆ เกรย์มีสีหน้าผิดหวังที่ท่าไม้ตายสุดยอดของตนไม่รุนแรงพอจะเอาชีวิตอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ทราบว่านอกจากบาดแผลที่ต้นแขนทั้งสองรวมกับบาดแผลที่เอวซึ่งเขาฝากไว้เมื่อครู่ก่อนแล้ว ขณะนี้เจ้าหญิงอสูรยังได้รับบาดเจ็บบอบช้ำภายในอีกพอสมควร เธอคงไม่เหลือกำลังกายที่จะต่อสู้กับเขาได้อีกแล้ว “เผด็จศึกล่ะนะ” เกรย์ตวัดปลายดาบชี้ไปทางเป้าหมายเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนจะกระโจนเข้าหาเธออีกครั้ง ... |