“ย้ากกกก” “แกว๊กกกกกก” ฯลฯ เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นระงมทั่วทะเลเพลิง ทหารผีโครงกระดูกกับสัตว์อาคมตรงเข้าห้ำหั่นกันอีกระลอก ที่จุดกึ่งกลางของระยะทางระหว่างฮิโระกับบ๊ากรู้ท อัศวินซากิฟอนกับนักดาบเกรย์ประทะดาบกันอย่างไม่หวั่นเกรงศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ในการต่อสู้ครั้งนี้ อัศวินหนุ่มกลับใช้การเคลื่อนไหวที่น้อยที่สุด แต่มีประสิทธิภาพที่สุด โล่และดาบของเขาปิดป้องการออกอาวุธของฝ่ายที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าอย่างได้ผล เกรย์เสียอีกที่เปลี่ยนกระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่าหาทางฟาดฟันดาบเรียวยาวของเขารวดเร็วจนแทบมองไม่เห็นท่าร่างแต่กลับทำอะไรอัศวินหนุ่มไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องเพราะ คลาส ‘อัศวิน’ คือ คลาส (ชั้นความชำนาญ) ที่ถูกฝึกปรือโดยเฉพาะให้เชี่ยวชาญการสู้รบกับมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในคลาสที่เชี่ยวชาญการทำศึกเพียงไร เช่น คลาสนักดาบ คลาสทหารชุดเกราะหนัก คลาสพลเดินเท้า (ซามูไร-เป็นทหารราบของเกาะมุโระมะจิ) ฯลฯ ล้วนแล้วแต่แพ้ทางต่ออัศวินด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เกรย์สู้กับซากิฟอนในครั้งนี้จึงเสมือนแบกแต้มต่อให้แล้วสถานหนึ่งนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรผู้นี้อยู่ในสภาพตกเป็นรอง “ฮึ ไม่นึกเลยต้องมาสู้กับอัศวินนอกรีตเช่นเจ้า” เกรย์พูดแดกดัน ขณะที่กำลังตั้งท่าเตรียมและมองหาจุดอ่อนในท่าของฝ่ายตรงข้ามอยู่ “ข้าเองก็นึกไม่ถึงเลย ว่าจะได้มีโอกาสสู้กับท่านผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรได้ก้ำกึ่งเช่นนี้” ซากิฟอนยิ้ม “การเคลื่อนที่ของท่านช้ามากนะ แม้ว่าเมื่อสักครู่ ท่านชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบองค์หญิงก็เถิด” “เจ้า!” เกรย์อึ้งไป แล้วเสไปหวดดาบใส่อีกฝ่ายโดยไร้ความคาดหวังว่ามันจะทำอันตรายแก่คู่ต่อสู้ได้ เพื่อกลบเกลื่อนความร้อนรนของตน ทำไมเขาจะไม่รู้จุดอ่อนในขณะนี้ของตนเอง “นี่เจ้ายอมเปิดใจรับพลังเวทย์ของนางได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่” “แน่นอน เราเป็นสหายศึกที่เชื่อใจกันได้... ไม่เหมือนกรณีท่านกับท่านผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทหรอก” ซากิฟอนจี้ใจดำฝ่ายอาวุโสกว่าตรง ๆ ใช้ดาบใหญ่ของตนปัดดาบเรียวของอีกฝ่ายกระเด็นไป แล้วตวัดดาบฟาดฟันเข้าใส่ร่างของเกรย์จนฝ่ายนั้นต้องกระโดดถอยฉากออกไปด้านหลัง “ท่านไม่สามารถเปิดใจรับการคุ้มครองของผู้เฒ่าได้เต็มที่! จึงทำให้ต้องเสียสมาธิส่วนหนึ่งในการคุ้มครองกายจากอัคนีอาคมนี้ด้วยตัวเอง” “ฮึ่ม!” เกรย์กัดฟันกรอด หากแต่จังหวะนั้นเอง ซากิฟอนก็เป็นฝ่ายบุกเข้ามาบ้าง “ระวัง!” “เคร้ง ๆ ๆ” เสียงประดาบดังขึ้นอีกระลอก เป็นกลยุทธทางจิตวิทยาที่อัศวินหนุ่มจงใจชี้ข้อบกพร่องอีกฝ่ายเพื่อกวนสมาธิ แล้วคราวนี้เขาก็เปิดฉากรุกไล่เสียเอง ... 'อืมห์ ขนาดข้าผู้เป็นถึงอัจฉริยภาพแห่งเพลิงผนึกกำลังกับหนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรยังทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?'' ไม่ไกลออกไปนัก ผู้เป็นต้นกำเนิดของทะเลเพลิงแห่งนี้ยืนหรี่ตามองการสู้รบในสมรภูมินรกนี้อย่างครุ่นคิด ทหารสัตว์อาคมฝ่ายตนล้มตายลงประดุจใบไม้ร่วง และอีกไม่นานก็คงจะหมดสิ้น ทางด้านสองขุนพลที่กำลังห้ำหั่นกันนั้นเล่า... ทำไมท่านผู้เฒ่าจะมองไม่ออกว่าฝ่ายใดกำลังมีเปรียบอยู่ ร่างของบุคคลทั้งสองเขยิบเข้ามาใกล้ต่อหน้าท่านผู้เฒ่าทีละน้อย ๆ หันมองไปอีกทางหนึ่ง ฮิโระซึ่งตั้งแต่ต้นศึก ไม่ยอมขยับร่างออกจากที่เดิมเลย เริ่มสาวเท้าตรงเข้ามาหาอัจฉริยภาพแห่งเพลิงอย่างช้า ๆ ขณะที่ฮิโระเดินผ่านบริเวณที่อัศวินหนุ่มฝ่ายตนกำลังห้ำหั่นกับนักดาบเกรย์อย่างดุเดือดนั่นเอง เสียงโห่ร้องก็ดังลั่นขึ้น เมื่อฝ่ายทหารสเกลตันซึ่งบัดนี้เหลือจำนวนเพียงร้อยเศษ สังหารเหล่าสัตว์อาคมจนหมดสิ้น! "..." ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทเงียบ หรี่ตามองสาวน้อยที่เดินใกล้เข้ามาเบื้องหน้าทุกขณะ ทหารผีโครงกระดูกของข้าศึกกระจายกำลังล้อมรอบบุคคลทั้งสี่ไว้เป็นวงล้อมกว้าง ๆ อีกด้านหนึ่งเกรย์เหงื่อแตกพลั่ก ยกดาบปิดป้องดาบใหญ่ของอัศวินซากิฟอนอย่างเต็มกลืน เขาถอยกรูด ๆ จนมาอยู่ระดับเดียวกับตัวผู้เฒ่าบ๊ากรู้ท จังหวะนั้นเอง ที่ซากิฟอนก็เร่งมือไล่ฟาดฟันจนสบโอกาส ฟันดาบจากด้านล่างเฉียงขึ้นด้านบน ในครานี้ แม้เกรย์จะสปริงตัวหลบไปด้านหลังจนพ้นคมดาบอย่างหวุดหวิด แต่ดาบคู่มือก็ถูกกระแทกกระเด็นขึ้นไปสูงกลางอากาศเสียแล้ว "เคร้ง" อีกอึดใจถัดมา เสียงดาบของเกรย์ที่ร่วงหล่นบนพื้นห่างออกไปอีกทางหนึ่งก็ดังขึ้น เป็นการบอกว่าหมดโอกาสที่เกรย์จะตามไปเก็บอาวุธของตนมาได้เสียแล้ว ปลายคมดาบใหญ่ของซากิฟอนยื่นมาจ่อที่คอหอยของผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรอย่างรวดเร็ว เกรย์นิ่งจำนนแต่โดยดี สายตาจับจ้องไปที่ผู้มีชัยอย่างเจ็บแค้น "..." คมเคียวเกทออฟเฮฟเว่นอันลือลั่น ยื่นมาจ่อที่เบื้องหน้าของท่านผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทเช่นกัน แต่ยังไม่มีคำกล่าวใด ๆ จากเจ้าหญิงอสูร "..." ผู้เฒ่าเองก็ยืนนิ่ง สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของอีกฝ่าย พลางครุ่นคิดในใจว่า อา! เค้าหน้าแบบนี้ ช่างละม้ายเหมือนเหลือเกิน เป็นพิมพ์เดียวกับมาเรีย หลานโทนหัวแก้วหัวแหวนของตนมิมีผิดเพี้ยน ยิ่งได้เห็นหน้ากันใกล้ ๆ เช่นนี้แล้ว ไม่ต้องมีข้อกังขาอีกเลยแม้แต่น้อยว่า ฮิโระจะมิใช่บุตรีของหลานสาวตน และก็ย่อมเป็นเหลนของตนนั่นเอง นี่เราผู้เฒ่าอยู่มานานจนกระทั่งมีเหลนโตปานนี้แล้วฤๅ? 'บางที ข้าอาจจะอยู่มานานเกินไปแล้วกระมัง?' "?!!!" ฮิโระขมวดคิ้ว เมื่อสำเหนียกถึงอะไรบางอย่าง แล้วเธอก็เอ่ยปากขึ้น "ผู้เฒ่า... ท่านไยมิถอนพลังเวทย์ที่บังคับพระเพลิงเหล่านี้ออกอีกเล่า เก็บสงวนพลังชีวิตของท่านไว้เถิด" "?!!!" อัจฉริยภาพแห่งเพลิงต้องตระหนกอีกครั้ง "โอ นี่เจ้าหยั่งรู้แล้วหรือนี่..." "..." ไม่มีคำตอบจากริมฝีปากเรียวงามนั้นอีก หากแต่สายตาที่อ่อนโยนเสมือนดั่งบุคคลเบื้องหน้าตน มิได้อยู่ในฐานะศัตรูที่มุ่งร้ายหมายชีวิตตนจนเกือบไม่รอดเมื่อสักครู่นี้ หากแต่เป็นญาติสนิทหรือสหายสนิทก็ไม่ปาน สายตานั้นทอดมองมาที่ผู้เฒ่านิ่ง ประกายตาแวววาวล้ำลึก จนยากที่ผู้เฒ่าจะหยั่งรู้ได้ว่า เธอกำลังคิดอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ การรบในวันนี้ ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทได้ใช้พลังเวทย์จนเกินขีดจำกัดของตบะของตนเสียแล้ว ท่านได้เผาผลาญพลังชีวิตของตน แลกกับการรักษาทะเลเพลิงนี้ให้มีอัคคีลุกโชนอยู่เป็นเวลายาวนานเกินไป รวมทั้งยังต้องแผ่พลังส่วนหนึ่งคุ้มครองบรรดาไพร่พลสัตว์อาคมของตนและรวมทั้งเกรย์ด้วย ... ไพร่พลของตนและเกรย์ทำศึกยืดเยื้อเกินกว่าที่คาดไว้นั่นเองจนท่านต้องฝืนใช้พลังชีวิตของตนมารักษาระดับพลังเวทย์ให้คงอยู่ไว้ได้ และบัดนี้กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างยับเยินเสียอีก ทุกอย่างที่ลงแรงไปสูญเปล่าหมด "ถูกของเจ้า" ท่านเอ่ยปากเพียงเท่านั้น ไฟที่ลุกโชนอยู่ทั่วท้องทุ่งนั้นก็พลันอันตรธานดับหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าของเพลิงอาคมได้ถอนพลังเวทย์ของตนออกแล้วนั่นเอง ใบหน้าของท่านปรากฏแววอิดโรยราวกับทำงานหนักเป็นเวลานานโดยมิได้พักผ่อน "ข้าแพ้แล้ว จะสังหารก็เชิญลงมือเถิด แม่นาง" บ๊ากรู้ทเอ่ยปากโดยดุษฎี "เอ๊ะ?" เกรย์อดหันมามองไม่ได้ ทั้งที่ตนก็ตกอยู่ใต้คมดาบของซากิฟอน "ฮึ" ฮิโระแค่นยิ้ม หากแต่บ๊ากรู้ทมองออกว่ามันมิใช่รอยยิ้มเหยียดหยามที่ผู้มีชัยกระทำต่อผู้พ่ายแพ้แต่ประการใด "มิพักให้เราต้องลงมือเองดอก ท่านก็ใกล้จะถึงอายุขัยอยู่แล้ว ด้วยท่านเผาผลาญพลังชีวิตท่านเกินควรเสียแล้ว" "..." บ๊ากรู้ทอึ้งไป สายตามองที่ใบหน้าของเด็กสาวอย่างเหม่อลอย เคียวเกทออฟเฮฟเว่นถูกรั้งกลับไปข้างกายของฮิโระเหมือนเดิม เจ้าตัวหันไปสั่งการแก่อัศวินของตนว่า "ซากิฟอน ปล่อยท่านผู้กล้าไปเถิด!" "?!!!" เกรย์งง ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงสั่งเช่นนี้ และที่ยิ่งทำให้ตนพิศวงยิ่งขึ้น คือ อัศวินหนุ่มแห่งนีโอกลาด รั้งดาบของตนกลับไปสอดเก็บเข้าฝักแต่โดยดี ไม่ทักท้วงคำสั่งนั้นแม้แต่น้อย ทั้งที่เกรย์คาดว่า เขาคงจะต้องประท้วงคำสั่งนี้แน่ เพราะถ้าเป็นตนก็จะทำเช่นกัน มีอย่างที่ไหน...จับศัตรูที่เข้มแข็งได้แล้วยอมปล่อยง่าย ๆ
"นักดาบ... เราจะปล่อยเจ้าสักครั้งหนึ่ง เพื่อให้เจ้าช่วยคุ้มครองท่านผู้เฒ่าไปเลือกหาที่สงบที่ท่านจะรอวาระสุดท้ายของชีวิต เราฝากเจ้าด้วย" เป็นคำสั่งที่ไม่คาดฝันว่าจะหลุดจากปากของเจ้าหญิงอสูรผู้นี้ "พบกันคราวหน้า เราจักสังหารเจ้าเซ่นคมเกทออฟเฮฟเว่นนี้แน่" ... ย้อนเวลากลับไปราวครึ่งชั่วโมง ภายใต้ป้อมปราการบาร์ฮาร่า ณ บนเชิงเทิน "เคร้ง!" เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อปลายแลนซ์ของลูเซย์เดอร์พุ่งเข้ากระแทกกับคมดาบเล่มโตในมือของบริโมรินอย่างถนัดถนี่ จนดาบนั้นรับแรงไม่ไหว หักสะบั้นไป "ฮึ่ม" "ฮึ" เสียงแรกเป็นของบริโมรินที่อุทานอย่างขัดใจ มันทิ้งดาบอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ลูเซย์เดอร์กระหยิ่มว่า วินาทีพิชิตศึกมาถึงแล้ว เขาขยับหันม้าให้ได้มุมที่เหมาะสมอีกครั้ง เอนตัวไปด้านหลังก่อนที่จะโผไปด้านหน้าพร้อมพุ่งแลนซ์ออกไปเต็มแรง เป้าหมายคือ ศีรษะของบริโมริน! "ย้ากกกกกกก" "!!!" ปลายหอกอัศวินซึ่งเป็นรูปกรวยแหลมไม่มีคม (เพราะอาวุธนี้เน้นการแทงทะลุทะลวงเพียงอย่างเดียว) ถูกจับตะครุบไว้มั่นภายในอุ้งมือทั้งสองของบริโมริน ร่างของอัศวินบนหลังม้าและจ่าฝูงกอบบลินนิ่งไปครู่หนึ่ง แต่คนรอบข้างสังเกตได้ถึงกล้ามเนื้อของทั้งสองที่สั่นระริก ๆ ไปทั้งตัวด้วยกำลังประลองกำลังกันอย่างสุดชีวิตนั่นเอง ดูเหมือนว่าลูเซย์เดอร์มีเปรียบ เมื่อสามารถดันปลายแลนซ์เข้าไปทุกขณะ จนกระทั่งปลายแหลมของมันเกือบจะจรดกับดั้งจมูกของบริโมริน แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง... "ย้ากกก" บริโมรินก็รวบรวมกำลังผลักแลนซ์นั้นย้อนกลับไป อาศัยมือที่จับอยู่ที่ปลายแลนซ์กระแทกกลับไปตามทิศของตัวแลนซ์จนกระเด็นย้อนกลับไปหาลูเซย์เดอร์อย่างแรง ฝ่ายนั้น ไม่ทันระวังตัวว่าอีกฝ่ายจะยังมีแรงโต้กลับได้เพียงนี้ ถึงกลับเสียหลักมือขวาที่ยังกำด้ามแลนซ์แน่น ถูกแรงส่งจนง้างไปด้านหลัง พาให้ร่างกายท่อนบนเสียสมดุลไปด้วย จ่าฝูงกอบบลินไม่หยุดแค่นั้นฉวยโอกาสตามกระโจนเข้ากระแทกฝ่ามือใส่สีข้างของอัศวินชุดดำจนอีกฝ่ายกระเด็นตกจากหลังม้า เจ้าอาชาคู่ขาตกใจวิ่งเตลิดไปทันที ทิ้งไว้ซึ่งร่างของลูเซย์เดอร์ซึ่งบัดนี้นอนแอ้งแม้งอยู่แทบเท้าของบริโมริน "ฮึ่ม" บริโมรินมองอัศวินบนพื้นแวบหนึ่ง ก่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าฝ่ายของตนเสียท่าแล้ว บรรดาขุนพลของฝ่ายนีโอกลาด อันได้แก่ เมย์มี คลาอุส และซาโต้ซึ่งบัดนี้ก็มาปรากฏตัวบนเชิงเทินด้วย ต่างพากันชักอาวุธของตนออกมาเตรียมพร้อม เมย์มียกแส้สีดำของตนขึ้นมาถือมั่นในมือ ขณะที่คลาอุสเองก็เตรียมเล็บยาวของตนแล้วเช่นกัน ส่วนซาโต้ ในมือปรากฏดาบนินจาถือไว้ รอบนอกห่างออกไป บรรดาทหารกองผสมสัตว์อาคม-สเกลตัน-อัศวินยืนล้อมวงไว้อีกชั้นหนึ่ง "บริโมรินเอย ยอมจำนนเสียเถิด นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ข้าในฐานะที่เคยรบร่วมสมรภูมิกับเจ้าจะมอบให้นะ" คลาอุสเกลี้ยกล่อม "คลาอุสเองหรือ..." บริโมรินมองมาทางผู้พูด เบื้องหน้ามันลูเซย์เดอร์ถอยตัวออกห่างอย่างระมัดระวัง "หากสู้กันไป เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี และยิ่งกว่านั้น โทษของเจ้าคงจะพาให้บรรดาเผ่าพันธุ์กอบบลินของเจ้าต้องถูกประหารชีวิตไปด้วย เจ้าจะเลือกเช่นนั้นหรือ?" "เจ้า..." จ่าฝูงกอบบลินหน้าซีดเผือดไปทันที จริงสิ ตอนนี้ลูกสมุนของมันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนีโอกลาดหมดสิ้นแล้ว...รวมทั้งบรรดาพลเรือนด้วย "หากเจ้ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าสัญญาว่า จะทูลขอชีวิตพี่น้องของเจ้าจากเจ้าหญิงให้ ... แต่สำหรับชีวิตของเจ้านั้น ข้ารับรองอะไรไม่ได้นะ" คลาอุสพูดตรง ๆ "ท่านแน่ใจหรือ ว่าเจ้าหญิงจะไว้ชีวิตพวกพี่น้องของข้า..." อีกฝ่ายระล่ำระลักถามทันที "..." ผู้รับผิดชอบการศึกบาร์ฮาร่ากลับเงียบไปอึดใจหนึ่ง หันไปมองทางเมย์มี ฝ่ายหลังจึงตอบแทน "เรามั่นใจเช่นนั้น และขอใช้ชื่อของเมย์มีแห่งราชวงศ์แวมไพร์ รับประกันให้ท่านเองในข้อนี้" "..." เจ้าบริโมรินยังคงครุ่นคิด บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ แต่ในที่สุด บริโมรินก็เอามือไขว้หลังแล้วคุกเข่าลง "เข้ามามัดข้าเถิด" และนั่นคือวินาทีแห่งชัยชนะของทัพอสูรใหม่เหนือบาร์ฮาร่านั่นเอง อีกอึดใจต่อมา ธงของทัพอสูรสายเลือดใหม่แห่งนีโอกลาด ก็ถูกปักบนเชิงเทินของป้อมปราการบาร์ฮาร่า ... |